การอยู่อาศัยในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย

ขอปรึกษาค่ะ ตอนนี้รับราชการครูอยู่ในเมืองไทยค่ะ การศึกษาจบปริญญาโท เอกภาษาอังกฤษ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษค่ะ ไม่มีหนี้สินค่ะ สร้างบ้านแล้วในเมืองไทย อยู่ในไทยเราค่อนข้างสบาย ชีวิตค่อนข้างพร้อมแล้วค่ะ
แต่สามีชาวสวีเดน อยากให้เราลาออกไปอยู่สวีเดน โดยเรามีลูกสาวจากอดีตสามีเก่า ถ้าไปจะนำไปอยู่ด้วย อายุุ 8 ขวบ เราแต่งงานกับสามีชาวสวีเดนมาได้ 2 ปีแล้ว แต่เรายังไม่มั่นใจว่าเราจะพร้อมไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สวีเดน และถ้าไปก็จะรอจนกว่าลูกสาวจะเข้ามหาวิทยาลัย เราก็อาจกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยเพราะมีบ้านแล้วที่นี่ แต่มีคนในครอบครัวทัดทานไม่อยากให้ลาออก เพราะพี่สาวเคยไปอยู่แคนาดาได้ 3 ปี แล้วไม่อยากกลับไปอยู่อีกเลย และมีเพื่อนหลายคนที่ติดต่อกันทางfacebook ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นก็ไม่แนะนำให้ลาออก เราเลยเกิดความลังเล ไม่รู้ว่าเราจะเอาตัวรอดรึเปล่ากับชีวิตที่นั่น
ในขณะนี้เราอายุ 41 แล้วค่ะ ถ้าอายุน้อยกว่านี้อาจจะตัดสินใจง่ายค่ะ หรือไม่ลังเล
อยากถามว่า ถ้าลาออก เราจะทำงานอะไรได้บ้างกับชีวิตที่นั่น ความมั่นคงในชีวิตมีมากแค่ไหน แม้ว่าสามีจะยืนยันแต่เราก็กลัวความไม่มั่นคงค่ะ
ขอทราบประสบการณ์ของคนที่อยู่แถบสวีเดน หรือแถบนั้นว่าความรู้สึกเป็นอย่างไรเมื่อได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ต่างกันกับเมืองไทยอย่างไร

ความคิดเห็นที่ 1
ควรอยู่ต่อให้ได้บำนาญก่อนค่อยออกหรือว่าลาพักร้อนมาเที่ยวสักเดือนนึง
โอกาสในการทำงานขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อันดับแรกคุณต้องสื่อสารภาษาเขาได้
การเรียนภาษาใหม่ใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งปี (กรณีที่่พูดและฝีกฝนทุกวัน)
นอกจากนี้ยังต้องศึกษาระบบระเบียบต่างๆ ในสังคมเพื่อการปรับตัวด้วย
ปัจจัยอีกอย่างนึงคือความเจริญของเมืองที่คุณมาอยู่
ถ้าเป็นเมืองใหญ่ เมืองท่าในเขตอุตสาหกรรมหรือมีความสำคัญทางเศรษฐกิจหน่อยก็หางานง่ายขึ้น
แต่ก็ต้องแลกกับค่าครองชีพที่สูงลิ่วด้วย

คุยกับแฟนให้เคลียร์ว่าในระหว่างที่คุณยังไม่ได้งานทำจะเลี้ยงดูให้สุขสบายได้หรือเปล่า
รับภาระทัั้งหมดคนเดียวทั้งของคุณและลูกอย่างน้อยๆ สองปีได้หรือไม่


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
คุณต้องเริ่มต้นเรียนภาษาสวีเดน หวังเรื่องงานค่อนข้างลำบาก

ครูไทยหลายๆคนต้องเริ่มงานทางด้านความสะอาด ถามว่าหนักไหม

หนักสุดๆ ต้องอ่านน้ำยาเคมีที่ทำความสะอาดได้หมดทั้งส่วนผสม

แต่เรื่องสวัสดิการและการดูแลของเขาคุณหาไม่ได้ที่เมืองไทย เจ็บไข้

ได้ป่วย ถึงคุณจะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้แต่ตัวยาที่ให้กิน ก็อีกคุณภาพ

หนึ่ง ถ้าให้เลือกถึงคุณภาพชีวิตที่ดี สวีเดนย่อมดีกว่าเมืองไทย


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
เรื่องที่สองท่านให้ความเห็น พอได้ยินมาบ้างค่ะ ดังนั้นถึงเกิดความลังเล ส่วนสามีเขาก็รับปากเราว่าเขาสามารถดูแลเราได้ระหว่างที่เราต้องเรียนภาษา แต่เรารู้สึกตัวเองค่ะว่า เราอยู่ที่นี่สบายแล้วแต่เราจะต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ เราจะไหวมั๊ย มันเลยเกิดความวิตกจริตค่ะ ว่าชีวิตที่นั่นจะทำให้เรามีความสุขหรือไม่ กว่าจะผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นได้ เคยมีเพื่อนที่ไปอยู่ที่นั่นเล่าว่าตัวเขาเองก็เป็นโรคซึมเศร้าอยู่ถึง 8 เดือน เพราะเป็นพยาบาลอยู่เมืองไทยแล้วลาออกไปอยู่โน่น กว่าจะเรียนจบ กว่าจะได้งาน เราฟังแล้วท้อเลยค่ะ

