จริงหรือเปล่าเรียนPhDยิ้มอยู่สองวัน วันที่ได้เข้าไปเรียนกับวันที่จบออกมา

ขนาดนั้นเลยหรือ แล้วคุ้มไหมครับ สิ่งที่ได้มากับสิ่งที่เสียไป

ความคิดเห็นที่ 1
ส่วนตัวเรานะ รอยิ้มรอบสองอยู่ แต่ตอนนี้เครียดอยู่ ผื่นขึ้น ผมร่วง ใกล้บ้าแล้วล่ะ เป็นซึมเศร้าด้วย เราว่าไม่คุ้มหรอก สู้จบป.โทแล้วมีประสบการณ์ทำงานเยอะๆดีกว่า เห็นเพื่อนๆรุ่นเดียวกันแต่งงานมีครอบครัว มีลูกที่น่ารักแล้วอิจฉา T_T คิดแล้วไม่น่ามาเรียนเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ยิ้มอยู่สองวัน นานไป
ซื้อ ใบ ปริญญา ง่ายกว่า ไม่ต้องยิ้ม ให้เมื่อยปาก นะ


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
ไม่ขนาดนั้นมั้งคะ
มันก็เครียด ซึมเศร้าเป็นพักๆ คิดฆ่าตัวตายก็มี
แต่ก็ยิ้มและหัวเราะอยู่เสมอๆ

เพราะได้เรียนรู้ได้เห็นอะไรมากมาย
มีมุมมองที่กว้างขึ้น
เจอเพื่อนดีๆก็เยอะ (จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนรอบข้างก็ตอนเราลำบาก+ยังไม่มีอนาคตนี่แหละค่ะ) ได้เที่ยวเกือบทั่ว U.S. (แถม europe กับ Canada ด้วย)
สำหรับเรา ไม่รู้สึกว่าตัดสินใจผิดค่ะ

แต่ก็นั่นแหละ ก็คงแล้วแต่บุคคลและประสบการณ์นะคะ
คงเอาประสบการณ์ใครคนใดคนหนึ่งเป็นบรรทัดฐานไม่ได้
แต่ถ้าเลือกแล้ว ก็ทำให้ดีที่สุดนะคะ
อย่ามองกลับไป และอย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใครเลยนะคะ
มีความสุขกับสิ่งที่เรามี(และเป็น)ดีกว่านะ

เป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
เราเรียนเอกอยู่จ้า กำลังเครียดเลย (ตามกระทู้ด้านล่าง) ฮ่าๆ แต่เราว่าที่บอกว่า ยิ้มได้แค่สองวันคือวันเข้ากับวันจบนี่ออกจะมากไปหน่อยนะ มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก

จริงอยู่ที่การเรียนป.เอกเป็นอะไรที่เครียดและต้องรักษาวินัยมากๆ เพราะไม่มีคนมาคอยจี้ตลอด ไม่ต้องเข้าห้องเช็กชื่อ ถ้ามัวเอ้อระเหยก็คงไม่จบ แต่รุ่นพี่และเพื่อนๆเราที่เห็นทุกคนก็ไม่เห็นมีใครทรุดโทรมปานนั้น นอกจากตอนเขียนโค้งสุดท้ายที่จะเก็บตัวหายไปเลยเป็นเดือน แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพชีวิตส่วนตัวด้วยนะคะว่าจะผ่อนคลายยังไงบ้าง ถ้าคิดแต่เรื่องเรียนอย่างเดียวไม่แวะไปพักผ่อนก็คงเหนื่อยเกินไปนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ถ้ามีหน้าที่แค่เรียนอย่างเดียว ไม่มีอะไรรอบข้างให้กังวล พื้นฐานตัวเองดี เช่น มีทุน สติปัญญาระดับกลางถึงดี ครอบครัวสนับสนุน ต่อให้สิบปริญญาเอกก็ไหวค่ะ

