หนึ่งทริปในไอซ์แลนด์

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเสียสักนิดนะคะว่า...อิฉันเป็นแค่คนแก่ๆ
คนหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในไอซ์แลนด์ในฐานะผู้ขายแรงงาน
แต่ด้วยเป็นคนชอบท่องเที่ยว...ดังนั้น เมื่อมีโอกาสก็มักจะ
ตะลอนๆ เที่ยวไป แม้แต่วันเดียวได้ขับรถเล่นรอบๆ เมืองก็
เอาดี...แต่สำหรับทริปนี้...
เป็นทริปยาวที่สร้างความประทับใจให้อิฉันอย่างมาก และคิดว่า
แค่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เดินทางแบบนี้ กับบรรยากาศแบบนี้
มันคือที่สุดของชีวิตของคนๆ หนึ่งแล้วละค่ะ...

ปกติอิฉันเขียนเรื่องเล่าบันทึกการเดินทางไว้ในเฟสบุ๊คส่วนตัว
แต่วันหนึ่งมาคิดว่า เราน่าจะแชร์ประสบการณ์แบบนี้ให้เพื่อนๆ
นอกวงการบ้างก็น่าจะดี ฮ่าๆๆๆ วันนี้เลยขอโอกาสพื้นที่นี้
มาบอกเล่าเก้าสิบให้หลายๆ คนได้เห็นการเดินทาง
แบบชาวบ้านอย่างอิฉันบ้าง คงไม่ว่ากันนะคะ...อิอิ

มาเริ่มกันเลยดีกว่า....

ซัมเมอร์หนึ่ง อิฉันวางแผนการเที่ยวเกาะเล็กๆ ระหว่างไอซ์แลนด์
กับเกาะอังกฤษที่ชื่อเฟว์โรไอร์แลนด์ นัดหมายกับเพื่อนชาวอังกฤษ
ชื่อเควิน ว่าเราจะไปเที่ยวด้วยกัน แต่อุปสรรคก็มาถึง โดยสายการบิน
ที่บินจากไอซ์แลนด์ไม่สามารถบินได้ด้วยสภาพอากาศไม่ดี

รออยู่ 2 วัน ก็เลยต้องงดการเดินทางแต่เปลี่ยนแผนมาทัวร์รอบ
เกาะแทน อิฉันติดต่อให้เควินที่รออยู่ที่เฟว์โรว่าไม่สามารถเดิน
ทางได้ ถ้าต้องการเที่ยวด้วยกันก็ให้เดินทางมาไอซ์แลนด์แทน
ซึ่งเควินก็รับทราบและขอเช็คflight บินก่อน

อิฉันโทรชวนสารถีคนเดิมและเพื่อนชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ใน
ไอซ์แลนด์ให้ไปเที่ยวด้วยกัน เพราะเคยเดินทางด้วยกันหลาย
ทริป .... แวนซ์ ก็รีบรับปากพร้อมกับบอกว่าจะขอพาแฟนสาว
ไปด้วย ซึ่งอิฉันก็ยินดี เพราะเจ้าเบ็นซ์คันงามก็สามารถบรรทุก
ได้ถึง 5 คน

เรื่องกฎหมายนั้นรับรองว่าคุณไม่มีทางฝ่าฝืนได้ง่ายๆ นะคะ เพราะ
หากเจอตำรวจกรณีที่นั่งเกิน นอกจากจะถูกจับเพื่อปรับและหักแต้ม
แล้ว คนที่เกินจะต้องลงจากรถโดยไม่มีข้อแม้ค่ะ เรื่องนี้เกิดกับตัว
เองที่บังอาจใช้รถคันเล็กโดยที่ไม่ได้ดูว่ารถเค้าให้บรรทุกแค่ 4 อิฉัน
ดันนั่งกันไป 5 ตำรวจเรียกเพื่อจดชื่อสำหรับใบเรียกเก็บค่าปรับ แต่
ที่น่าขบขันกว่านั้นแม้จะต่อรองกันอยู่เป็นนานคือ....ต้องลงหนึ่งคน
หากจะขับต่อไป แม้อิฉันจะบอกว่า แค่ตึกข้างหน้าก็ไม่ยินยอมค่ะ
ฝนก็ตกโปรยปราย

"ถ้านั่ง 5 คนคุณห้ามเลื่อนรถอีก!!!"

คำสั่งที่ออกมาจากเจ้าตำรวจหน้าจืด แล้วก็จอดรถนั่งเฝ้า
อิฉันต้องอยู่ในรถรอจนกว่าเพื่อนจะเอารถที่สามารถบรรทุกได้
5 คนมาเปลี่ยน ดูความซื่อตรงของตำรวจไอซ์แลนด์แล้วกันค่ะ

อุปกรณ์การพักแรมทั้งหมด หม้อข้าวหม้อแกงก็ลงไปแอ้งแม้ง
อยู่ท้ายรถ อิฉันขับรถไปรับโยเซฟหนุ่มสารถี และเลยไปรับแวนซ์
กับแฟนสาว และรีบออกเดินทางกันแต่เช้าโดยทางหลวงหมายเลข
1 ขึ้นเหนือพร้อมทั้งแพลนการเดินทางในรถว่าเราจะไปพักที่ทะเลสาบ Mývatn เป็นที่แรก แล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าจะไปไหนต่อ....