แต่ถ้ารอให้ได้บำนาญ สามีรอไม่ไหวแน่ค่ะ คงเป็นอีกสิบปี เขาบอกว่าถ้าเราไปไม่ได้ เขาจะมาอยู่เมืองไทย แต่หลังจากเรามานั่งปรึกษากันแล้วคิดว่าเขาควรทำงานเก็บเงินก่อนค่ะ ถ้ามาที่นี่เขาต้องเริ่มต้นใหม่ อยู่ที่โน่นเขาเป็นวิศวกรค่ะ

อีกอย่างหนึ่งหลังจากเราสร้างบ้านแล้ว มีความรู้สึกมีความสุขค่ะ แล้วไม่อยากจากบ้านไป มีความรู้สึกไม่อยากเริ่มต้นใหม่แล้ว เหนื่อยค่ะ ปกติเราจะไปอยู่ช่วงปิดเทอม ประมาณครั้งละเดือน เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมาก็มาก แต่ไม่เคยไปอยู่เป็นจริงเป็นจัง แต่เรารู้สึกชอบสวีเดนนะคะ รู้สึกประเทศนี้สงบนี้ ธรรมชาติก็ดีค่ะ แต่ถ้าต้องไปอยู่จริงๆ ไม่รู้จะเป็นอย่างไรค่ะ อาจคนละอารมณ์


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้าคิดว่า จะทำเพื่อลูกมีอนาคตที่มั่นคง คุณภาพชีวิตดีกว่าที่ไทย ก็ควรมา ..แต่ถ้า คิดแค่เหตุผลของตัวเอง ก้ไม่ควรมาค่ะ.. เพราะกว่าจะได้นับหนึ่ง..ใช้เวลานานมากกกกกก


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
มันก็ต้องเสี่ยงค่ะ
ได้อย่างเสียอย่าง
แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องรู้คือการเริ่มต้น
คุณเป็นคนมีความรู้สูงที่เมืองไทย
แต่ที่เมืองนอกคุณจะต้องใช้เวลาอีกนานถึงนานมาก
กว่าคุณจะเป็นครูเหมือนเดิมได้
หรือไม่มีโอกาสได้เป็นอีกเลย
ตรงนี้อยู๋ที่ความสามารถของคุณว่าคุณจะถีบตัวของคุณขึ้นมามากแค่ใหน
เพื่อที่ความรู็ที่คุณมีจะได้ไม่สูญเปล่าไปไร้ประโยชน์

และก็คงรับประกันไม่ได้กับอนาคตที่จะไปเริ่มใหม่ที่สวีเดน
ว่าจะสดใสเหมือนดั่งที่เราฝันหรือไม่
ถ้าคุณมีใจที่สู้ว่าอยู่ที่ใหนก็ได้มันจะต้องดีขึ้นกับชีวิตใหม่
ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
แต่คุณมีพร้อมทุกๆอย่างทั้งหน้าที่การงานและฐานะ
มีบ้าน

มันยากที่จะทำใจได้ง่ายๆ
เพราะกว่าจะเริ่มต้นที่เมืองนอกได้ดั่งใจที่เราฝัน
มันใช้เวลานานมากถึงนานจริงๆ
แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าถึงจุดหมายปลายทางหรือยัง

คุณจะต้องตัดสินใจแล้วล่ะค่ะ
ได้อย่างเสียอย่างแน่นอน


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ปริญญาโทที่เรียนมา เอามาใช้ที่นี่ไม่ได้ค่ะ

ลองนึกภาพตัวเองว่าต้องมาทำงานทำความสะอาด หรืองานใช้แรงงานแล้วรับได้ไหมดู
เพราะถ้าคุณภาษาไม่คล่องแล้ว เริ่มต้นก็ต้องทำงานแนวนี้ซะส่วนใหญ่

ส่วนใหญ่คนที่เคยทำงานสบายๆที่เมืองไทย แล้วต้องมาทำงานแบบนี้มักจะรับไม่ค่อยได้
จะมีช่วงจิตตกแล้วคิดว่าฉันมาทำอะไรที่นี่เป็นพักๆ

เรื่องสวัสดิการ รายได้ ที่นั่นดีกว่าเมืองไทย ชีวิตมั่นคงแน่ค่ะ

แต่เริ่มใหม่ลำบากแน่นอน ภาษาสวีเดนยากกว่าภาษาอังกฤษ แถมออกเสียงยากกว่า
ยิ่งมาเริ่มเรียนตอนอายุเยอะ ยิ่งยาก

ถ้าคุณมีความขยันมากพอ เรียนภาษาให้เก่ง งานดีๆก็มีให้ทำค่ะ ที่นั่นเห็นว่าช่วงเรียนภาษารัฐจ่ายเงินให้ด้วย
งานที่ส่วนใหญ่คนต่างชาตินิยมเรียนเพิ่มแล้วมาทำงานก็งานดูแลคนแก่ อายุเท่าไหร่ก็เรียนได้
รายได้ก็ถือว่าใช้ได้ แต่งานหนัก

แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเจ็บป่วย ถ้าป่วยไม่สามารถทำงานได้ รัฐก็จ่ายเงินให้ตลอด เป็นครูที่เมืองไทยไม่ทราบว่ามีแบบนี้หรือเปล่า?