แต่ถ้า ครอบครัวก็จน ไหนจะต้องส่งเงินให้พ่อแม่ที่บ้านนอก ได้ทุนมาก็ไม่ครอบคลุมจนจบหลักสูตร แล้วตอนที่ได้ทุนมา ก็โดนคัดมาจากองค์การภายในอาจจะเส้นบ้าง อาจจะเพราะหัวหน้ายุ แบบนี้แค่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง แค่เรียนภาษาคอร์สสั้นๆ ก็แย่แล้วค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
บางคนก็ยิ้มแค่วันเดียวนะวันที่เข้าไปเรียน
ส่วนวันที่จบนี่ร้องไห้หนักเลยแบบว่ามันดีใจ ปลื้มใจสุดๆแล้ว
เพราะกว่าจะจบนี่มันผ่านอะไรมาเยอะ เจ็บมาเยอะแต่ในที่สุดก็ผ่านมาได้...


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
มันแล้วแต่สาขา สถานที่ อาจารย์ที่ปรึกษา และเวรกรรมด้วยนะคะ

ถ้าสาขาที่เรียนเป็นวิทยาศาสตร์คุณอาจจะเหนื่อยมากกับการทำแลบ ผมอาจจะหงอกไปหลายเส้น คือตอนเราเรียนเราทำแลบยันเช้าบ่อยมาก มันเหนื่อย ตอนนั้นคิดไว้วว่าถ้าอายุมากกว่านี้เรียนไม่ไหวแน่ เพราะไม่สามารถทำแลบขนาดนี้ได้ อีกอย่างก็คือ thesis ที่ทำชอบไหม ถ้าชอบมันก็ยังยิ้มได้นะ ยังฮึดสู้เวลาที่เจอปัญหา

สถานที่ที่เรียน สิ่งแวดล้อมดีไหม เพื่อนดีไหม ถ้าสิ่งแวดล้อมดีบางทีมันก็สนุก แต่ถ้าเจอเพื่อนที่แทงข้างหลังตลอดก็ไม่ไหว

อาจารย์ที่ปรึกษา อันนี้เรื่องใหญ่มาก ถ้าเปรียบกับชีวิตทางโลกนี่อาจจะหมายถึงสามีหรือภรรยากันเลยทีเดียว เพราะเลือกผิดคิดจนตัวตาย อาจารย์บางคนเก่ง แต่นิสัยไม่ค่อยดี อาจารย์บางคนไม่เก่ง นิสัยยังไม่ดีอีก อาจารย์บางคนไม่ได้รู้ไปมากกว่าเรา อาศัยเรียนรู้ไปพร้อมๆ เรา

และสุดท้ายก็แล้วแต่เวรกรรม

เราเรียน ป เอก ที่เมืองไทย ฝันร้ายมากๆ ไม่อยากจะจดจำเลย จนน้องที่เรียน ป โท มากับอาจารย์เดียวกับเราตัดสินใจไปต่อเอกเมืองนอก เพราะมันว่ามันทนไม่ไหวแน่แบบนี้ ตอนนี้ชีวิตการเรียน ป เอก ของน้องคนนี้มีความสุขมากๆ งานไปได้ดี อาจารย์ที่ปรึกษาดี ราบรื่นมาก กำลังจะสอบจบแล้ว

ของแบบนี้พูดเอาตายตัวไม่ได้ค่ะ แล้วแต่สถานการณ์ของแต่ละคน

ถ้าถามว่าคุ้มไหมกับสิ่งที่เสียไป อันนี้แล้วแต่เราว่าจบแล้วเลือกจะทำอะไร ถ้าจบแล้วไม่ทำอะไรก็ไม่คุ้มอ่ะ หรือถ้าแค่อยากทำงานไปวันๆ ไม่ได้สนใจทำวิจัย ก็ไม่คุ้มนะ จะคุ้มหรือไม่คุ้มขึ้นกับการเลือกทางเดินหลังจากเรียนจบ

ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
เห็นหัวข้อนี้เลยถามลูกชายที่กำลังเรียน Phd (Sustainability) ที่ ASU เป็นปีที่สอง ว่าจริงหรือเปล่าที่เขาว่ามานี่น่ะ

ลูกยิ้มๆบอกว่าจริงอย่างนั้นแหละ ว่าแล้วก็กลับเข้าครัวไปทำ speghetti sauce ต่อ มานยังบอกต่อว่าเดี๋ยวเรียนจบแล้วจะไปเป็น cook


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ขึ้นอยู่กับสาขาและระบบการทำด๊อกของแต่ละประเทศ ถ้าเป็นสาขาด้านวิทยาศาสตร์ทั้งหมด รวมทั้งวิศวกรรมด้วย ระบบทำด๊อกที่เยอรมนีจะเป็นอย่างที่ จขกท หรือ คนอื่นๆ บรรยายถึงความยากลำบาก ระยะเวลากำหนดไว้ได้เลยอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 ปี จะเรียกว่าเรียนก็ไม่ได้อีกเพราะไม่มีการเรียนในห้องอีกแล้ว เป็นการทำงานล้วนๆ ร้อยเปอร์เซนต์ การทำปริญญาเอกถึงต้องมีทุนมารองรับ จึงควรคิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจทำ เพราะสาขาวิชาเหล่านี้ต้องออกผลด้วยการทดลอง ไม่เหมือนทางด้าน กฏหมาย เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ

แต่ถ้าเป็นอเมริกาหรืออังกฤษจึงยังเรียกว่าเรียนปริญญาเอกได้ อย่างที่คุณ PatPDX กล่าวถึง


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
ไม่สาหัสสากรรจ์ อย่างที่ชอบพูดกัน
เป็นช่วงที่ชีวิตผมมีความสุข ปลอดโปร่ง และสุขภาพดี แข็งแรง
มีความวิตกกังวล น้อยกว่าขณะเรียนโท

เพราะ ได้เรียนตามแนวทางที่ถนัด คือวิจัยอย่างเดียว
เป็นคนความจำไม่ดี
ไม่ถนัดกับการเรียน ที่ต้องดูหนังสือไปสอบ หรือแบบมี Course Work

ได้เมียและได้ลูกขณะเรียนยังไม่จบ........อันนี้สำคัญมาก
และได้ปริญญา

และที่สำคัญ ตลอดระยะเวลาของการเรียน
บริหารเวลา ให้ตัวเองได้ไปออกกำลังกาย
ที่โรงยิมของมหาวิทยาลัย และวิ่งออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ
ในที่สุด อาจารย์ที่ปรึกษา ทำตามด้วย เพราะอยากหุ่นดีเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้กระมัง ทำให้ผมมีพละกำลัง และสุขภาพดี
สามารถทำงาน เกี่ยวกับการเรียนได้อย่างดี
สดชื่น ไม่อยู่แบบเหี่ยวๆเฉาๆ

ปัจจุบันเดินอย่างเดียว ไม่วิ่งแล้ว เพราะเจ็บเข่า
หมอคู่ชีวิต คนข้างกาย ก็ช่วยอะไรไม่ได้ครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
จากคำกล่าวนี้คิดว่าไม่จริง เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวคือ ยิ้มได้แค่วันเดียวคือวันที่ได้รับหนังสือตอบรับให้เข้าเรียนต่างหาก แต่เมื่อก้าวเข้าไปแล้วกลายเป็นยิ้มไม่ออก :P