ความคิดเห็นที่ 1
เมืองหลวง Reykjavik มองจากมุมสูง


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ขอนั่งบนหลังคาแทนได้ไหมครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
ด้วยทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งเป็นถนนสายเมนหลักและเป็นวงกลม
วนรอบเกาะได้ เราวนซ้ายไปลอดอุโมงค์ใต้ทะเลระยะทางประมาณ
6 กม.เพื่อย่นระยะทางเป็นร้อย กม.ทีเดียว ผ่านเมือง borganes และ
วกขึ้นเหนือ ผ่านเมืองใหญ่ทางเหนือชื่อ Akureyri (อคูเรย์รี่) แวะเก็บ
ภาพน้ำตกแห่งหนึ่งคือ Goðafoss

สำหรับ Goðafoss เป็นน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ ที่อยู่
ในโปสการ์ด น้ำตกใหญ่แห่งนี้เป็นน้ำที่มาจากทะเลสาปเพราะน้ำจะใส
มาก (น้ำที่ละลายจากธารน้ำแข็งจะขุ่นข้น) บางตอนที่กระทบโขดหิน
จะมองเป็นสีเขียวอมฟ้าสวยงามทีเดียว...

เราเดินเข้าไปชมส่วนที่สวยที่สุดของน้ำตกที่ตกลงหน้าผาที่ไม่สูงมากนัก
หากส่วนบนที่ไหลมากระทบกับโคกหินใหญ่ตรงส่วนกลางของหน้าผา
แล้วแยกออกเป็นสองสายกว้างนั้น น่าชมยิ่งนัก...ดูแปลกตาจากน้ำตก
ทั่วไป

เต็มอิ่มกับการเก็บภาพน้ำตกสวย กับเวลาอีกไม่นานนักเพราะสองข้างทาง
ดึงดูดความสนใจในเวลาจนหมดสิ้น เราก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ทะเลสาป
Myvant เข้าจอดยังสถานที่สำหรับการวางเต้นท์ ไม่นานนักเราก็พร้อมที่จะ
จัดการหุงหาอาหารรับประทานอย่างขมักเขม้นเพราะว่าหิว....

กว่าจะเสร็จสรรพก็เย็น คุณโยเซฟไกด์คนดีบอกว่าจะพาเราไปอาบน้ำที่
บ่อน้ำโบราณ เป็นน้ำอุ่นที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก..ว่าแล้วก็พร้อมใจกัน
กระโดดขึ้นรถใช้เวลาประมาณ 10 นาที

หลังจากจอดรถอิฉันสังเกตุว่ามีนักท่องเที่ยวกำลังปีนป่ายขึ้นไปบนทิวเขา
เตี้ยๆที่ทอดเป็นแนวยาวอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างของสถานที่...เอ...มัน
เตี้ยเกินกว่าจะเป็นทิวเขานี่นา..งั้นอิฉันขอขึ้นไปชมกันบ้างดีกว่า...

เมื่อลัดเลาะทางที่ไม่ค่อยชันมากนักขึ้นมาถึงจะพบว่า เป็นรอยแยกของ
แผ่นดินที่ด้านล่างคงจะเป็นลำธาร และบางตอนน่าจะเป็นน้ำอุ่นเนื่องจาก
เห็นเป็นควันเล็ดลอดขึ้นมาตามรอยแยก ...

สำหรับรอยแยกนั้นก็ห่างพอสมควรในบางช่วง เพราะไม่สามารถกระโดด
ข้ามไปได้ นอกจากพวกกระโดดไกลเท่านั้น ดูๆ แล้วไม่เห็นมีอะไรน่า
แปลกจนถึงกะต้องมาปีนป่ายชมกันขนาดนี้ แต่เอาเถอะ เขาขายธรรมชาติ
นี่เนอะ เรายังเคยโดนพาไปดูหินช้างสี ที่ขอนแก่นได้เลยนี่นา....อิอิ

ถึงตอนนี้ก็ถามหาบ่ออาบน้ำโบราณกันละว่ามันอยู่ส่วนไหน โยเซฟ
ไกด์สุดหล่อก็ชี้ทิศทาง แล้วพากันเดินไปใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที ยังไม่ทัน
เหนื่อยเลยค่ะ...
แต่มันอยู่ไหนล่ะ.....เรามองเห็นแค่หินก้อนใหญ่ๆ กองโตอยู่ข้างหน้า
พอเลี้ยวลัดอ้อมมาอีกด้าน ก็ยังไม่เห็นเจ้าบ่อน้ำที่ว่า จนโยเซฟชี้ไปที่
โพรงข้างหน้า เดินไปชะโงกดูก็ยังไม่เห็นอะไรมาก นอกจากบันไดลิง
หยาบๆ ที่น่าจะไต่ลงไปได้ แลเห็นน้ำอยู่ด้านล่าง ความลึกที่จะต้องปีน
ลงไปก็น่าจะประมาณ 4-5 เมตรเท่านั้น....แต่ก็เห็นอะไรไม่ชัดแจ้งนัก....