ของดิฉันที่ทำให้ถอดใจนี่น่าจะเป็นอากาศมากกว่าอย่างอื่น อากาศหนาวติดลบ หิมะตก ถนนลื่น
บางทีฝนตกติดกันทุกวันเป็นอาทิตย์ ไม่มีแดด หดหู่สุดๆ พระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 9 โมง 3 โมงตกแล้ว ไม่ไหว

ถ้าคิดถึงอนาคตลูก ดิฉันว่าคุณน่ามาอยู่สวีเดนค่ะ เด็กมีโอกาสทำอะไรมากกว่า ไม่ต้องมีการแข่งขันกันเข้ามหาวิทยาลัยสูงอย่างเมืองไทย วันหยุดก็ยังต้องไปเรียนพิเศษ มลพิษก็น้อยกว่า ไม่ต้องเสียเวลากับรถติดเป็นชม. เอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นได้มากกว่า


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ดิฉันอยู่สต็อกโฮมค่ะ ไม่ทราบว่าคุณจะไปอยู่เมืองไหนค่ะในสวีเดน อายุมากกว่า 4 ปีค่ะ คุณอยู่เมืองไทยหน้าที่การงานดีอยู่แล้ว อยู่เมืองไทยใครก็ให้เกียรตินะคะ ถ้าเป็นครูที่นี่นักเรียนที่นี่ คุณอย่าได้หว้งว่านักเรียนจะนอบน้อมเหมือนเด็กไทย หายากนะคะ

ดิฉันเรียนภาษาสวีดิชภาคค่ำ เจอคนอังกฤษแท้ ยังต้องมาเรียนภาษาที่นี่ให้ได้ก่อนค่ะ เพราะเธอก็จะเบนเข็มมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่นี่เหมือนกัน คุณต้องใช้เวลาอย่างน้อยเรียนเป็นครูประมาณ 6 ปี แต่มันขึ้นว่าคุณอ่านและเขียนภาษาสวีดิชได้เก่งขนาดไหน อย่างดิฉันอยู่มาแล้ว 6 ปี ภาษายังไม่พัฒนาเลยค่ะ เพราะดิฉันติดสื่อสารกับสามีเป็นภาษา อังกฤษ และดิฉันทำงานความสะอาดตามบ้าน ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาพูดเท่าไหร่ แต่อ่านและเขียนพอได้ เพราะต้องอ่านข้อมูลรายละเอียดลูกค้าว่าให้ทำความสะอาดแบบไหน เน้นตรงไหนพิเศษ ข้อควรระวัง เวลาทำความสะอาดเสร็จ ให้เขียนด้วยว่า คุณทำอะไรไปบ้าง

สวีเดนไม่ใช่ประเทศตลาดแรงงาน งานหายากมากนะคะ ภาษีก็เสียเยอะ แต่มีสวัสดิการดีมากๆ ติดอันดับต้นๆ ของโลก ฉะนั้นจะมีพวกอพยพมาอยู่เยอะมาก แล้วพวกนี้ได้สวัสดีการ มาเรียนฟรีแถมยังได้เงินค่าครองชีพด้วย แต่พวกเราแต่งงานกับคนสวีดิช สามีต้อง support ทุกอย่าง แต่ถ้าคุณเก่งสามารถเรียนจบภาษาสวีดิชได้ภายใน 6 เดือนหรือ 1 ปี จำไม่ได้ คุณจะได้เงินเป็นรางวัล ประมาณ 12000 โครน แต่หลังจากนั้นถ้าคุณเรียนต่อในระดับสูง คุณต้องออกค่าใช้จ่ายเอง คุณต้องอยู่ที่นี่ประมาณ 2 ปี และได้วีซ่าถาวร หรือได้ใบรับรองเป็นพลเมืองที่นี่ คุณสามารถเรียนได้เงินฟรี จะได้จำนวนเท่าไหร่นั้น ก็มีรายละเอียดอีก ถ้าตอนนั้นคุณอายุ 50 ปี ก็ขอเงินไม่ได้ แล้ว

ตอนนี้ดิฉันก็เร่งสปีดอยู่ อยากเรียนให้จบคอร์สภาษาสวีดิชอยู่แต่สอบไม่ผ่านหลายรอบแล้ว

อยากให้คุณมาลองอยู่ในระยะสั้นๆ จะได้สัมผัสว่าชอบมากมั้ย อาหารไทยหาซื้อได้ง่ายมั้ย แต่ถ้าคุณอยู่เมืองใหญ่ๆ ก็หาได้ไม่ยาก แต่ว่าจะมีครบทุกอย่างหรือเปล่า ดิฉันไม่รู้พอดีอยู่สต็อกโฮม ก็หาซื้อได้ง่ายหน่อย แต่ดิฉันหัดทำอาหาร ขนม ทำกินเอง

สามีคุณเป็นวิศวะกร รายได้เยอะก็จริง แต่เสียภาษีแล้ว เหลือเท่าไหร่ เค้าอยู่บ้านที่ยังต้องผ่อนหรือเปล่า หรืออยู่อพาร์เม้นท์ มีกี่ห้อง ถ้าเอาลูกมาอยู่จะคับแคบไปมั้ย สามีดิฉันทำงานที่บริษัทอิรัคสัน ทำงานที่นีเป็นเวลา 15 ปี แล้ว แต่ละปี ต้องมาลุ้นว่าจะโดนให้ออกหรือเปล่า แต่ละวันประชุมเยอะมาก ตัดค่าใช้จ่าย นั่น โน่น ออกไปหมด คุณลองคิดดูว่าระดับบริษัทใหญ่อย่างอิีริคสัน ยังขนาดนี้
เพราะเศรษฐกิจตอนนี้ที่วโลกไม่ดี มีผลกระทบไปหมด หลายบริษัทปิดตัวไปเยอะมาก