(ข้างบนนี่พูดแซวเฉยๆ นะ) จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ยังดำเนินชีวิตไปตามปกติเหมือนกับตอนเรียนป.ตรี ป.โท แต่ความแตกต่างอยู่ที่ว่ามันมีความกดดันและความเครียดลึกๆ ตลอดเวลา เพราะว่าเราไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ 3-4 ปีผลจะออกมาเป็นยังไง จะผ่านหรือเปล่า จนกระทั่งวันที่เรารู้ว่าจบแน่ๆ นั่นแหละถึงจะเข้าใจว่าความโล่งใจมันเป็นยังไง (เราพูดกันเล่นๆ ในหมู่เพื่อนป.เอกด้วยกันว่า ถ้าใครยังไม่ฝันถึง thesis ตัวเองนี่แสดงว่ายังไม่เข้าถึงหัวข้อตนเอง)

และพอเรียนจบมาแล้วถึงเข้าใจว่า ที่เคยคิดเมื่อตอนเด็กๆ ที่คิดว่าคนจบดร.นี่ต้องฉลาดมาก แต่พอมาได้เรียนเองถึงรู้ว่า ไม่ต้องเป็นคนฉลาดมากๆ ก็เรียนได้ แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นคนที่มีความอดทน และรับมือกับความกดดันต่างๆ ได้


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ไม่จริงค่ะ แล้วแต่คนมากกว่า แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นก็เครียดเป็นช่วงเวลา ตอนสนุกสนาน รื่นเริงก็มีเยอะ ของเราและเพื่อนส่วนใหญ่ คุ้มค่ะ ห้าปีได้เรียนฟรี ได้ตังค์ ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ ของเราได้สามีกับลูกด้วย

ตอนเรียนก็มีบ่น เบื่อวุ้ย เรียนทำไมเนี่ย ไม่เอาอีกแล้ว เข็ดแล้ว แต่ก็บ่นมาตั้งแต่ปริญญาตรี เรียนโทก็บ่นอย่างเดิม แต่ก็ยังเรียนเอก จบแล้วไม่ติดว่ามีลูกก็ว่าจะทำ postdoc

ชอบคุณข้างบนเขียน ดร อาจไม่ต้องฉลาดมากแต่ต้องอึดดดด


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
ความเข้าใจผิดของคนทั่วไปของคนส่วนใหญ่ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีประสบการณ์ในการทำปริญญาเอก ที่มองว่าคนมีด๊อกเตอร์นำหน้าต้องฉลาดและเก่งกว่าคนทั่วไป จึงทำให้การมีตำแหน่งด๊อกเตอร์หลายๆ กรณีกลายเป็นบ่วงผูกคอตนเองไป เพราะคนทั่วไปจะตั้งความหวังไว้กับคนเหล่านี้ว่าจะต้องมีความรู้ดีไปเสียทุกเรื่องซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่ เพราะการทำปริญญาเอกเป็นการเรียนรู้ลึกในสาขาวิชาเฉพาะเท่านั้นจึงไม่ได้หมายความว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่อง พอไม่ได้เห็นอย่างที่หวังว่าจะควรจะเป็น จึงกลายเป็นว่าเรียนมาสูงเป็นถึงด๊อกเตอรืเสียเปล่าแต่ไม่เห็นฉลาดอย่างที่คิด

ในสังคมไทยทุกวันนี้ จึงเห็นผู้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกในสาขาต่างๆ อยู่ในทุกวงการอาชีพ ทำงานทั้งระดับนักบริหารระดับสูง นักวิชาการ จนถึงนักปฏิบัติการในระดับล่างๆ รวมถึงผู้ตกงานอีกด้วย ผู้ที่เป็น "ดร." จึงต้องมีความแตกต่างกันถึงคุณภาพและศักยภาพ เพราะมีที่มาที่ไปแตกต่างกัน

"ดอกเตอร์" จึงไม่ใช่สูตรสำเร็จของมนุษย์ที่มีคุณภาพและศักยภาพสูงสุด ตามความหมายของปริญญาดุษฎีบัณฑิต ดังที่หลายคนเข้าใจกัน