บริษัทใหญ่ๆที่เคยมีชื่อเสียง อย่าง วอลโว่ ซาบ ก็ต้องปิดตัวขายให้บริษัทต่างประเทศไปแล้ว ล่าสุดดิฉันดูข่าว โรงงานถลุงเหล็กอยู่ทางเหนือสวีเดน ยังต้องคัดพนักงานออกเลย เพราะไม่มีออดอร์เข้า เพื่อนแฟนทำงานโรงงานกระดาษ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของสวีเดนก็คัดคนออก ยิ่งอยู่ต่างจังหวัด ยิ่งไม่มีงานเลย หางานยาก มากๆ

คุณต้องทดลองมาอยู่ก่อน ให้สัมผัสบรรยากาศ อย่าแค่มาเที่ยวระยะสั้นๆ แล้วตัดสินใจเองค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
เมื่อนานมาแล้ว ตอนดิฉันลาออกจากราชการครูเพื่อเดินทางมาสวีเดน ดิฉันมาแบบไม่มีพันธะอะไรที่เมืองไทย ไม่มีสมบัติที่เมืองไทยให้ต้องเป็นห่วง ไม่มีลูกติดตัว มีแต่ตัวเองให้ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลว่าจะเอาตัวรอดไหมในสวีเดน ตอนนั้นก็คิดแต่ว่าหากไม่ไหวก็จะกลับไทย แต่มันไหว ก็เลยอยู่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งย้ายออกจากสวีเดนมาอยู่เดนมาร์กเมื่อหลายปีก่อนนี่แหละค่ะ

ตั้งแต่ดิฉันอยู่สวีเดนมา งานก็หายากมาตลอด แต่ดิฉันก็ขวนขวายหางานทำจนได้ ดิฉันค่อนข้างโชคดีเรื่องภาษา ตอนมาใหม่ๆ เรียนภาษาไม่ถึงปีก็จบ SFI แล้วก็ได้ไปเรียนต่องานวิชาชีพด้านดูแลเด็ก โดยที่ทางคอมมูนส่งไปเรียน พอจบก็ได้ทำงานดูแลเด็กที่ รร. อนุบาล และก็รับสอนภาษาไทยหารายได้พิเศษด้วย งานอื่นๆ ดิฉันก็เคยทำ แต่ไม่เคยต้องทำงานทำความสะอาดเลยค่ะ คือไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่ชอบ ขนาดบ้านตัวเองยังขี้เกียจทำความสะอาดเลย 55 พอดีมันมีทางเลือกให้ไปทำงานอื่นได้ ก็เลยไม่เคยต้องคิดเรื่องงานทำความสะอาด

คิดเอาเองว่าที่ภาษาสวีเดนไปไวนั้น เพราะดิฉันอยู่คนเดียว ความจำเป็นบังคับให้ต้องใช้ภาษาสวีเดนติดต่อสื่อสารทุกวัน เพื่อนคนไทยก็มี แต่ก็เจอกันเวลาว่าง เพราะต่างคนต่างทำงาน บางคนว่าง แต่ก็อยู่ไกลกัน ไปมาหาสู่ลำบาก

ตอนดิฉันอยู่สวีเดนนั้น ช่วงสามปีแรกก็มีอาการเหงาและจิตตกเข้ามาเป็นระยะ มีถามตัวเองบ่อยมากว่าชั้นมาทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียวฟระเนี่ย แต่ก็เศร้าและจิตตกไม่นาน เพราะจะพยายามทำให้ตัวเองไม่ว่าง พอนานๆไป กลับชิน อยู่คนเดียวก็ไม่เหงาแล้ว เพราะเราอยู่กับคนที่รู้ใจเราที่สุด (คือตัวเราเองนั่นเอง) ^^

ดิฉันมาสวีเดนตอนอายุน้อย (คือน้อยกว่าตอนนี้ อิอิ) ไม่มีอะไรให้ต้องคิดกังวลมากไปกว่าเรื่องขวนขวายเอาตัวรอด แต่คุณมีเรื่องราวเบื้องหลังแตกต่างจากดิฉัน คือคุณจะมาสวีเดนในขณะที่ทุกอย่างที่เมืองไทยลงตัวดีแล้ว แบบนี้โอกาสที่จะเสียดายโอกาสตัวเองมันก็มีมากขึ้น

หากดิฉันเป็นคุณ ดิฉันจะไม่ลาออก แต่จะขออนุญาตที่ทำงานลาพักราชการสักปีนึง แล้วมาอยู่ที่สวีเดนสักปี มาอยู่นานๆ มาเข้าเรียนภาษา มาใช้ชีวิตจริงๆ ที่นี่ระยะยาวหนึ่งปี แล้วเอาประสบการณ์กลับไปตัดสินใจดูว่าคุณอยากอยู่ประเทศไหนมากที่สุด

ขอแนะนำว่าช่วงมาทดลองอยู่นี้ อย่านำลูกมาด้วย เพราะเด็กอาจสับสน เอาไว้ในตัดสินใจได้แน่นอนแลวค่อยพาลูกมาค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
เข้ามาขอบคุณทุกความเห็น ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์นะคะ

ทุกความเห็นแต่ละท่านมีประโยชน์มากค่ะ ทำให้คิดอย่างสุขุมยิ่งขึ้น อย่างน้อย ถ้าไปก็สามารถทำใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าค่ะ

ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
มีอีกอย่างหนึ่งค่ะ ดิฉันอยู่ในระบบราชการมานาน จนรู้สึกเราจะทำอย่างอื่นเป็นรึเปล่า แค่บอกเพื่อนว่าจะเรียนด้านผู้ช่วยพยาบาลในสวีเดน เพื่อนยังถามว่าเราจะทำไหวเหรอ เราเลยย้อนคิดว่าเราสุขสบายในเมืองไทย ถ้าไปเมืองนอกเราคงจะจิตตกบ่อยๆแน่ แล้วเราจะรับมือกับความรู้สึกตรงนั้นอย่างไรค่ะ รู้สึกว่าเรามีความมั่นคงแล้ว เหนื่อยมาก็มาก จนตอนนี้ชีวิตค่อนข้างลงตัว ชีวิตผ่านการแข็งขันมาแล้ว จนรู้สึกว่าตอนนี้ดิฉันยังมีไฟในการเริ่มต้นใหม่หรือไม่ ถ้าอายุน้อยกว่านี้คงไม่ลังเลหรือกังวลค่ะ

ถ้าพูดตรงๆเลย คือไม่อยากไปค่ะ อยากอยู่เมืองไทย แต่ติดที่สามี ทำให้จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้ ว่าใครควรเป็นผู้เสียสละ สามีเสียสละให้เรามามาก ดีกับเรามาก เราควรจะเสียสละให้เขาบ้าง คือตอบแทนความดีที่เขาดีกับเราค่ะ ถ้าไม่มีสามี เราก็คงไม่มีความสุขอย่างวันนี้

เราอาจต้องไปเริ่มต้นใหม่ แม้ทุกอย่างไม่ได้ดั่งใจหวัง คิดถึงเรื่องลูกเหมือนกันค่ะ จริงๆที่เราตัดสินใจไปก็เพราะลูกด้วย เป็นประเด็นสำคัญค่ะ อยากให้เขาได้รับโอกาสดีกว่าเรา เพราะดิฉันคิดถึงชีวิตในเมืองไทยที่มีแต่การแข็งขัน ยิ่งเดี๋ยวนี้เด็กๆ ต้องเรียนพิเศษตั้งแต่อนุบาล เห็นแล้วสงสารค่ะ ลูกๆของครูในโรงเรียนเดียวกันล้วนแต่พูดถึงการเรียน การแข็งขันกันสอบเข้ามหาวิทยาลัย การสอบเข้าทำงาน พอลูกทำไม่ได้ดั่งใจ ทำเอาเครียดมากเลยค่ะ

บ้านสามี อยู่ติดโรงเรียนค่ะ ทำให้ดิฉันเปรียบเทียบเด็กที่สวีเดนกับเด็กไทย คนละเรื่องเลย ก็คิดว่าลูกเราคงจะมีความสุข แต่เรา คงไม่สุขเหมือนลูกเรา เมื่อเปรียบเทียบชีวิตที่โน่นกับที่เมืองไทย

ขอบคุณ ทุกความเห็นค่ะอีกครั้งค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ไม่ทราบว่าคุณ จขกท. จะเข้ามาอ่านต่ออีกไหม แต่ดิฉันอยากเพิ่มเติมบอกว่า แต่ก่อนที่ดิฉันจะมาทำงานพยาบาล ดิฉันก็คิดหนักเหมือนกันว่าจะทำไหวไหม จะทำได้ไหม เพราะถึงคุ้นเคยกับชีวิตความเป็นอยู่และชีวิตการงานในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย แต่ก็ไม่เคยทำงานดูแลรักษาพยาบาล ไม่เคยเช็ดล้างก้นกอยของใครมาก่อน ตอนทำ รร. อนุบาล ก็เช็ดก้นเด็กอ่อน แต่ก้นเด็กกับก้นผู้ใหญ่ มันแตกต่างกันมาก เพราะก้นเด็กมันน่ารัก แต่ก้นผู้ใหญ่นี่ดิฉันว่ามันน่ากลัว 555 แต่ทำไปทำมา ก็ทำได้ และตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรเลย

เรื่องเริ่มต้นใหม่นี้ ดิฉันก็คิดมากนะคะ เพราะเริ่มต้นตอนอายุมากนี่มันไม่ได้สนุก ทางเดินมันไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ ดิฉันแต่งงานกับคนเดนมาร์ก เจอกันตอนอายุมากพอควร (คือแก่สำหรับคนไทย แต่วัยหนุ่มสาวของคนแถบสแกน อิอิ) แต่เราเริ่มต้นชีวิตคู่กันที่สวีเดน คือสามีย้ายมาอยู่กับดิฉัน เคยลองย้ายมาอยู่เดนมาร์ก แต่มันไม่สะดวกหลายอย่าง เพราะตอนนั้นดิฉันเรียนต่อด้านคอมพิวเตอร์ที่มหาลัยที่สวีเดน มีงานแล็บงานกลุ่มกลางคืนบ่อยๆ ก็เลยย้ายกลับสวีเดนอีก แต่พอดิฉันเรียนมหาลัยจบที่สวีเดน และลูกคนแรกอายุเกือบสองขวบ เราก็คิดกันว่าอยากจะให้ลูกโตที่ไหน เดนมาร์กหรือสวีเดน ก็ตกลงกันว่ามาเดนมาร์กเถอะ เพราะลูกจะได้เรียนรู้ภาษาพ่อของเขา

ตอนย้ายตามสามีจากสวีเดนมาเดนมาร์ก ดิฉันก็จิตตกมากๆ เพราะเพิ่งเรียนจบมหาลัยที่สวีเดนมา แต่เอาความรู้มาใช้อะไรไม่ได้ เพราะตอนนั้นช่วงฟองสบู่ IT แตก คนตกงานกันระนาว หางานยากมาก พอดีย้ายข้ามประเทศมาตั้งต้นใหม่ ก็เลยยิ่งยากเป็นสองเท่า แต่เราย้ายมาแล้วจะบ่นไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ก็กัดฟันมาเริ่มต้นใหม่ มองหาทางว่ามีงานไหนที่พอทำได้ ดิฉันเรียนภาษาเดนมาร์กด้วยตนเอง และลองทำงานดูแลคนชราคนพิการแบบไม่มีวุฒิ ทำแบบใจกล้าหน้าด้านโทรไปสมัครงานตามที่ต่างๆ นายงานก็ใจถึงมาก กล้ารับเราเข้าทำงาน ทั้งที่ดิฉันไม่มีประสบการณ์อะไรเลยตอนนั้น ก็ใช้ระบบครูพักลักจำ ทำไปเรื่อยๆ จนรู้ระบบและทำงานคล่อง ในขณะเดียวกันก็ไปเรียนต่อ จนสุดท้ายก็จบมาทำงานพยาบาลวิชาชีพ นี่แหละค่ะ

ที่เล่าเรื่องตัวเองให้ฟังนี้ ไม่ได้อยากอวดคุยว่าตัวเองเก่ง เพราะดิฉันไม่ใช่คนเรียนเก่ง ตอนเรียนที่เมืองไทยก็งั้นๆ สอบเอนท์ยังไม่ติดเลย ^^

การเรียนการสอนที่สวีเดน เท่าที่ดิฉันเคยสัมผัสมา ตอนที่ทำงานเป็นครูช่วยสอนชั้นประถม บอกได้เลยว่าแตกต่างจากที่เมืองไทยมาก เพราะเรียนแบบไม่เครียด ไม่เน้นการเรียนการสอนแบบท่องจำเหมือนนกแก้วนกขุนทอง แต่เรียนแบบเรียนทฤษฏีแล้วต้องเอาไปใช้ปฏิบัติได้ ที่ชอบมากก็คือมีการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของเด็ก เรียนอยู่ชั้นเดียวกัน แต่มีแยกสอนแบบตัวต่อตัวเพื่อให้เด็กแต่ละคนมีโอกาสเรียนรู้เท่าที่เค้าจะรับและนำไปต่อยอดได้ นอกจากนี้แล้วก็มีการทำงานกลุ่มบ่อยมาก ทำให้เด็กรู้จักรับผิดชอบทั้งส่วนตัวและส่วนรวม เป็นการสร้างสำนึกว่ารวมกันเราอยู่ แยกกันเราซ่อมนะเออ

เด็กที่สวีเดนไม่มีเรียนพิเศษแบบที่เมืองไทย เพราะเค้าถือว่าเรียนจากที่ รร. ก็พอแล้ว หากทุ่มเทและสนใจที่ รร. ก็ไม่จำเป็นต้องมาเรียนเพิ่มเติม นอกจากว่าจะมีความสนใจส่วนตัว เช่นไปเรีนภาษาเพิ่ม เป็นต้น เด็กหลายคนตอนเรียน Gymnasium (เทียบได้กับ ม. ปลาย) จะไม่สนใจเรียน พอจบมาได้เกรดต้ำ จะไปสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสาขาที่ตัวเองชอบ ก็เข้าไม่ได้ เพราะเกรดไม่ถึง คือที่สวีเดนไม่มีระบบเอนทรานซ์ แต่จะใช้ระบบคัดตามเกรด หากเกรดสูง โอกาสที่จะได้เรียนในสาขาที่ตัวองต้องการก็สูงมากขึ้นด้วย แต่ก็ไม่ได้ตัดโอกาสเลย เพราะคนไหนเกรดไม่ถึง ก็ไปเรียนเพิมเกรดได้ที่ komvux นี่พูดจากประสบการณ์แต่ก่อน ตอนนี้ไม่ทราบว่ามีะไรเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

อ้อ เกือบลืม เด็กสวีเดนเรียนฟรีนะคะ ต้ังแต่ประถมไปยันปริญญาเอก เรียนภาคบังคับนี้มีอาหารกลางวันฟรี เรียน ม. ปลายก็มีจ่ายค่าอาหาร ตามแต่ทาง รร. เค้าจะกำหนดมา เวลาเข้ามหาลัยก็ไม่ต้องเสียค่าหน่วยกิต ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมอะไรทั้งสิ้น แต่ต้องซื้อหนังสือเรียนและอุปกรณ์การเรียนเอง นักศึกษาได้เงินช่วยเหลือการศึกษาจาก CSN และหากใครไม่มีพ่อแม่คอยสนับสนุนเรื่องเงินทอง เงินทองไม่พอใช้ ก็สามารถกู้เงินกู้การศึกษาเพิ่มได้ พอจบมาก็ผ่อนจ่ายไปตามแต่สัญญาส่วนตัวที่เลือกทำกับ CSN แถมยังเอามาลดภาษีได้อีก แต่เห็นเด็กส่วนมากจะเลือกทำงานพิเศษหารายได้เพิ่ม จะได้มีเงินพอใช้ นับว่าเค้ามีความรับผิดชอบในชีวิตดี ไม่ใช่มีอะไรก็วิ่งไปขอพ่อแม่ตลอด