อย่างไรก็ตามเราก็ต้องให้เครดิตคนเหล่านี้ที่มีความสามาถเรียนได้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีความฉลาดในการเรียนรู้ได้ดีกว่าเกณฑ์เฉลี่ยถึงดีมาก ลำพังความขยันและลูกอึดอย่างเดียวไม่มีใครสามารถทำปริญญาเอกได้ มิฉะนั้นคงไม่มีการกำหนดคะแนนของผู้ที่มีสิทธิ์จะเรียนได้

ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
คุณ Mr.Feynman เจ้าของกระทู้บอก ว่า
คนเรียนปริญญาเอก ยิ้มอยู่สองวัน
คือ วันที่ได้เข้าไปเรียน กับวันที่จบ

กลับไปนั่งทบทวนอีกรอบ
เอ๊ะ มันยิ่งไม่เป็นความจริง สำหรับตัวเราเลยนี้ !

ถ้านับวันที่ได้พบกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่ภาควิชา
เป็นวันแรก ของการเข้าเป็นนักเรียนปริญญาเอก
จำได้ว่า วันนั้น เป็นวันที่แย่ที่สุดสำหรับผม

เมื่อคนที่กำลังจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาผม พูดอย่างเสียงดังฟังชัด ว่า
...ยินดีที่เดินทางมาจากสงขลาอย่างปลอดภัย
ได้ข่าวว่า ได้เข้าพักที่หอพักนานาชาติ เรียบร้อยแล้ว ใช่ไหม
ต่อไปนี้ให้ลืมสื่งหนึ่ง ที่พวกยูชอบใช้กันที่เมืองไทย
แล้วท่านก็ออกเสียง ประโยคว่า “ ไม่เป็นไร ” เป็นภาษาไทย ไม่ค่อยชัดสักเท่าไร
แล้วสำทับต่อว่า ห้ามนำหลักการนี้มาใช้เด็ดขาด
ถ้าผมอยากจะเรียนให้สำเร็จ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา..

ยังไม่พอ.. ท่านพูดต่อว่า
...ฉันเป็นคนที่เกลียด ความโง่ของคนอย่างที่สุด
และจะไม่มีความอดทน ต่อการกระทำแบบโง่ๆของใคร..
เจอไม้นี้เด็กต่างจังหวัด บินตรงจากสงขลาอย่างผม
จะยิ้มออกได้อย่างไร ดูท่านรู้ทางผมไปเสียหมด แฮะๆๆ

แต่วันนี้มาใคร่ครวญดู ผมว่า
อาจารย์ที่ปรึกษาฝรั่ง ท่านให้พรผม

ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
กระทู้นี้ เอาซะคนอยากเรียนอย่างหนูเริ่มหวั่นใจเบาๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
ความคิดเห็นที่ 15
คุณ~~ช้างน้อยร้อยโล~~จ๋า
อย่าไปซีเรียสกับความคิดเห็นที่ 14 ของผมนะ
มันเป็นเรื่องโบราณที่เกิดขึ้น เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วจ้า


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
นึกย้อนกลับไป วันแรกที่เริ่มเรียนรู้สึกกดดันเพราะต้องสอบผ่าน coursework (เป็น condition การรับเข้า) วันที่จบก็ไม่ได้ยิ้ม รู้สึกว่าในที่สุดก็แก้ dissertation เสร็จซะที อยากกลับไปนอนพักให้เต็มที่

มองกลับไป ชีวิตตอนเรียนเอกถือได้ว่า suffer พอสมควร แต่ทำให้เรารู้จักตัวเองดีขึ้น อดทนมากขึ้น รับแรงกดดันและ handle ความล้มเหลวได้ดี