หากชอบชีวิตสงบสุข เรียบง่าย ไม่ต่อสู้ ไม่แก่งแย่ง วุ่นวาย ไม่แข่งรวย ไม่มีการนินทาว่าร้าย (อันนี้แล้วแต่สังคมคนที่คุณคบด้วย) ก็สนับสนุนให้มาใช้ชีวิตที่สวีเดนค่ะ สำหรับคนอื่นนี่ดิฉันไม่ทราบ แต่ส่วนตัวนี้ดิฉันอยู่ไทยแล้วไม่มีความสุข ไม่สามารถปิดหูปิดตาปิดใจกับเรื่องวุ่นวายต่างๆที่เข้ามากระทบในชีวิตได้ คงเพราะตอนนั้นปล่อยวางไม่ได้ ได้ยินได้ฟังได้ประสบอะไร ก็เก็บมาเป็นทุกข์อยู่ตลอด แต่ตั้งแต่อยู่ที่สวีเดนและเดนมาร์กนี้ ดิฉันมีความสุขค่ะ ทั้งๆที่ไม่ได้รวยอะไร แต่ก็สุข เพราะใจสงบนิ่งมากขึ้น เรื่องเครียดก็ไม่ค่อยมี ชีวิตเรียบง่าย อยู่แล้วสบายใจ ก็เลยเลือกอยู่ต่อค่ะ

อยากให้คุณคิดเรื่องให้สามีรับลูกของคุณเป็นลูกบุญธรรมด้วย เค้าจะได้มีสิทธิ์ในสมบัติต่างๆ ที่คุณร่วมกันสร้างกับสามี เผื่อไว้ เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร

หวังว่า จขกท. คงหาทางออกที่เหมาะสมกับทุกคนได้ค่ะ :)


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
เข้ามาขอบคุณคุณ Smilla อีกครั้งค่ะที่แวะเข้ามาอ่านแล้วให้คำแนะนำ และแชร์ประสบการณ์เพิ่มเติมค่ะ

ยินดีรับคำแนะนำค่ะ และรู้สึกขอบคุณมากค่ะ เห็นว่าเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงตัดสินใจ ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวล อย่างน้อยก็พอคลายกังวล และเตรียมรับมือกับปัญหาข้างหน้าค่ะ

ขอให้ทุกท่านมีความสุข มีความเจริญในหน้าที่การงานทุกท่านนะคะ ขอบคุณค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
เรื่องประสบการณ์ในการทำงานไม่ขอพูดถึงนะคะ เพราะน้อยนิดมาก เพิ่งมาทำงานจริงจังได้ปีเดียว แต่เรื่องสภาพแวดล้องของที่นี่ สนับสนุนความคิดของคุณ Smilla เต็มที่ค่ะ สวีเดนเรียบง่าย สงบ ไม่แข่งรวย ไม่นินทา การแข่งขันของที่นี่ต่างไปจากเมืองไทย ต้อง active เสมอในงานที่ทำเพื่อ keep งานไว้ แต่ไม่ใช่แก่งแย่ง

ชีวิตมีความสุขได้กับงานและงานอดิเรก ยิ่งถ้ามีครอบครัว คงไม่มีเวลาเหงา บางคนที่บอกว่าซึมเศร้า ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ชีวิตแบบไหน จริงว่าที่นี่เราอาจไม่เจอเพื่ิอนเม้าท์ตลอดเวลาเหมือนเมืองไทย ไม่มีที่ชอปปิ้งจนเที่ยงคืน ไม่มีร้านตามสั่งที่สั่งได้ตลอดเวลา แต่เราว่าบางทีมันก็ดีค่ะ ชีวิตมันมีระบบมากขึ้น บังคับตัวเองให้มีระเบียบ มีน้อง นศ คนไทย มาบ่น อะไรอ่ะที่นี่ ไปหาหมอก็ต้องนัด ของก็แพง (แต่เงินเดือนก็แพงนะ) ไม่สะดวกเลย คือถ้าสวีเดนที่ที่รถเมลล์ รถไฟมาตรงเวลาเป๊ะ ทุกยี่สิบนาที ธุรกรรมทุกอย่างเกือบจะทำผ่านเน็ตได้ (อย่างปลอดภัยด้วย) ร้านทุกร้านจ่ายเงินผ่านบัตรได้หมด ยังเป็นที่ที่ไม่สะดวก ก็ไม่รู้จะหาที่ไหนสะดวก แต่น้องอาจคุ้นเคยกับความยืดหยุ่นแบบบ้านเรา

เด็กที่นี่เราว่าเค้าดูเป็นเด็กมากกว่าบ้านเรา คือเราไม่ชอบระบบเรียนพิเศษบ้าบอแบบบ้านเราเลยนะคะ แอนตี้มากๆ แล้วรู้สึกว่าเด็กไม่มีเวลาเป็นเด็ก ไม่มีเวลาเล่น ไม่มีเวลาฝันแบบที่เด็กควรจะเป็น แต่ที่นี่เด็กไม่ต้องแข่งเรียนพิเศษแบบบ้านเรา และเด็กกล้าพูดกล้าถามค่ะ เคยคุมแลบ นศ ปตรี ค่ะ เค้าถามคำถามที่เราถูกใจ และคิดว่า นศ ไทยจะไม่ถามอ่ะ

ไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เล่ามาจะช่วยอะไรได้มั้ย เพราะเข้าใจว่ามันยากค่ะ มันเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต แต่แค่อยากเล่าสภาพของที่นี่ จากคนที่อยู่ที่นี่ เผื่อจะใช้ประกอบการตัดสินใจได้ค่ะ

โชคดีนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ขอบคุณ คุณแลนซ์ลอทค่ะ สำหรับคำแนะนำค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14-1
เป็นอีกหนึ่งคนเหมือนกันค่ะ ที่อยู่ในช่วงการตัดสินใจ ว่าจะอยู่ที่ไทย หรือสวีเดน และมีเหตุผลเดียวที่ทำให้ตัดสินใจมาอยู่สวีเดน คือลูกค่ะ
ดิฉันมีลูกชายสองคน 7 ขวบ กับ 5 ขวบ โดยส่วนตัวแล้วก็ติดความสะดวกสบาย และติดญาติพี่น้อง ที่ไทยมากกว่า แต่พอคิดถึงอนาคตลูก มันก็ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น เร็วขึ้น
คิดถึงลูกก่อน ส่วนตัวเอง เอาไว้ที่หลัง คิดแต่ว่ามันไม่เกินความสามารถ เราหรอก เราต้องทำได้ (แอบให้กำลังใจตัวเอง)

ความคิดเห็นที่ 15
ดิฉันขอตอบจดหมายคุณเท่าที่มีประสบการณ์เพียงประมาณ 9 วัน จากการเดินทางไปทัศนศึกษาในแถบนี้ เมื่อวันที่ 19-27 เม.ย 56 วันนี้อากาศแปรปรวนบางวันแดดออกและมีฝนโปรยมา มีลมหนาวอากาศน่าจะต่ำกว่า 10 องศา ทำให้เย็นมากสำหรับคนไม่คุ้นเคย มีหิมะบางส่วนในบางพื้นที่ ที่นั่นคนเขาเห็นแสงอาทิตย์ก็จะรีบออกจากบ้านมารับแดด ฤดูหนาวยาวมาก ที่เขาเปรียบเสมือนขั้วโลกเหนือมีประชากรอยู่อย่างเบาบาง สิ่งแวดล้อมดี แต่สุขภาพไม่แน่ใจเมื่อยามแก่เฒ่า เพราะคนสูงวัยจะมีไขมันใต้ผิวหนังน้อยลง อาหารก็มีปลาแซลมอนดิบๆทุกวัน ทานไม่เป็นแต่รู้ว่ามีคุณค่า เพราะเป็นคนใต้
ขอแสดงความคิดเห็นว่า ไม่ควรจะลาออก ควรจะหาเวลาช่วงปิดภาคเรียนไปพักผ่อนและเยี่มครอบครัวมากกว่า ที่นั่นค่าครองชีพสูงมากโดยเฉพาะแถบนี้ ได้พบหญิงไทยที่มีสามีคนที่นั่น เดิมอาชีพจบพยาบาลไทย วันนี้ทำงานเป็นแม่บ้านโรงแรม งานเสิฟ งานเลี้ยงเด็ก (อายุประมาณ 1-3 ขวบ) ก่อนวัยเรียนพาเที่ยวศูนย์การต้าและหญิงฟิลิปปินส์เช่นกันทำงานดูแลความสะอาดส้วมสาธารณะ คาดว่ารายได้ประมาณ 7-8 หมื่นบาทต่อเดือน แต่ค่าใช้จ่ายก็ขึ้นตามตัว หากมีปัญหาก็ติดต่อมา คุณเกวลี tel 089-650-2789 ยินดีให้คำแนะนำตามความสามารถ
โชคดี
รักประเทศไทยที่สุดของชีวิต



"



ขอปรึกษาค่ะ ตอนนี้รับราชการครูอยู่ในเมืองไทยค่ะ การศึกษาจบปริญญาโท เอกภาษาอังกฤษ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษค่ะ ไม่มีหนี้สินค่ะ สร้างบ้านแล้วในเมืองไทย อยู่ในไทยเราค่อนข้างสบาย ชีวิตค่อนข้างพร้อมแล้วค่ะ
แต่สามีชาวสวีเดน อยากให้เราลาออกไปอยู่สวีเดน โดยเรามีลูกสาวจากอดีตสามีเก่า ถ้าไปจะนำไปอยู่ด้วย อายุุ 8 ขวบ เราแต่งงานกับสามีชาวสวีเดนมาได้ 2 ปีแล้ว แต่เรายังไม่มั่นใจว่าเราจะพร้อมไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สวีเดน และถ้าไปก็จะรอจนกว่าลูกสาวจะเข้ามหาวิทยาลัย เราก็อาจกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยเพราะมีบ้านแล้วที่นี่ แต่มีคนในครอบครัวทัดทานไม่อยากให้ลาออก เพราะพี่สาวเคยไปอยู่แคนาดาได้ 3 ปี แล้วไม่อยากกลับไปอยู่อีกเลย และมีเพื่อนหลายคนที่ติดต่อกันทางfacebook ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นก็ไม่แนะนำให้ลาออก เราเลยเกิดความลังเล ไม่รู้ว่าเราจะเอาตัวรอดรึเปล่ากับชีวิตที่นั่น
ในขณะนี้เราอายุ 41 แล้วค่ะ ถ้าอายุน้อยกว่านี้อาจจะตัดสินใจง่ายค่ะ หรือไม่ลังเล
อยากถามว่า ถ้าลาออก เราจะทำงานอะไรได้บ้างกับชีวิตที่นั่น ความมั่นคงในชีวิตมีมากแค่ไหน แม้ว่าสามีจะยืนยันแต่เราก็กลัวความไม่มั่นคงค่ะ
ขอทราบประสบการณ์ของคนที่อยู่แถบสวีเดน หรือแถบนั้นว่าความรู้สึกเป็นอย่างไรเมื่อได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ต่างกันกับเมืองไทยอย่างไร

"


ตอบกลับความเห็นที่ 15