และเห็นด้วยกับหลายๆท่านข้างบนว่าคนจบปริญญาเอกไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดหรือฉลาดที่สุดครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
เราว่ามันก็จริงบางครั้งหน่ะค่ะ สำหรับเราเรียนค่อนข้างยาก และไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเรียน มันเลยมีอุปสรรคเรื่องภาษา แถมเรียนข้ามสาขาอีก มันเหมือนเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง ตอนเข้าไปได้ ดีใจมาก แต่ตอนเรียนต้องใช้ความพยายามมาก ต้องมีวินัย เราไม่เก่งเลยต้องพยายามหนักกว่าคนอื่น บางครั้งกดดัน เครียดมาก ร้องไห้เลยอ่า เพราะเราอยู่คนเดียวด้วย มันไม่รู้จะไประบายกับใคร ทุกอย่างต้องช่วยเหลือตัวเอง หวังพึ่งใครไม่ได้ อาทิตย์ที่แล้วเครียดเรื่องงาน ถึงขนาดว่าจะซื้อตั๋วกลับบ้านเลยอ่ะค่ะ อยากกลับบ้านไปพัก ตั้งหลัก ตั้งสติ แต่พอมันผ่านไปได้ โคดสบายใจเลย

สู้ๆกันต่อไปนะคะทุกๆคน


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
ช่วงแรกๆมันก็สนุก ตอนได้ไป conference ที่ประเทศอื่นก็สนุก เพราะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ
เจอเพื่อนใหม่ๆ
แต่ผ่านไปซะปี มันเริ่มไม่เป็นงั้น เมื่อรู้ว่าเพื่อนที่อยู่ในกรุ๊ปเดียวกันเริ่มแทงข้างหลัง
คนไทยเนี่ยแหละ เราเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่เด็ก ตามตรงไม่ชินและไม่ค่อยเข้าสังคมกับคนไทยเท่าไหร่
แต่พอมาเจอคนไทยในคณะเดียวกัน จบจากมหาลัยดังๆของไทย
แต่มีนิสัยขี้อิจฉา ขี้ประจบ เห็นคนอื่นดีกว่าหรือเด่นกว่าไม่ได้ (เหมือนหลุดมาจากในละครเลย)
เราทนมาสามปีค่ะเหมือนนรกทุกวัน
เราคิดจะฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอด เครียดมาก แล้วถึงขั้นต้องหาหมอโรคจิต
เพราะคิดว่าเวลาสามปีที่เราเสียไป ทรมานที่ต้องโดนนินทาทุกวัน
แก่งแย่งชิงดี ทั้งสร้างเรื่องต่างๆนาๆ เพื่อให้เราดูแย่ในสังคมไทยที่นี่
พยายามอดทนที่จะเขียนๆให้เสร็จ เพื่อที่เราจะได้เอาชีวิตที่มีความสุขกลับมาซะที
จะเรียนปริญญาเอกต้องอดทน แล้วก็ต้องขึ้นอยู่กะว่า จะซวยเหมือนเราได้เจอเพื่อนร่วมเรียนแย่ๆแบบนี้ไหม


ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
คุณ OtaGo ต้องสู้ค่ะ เราเจอมาแล้ว แต่เป็นที่เมืองไทยนะคะ ถ้าเราทำถูก ทำดี ไม่ต้องสนใจค่ะ ทำงานของเราไป แล้วเราก็จะจบค่ะ พวกที่คอยแต่จะทำเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อนมันจะไม่จบค่ะ

ที่ที่เราเรียนเป็นแบบนั้นเลย มากไปกว่านั้น "หัว" ยังเป็นไปด้วย ของคุณถ้า Prof ไม่สนใจคนพวกนี้ คุณก็ไม่ต้องไปสนใจค่ะ แต่เข้าใจว่ามันจิตตก เพราะเรียนมันก็เครียดพอแล้ว

ตัวอย่างคนแบบนี้มีค่ะ เข้ามาเรียนแล้วคอยแต่จะว่า จะแขวะคนอื่น เอาสมุดแลบของคนที่จบไปแล้วมาดู แล้วก็มาบอกว่าแลบที่คนก่อนทำไปน่ะไม่จริงหรอก เมคขึ้นมา เขาทำไม่เห็นได้เหมือนกันเลย คืองานที่ตัวเองควรจะทำไม่ทำ มาคอยจับผิดชาวบ้าน นินทาชาวบ้าน สุดท้ายเวลาหมด งานไม่มี โดนออก ต้องใช้หนี้ทุนอีกต่างหาก ไม่อยากจะบอกว่าสมน้ำหน้า แต่มันสมควรแล้วค่ะ

ใครทำอะไรก็จะได้อย่างนั้น เราก็ต้องรักษาตัว รักษาใจ เรียนให้จบค่ะ แล้วก็ไปจากคนเพี้ยนๆ พวกนี้ ชีวิตจะดีเองค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
ชอบกระทู้นี้จังเลยค่ะ
เพิ่งเริ่มเรียนได้เดือนเดียว ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไงบ้าง

ปล แอบเป็น fanclub คุณ newcomer อิอิ


ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
ขอบคุณ คุณ แลนซ์ลอท มากค่ะ
ใช่เลยค่ะ นั่งจับผิด ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่ชีวิตประจำวันของเราด้วย
ถึงขั้นว่า เราไม่สุงสิงกับคนไทยที่คณะเท่าไหร่ แต่จะคบต่างชาติมากกว่า เราก็โดนหาว่าเราขายชาติค่ะ
ตอนนี้เหลือแก้ไข thesis ก็จะ submit แล้วค่ะ อีกนิดเดียว
แต่มาหมดแรง หมดกำลังใจตอนแก้ไขเนี่ยแหละ
เพราะหันกลับไปมองชีวิตสามปีที่ผ่านมา ไม่มีความสุขเลย
ความคิดเราเอง ทำร้ายตัวเอง
เรียนเอกต้องมีความคิดเชิงบวก เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้าจริงๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 22
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 23
ความคิดเห็นที่ 21
ไม่อยากถาม แต่ลึกๆก็อยากรู้ว่าคุณ staryscary เรียนอะไร ที่ไหน
เหน็ดเหนื่อยจากการเรียน เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ

ตอบกลับความเห็นที่ 23
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 24
เค้าว่ากันว่า การเรียน PhD เป็นชีวิตที่โดดเดี่ยว จริงหรือเปล่าคะ
รู้สึกว่าไม่ค่อยเจอเพื่อนร่วม department เลย
ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง ?

ถ้าจะคิดแง่บวกก็คือ เหมือนเราไม่ต้องแข่งกับใคร เอาตัวเองให้รอด ใช่หรือเปล่าคะ
หรือว่าที่อื่นไม่เป็นแบบนี้

คุณ newcomer ดิฉันมาเรียนด้านจิตวิทยาที่อังกฤษค่ะ

ตอนนี้สิ่งที่เจอก็คือ ต้องขยันมากกว่าคนอื่ืน เพราะเพื่อนคนอื่นเค้าจบโทจากที่นี่ ก็สามารถต่อยอดขึ้นไปได้เลย เริ่มเรียนมาเดือนเดียว บางคน set lab สำหรับทดลองแล้ว
แต่ไอ้เรายังต้องมานั่งเรียน core course

อยากถามด้วยว่า ท่านอื่นๆ ที่เรียน PhD กว่าจะได้เริ่มเก็บข้อมูลนี่ใช้เวลากันประมาณเท่าไหร่คะ


ตอบกลับความเห็นที่ 24
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 25
ผมยอมยิ้มแค่สองวันครับ ถ้าเกิดว่าทำให้สามารถจบเอก ตามที่ฝันได้ :D
ถ้าฝันแล้ว ไงๆ มันก็ต้องให้เต็มที่ครับ ผมเชื่อว่า ยิ้มที่สอง จะเป็นยิ้มที่มีความสุขที่สุด

ปล ตอนนี้ยังยิ้มได้เพระาว่า เพิ่งจะเริ่มเตรียมตัวสอบ TOEFL กับ GMAT 55555


ตอบกลับความเห็นที่ 25