โอวววววววว พระเจ้า...นี่หรือบ่อน้ำโบราณ เกินความคาดคิดจริงๆ 55
ว่าแล้วโยเซฟกับ แวนซ์ พร้อมสาวน้อยชาวไอซ์แลนด์คนนั้นก็พากัน
เปลื้องเสื้อผ้า
2 หนุ่มน่ะไม่เหลืออะไรเลย ส่วนสาวน้อยเธอยังมีอันเดอร์แวร์ แล้วก็พา
กันปีนป่ายลงไป ตามบันไดลิงที่เห็น...
อ้าววว เหลืออิฉันคนเดียวที่ยังกระมิดกระเมี้ยน โธ่...สาวชาวไทยใจปลา
ซิวอย่างอิฉัน มีหรือจะกล้า...

แต่เสียงท้าทายด้านล่างพร้อมกับคำเสียดสีให้เลือดไทยในกายเดือดพล่าน..
เอาวะ..ไหนๆ ก็ไหนๆ ถึงใจจะปลาซิว และกลัวหน่อยๆ ก็ค่อยๆ เปลื้องเสื้อ
ผ้าเหลือแต่อันเดอร์แวร์....เอ่อ...อย่านึกภาพคนชราวัย 50 นะคร้า 55

แล้วก็ต้องค่อยๆ ตะกายลงไปนึกอยู่ในใจว่ามันคงหนาวแน่ๆ ด้วยสภาพ
อากาศที่ค่อนข้างเย็น และนั่นคือน้ำนะคะ แถมไอร้อนก็ไม่เห็นมีแต่ก็ยัง
อยากลองว่าทำไมเค้าถึงลงไปยืนในน้ำกันอยู่ได้ แต่เมื่อแหย่ขาลงไป...
แว่บแรกออกจะเย็นค่ะ...แต่พอแช่สักเดี๋ยว...มันอุ่นจริงๆ อุณหภูมิของน้ำ
ก็คงประมาณ 30 องศาเซลเซียส เพราะค่อนข้างเย็นแต่ไม่ถึงกับทนแช่
ไม่ได้ อิฉันเลยได้แช่น้ำจนสบายใจ สาเหตุเพราะพอลงมาข้างล่างแสง
จากด้านบนก็ลอดลงมาพร้อมกับสายตาที่ปรับสภาพกับความมืด อิฉันก็
เริ่มจะมองเห็นรอบๆ ตัวอย่างลางๆ

ข้างล่างเป็นโถงกว้างประมาณ ตึกแถวห้องหนึ่ง เพดานสูง ส่วนระดับน้ำ
ก็ลึกแน่ๆ เพราะอิฉันว่ายเล่นได้โดยเท้าเหยียบไม่ถึงพื้นด้านล่าง เว้น
เฉพาะบริเวณที่ลงไปสามารถยืนได้ระดับอก น่าจะเป็นก้อนหินใหญ่ๆ ที่
วางอยู่ระดับลึกลงไปนั่นแหละค่ะ เป็นชานพักให้อิฉันยืนสบายๆ
อิฉันว่าน้ำในนี้น่าจะระบายได้เพราะส่วนที่โค้งเว้าลงมาดูเป็นอุโมงค์ น้ำ
น่าจะมีหนทางให้ไหลไป และความรู้สึกก็เหมือนกับว่าน้ำจะไม่ได้อยู่นิ่งๆ
แต่เป็นกระแสน้ำที่ไหลไปทางขวาเอื่อยๆ ไม่ถึงกับไหลแรง แสดงว่าต้อง
เป็นทางน้ำใต้ดิน

หลังจากสอบถามด้วยภาษาที่เข้าใจกันได้ดี คือภาษามือ โยเซฟก็บอก
ว่าอิฉันเข้าใจถูกต้องแล้ว เพราะน้ำนี้เป็นสายเดียวกับที่อิฉันไปชะโงกดู
บนเนินเมื่อสักครู่นี่แหละ สายน้ำใต้ดินลอดมาผุดขึ้นใต้ผนังหินด้านซ้าย
และจะไหลไปออกตรงทะเลสาบที่เราไปกางเต้นท์พักกันอยู่นั่นแหละ...
คนพื้นที่และไกด์เท่านั้นที่จะสนใจและรู้ถึงความมหัศจรรย์ตรงนี้ ....

หากความสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวคงน้อยนักหากเทียบกับสถานที่อื่นๆ
ก็เลยไม่ค่อยมีคนมาชม....

อาบน้ำเล่นกันจนสบายตัวโดยไม่ต้องพึ่งพาสระว่ายน้ำให้เสียสตางค์
(250 โคลน่า น่าจะประมาณ 60 บาท) เราก็ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหาเครื่อง
ดื่มที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นดื่ม ก่อนกลับไปที่เต้นท์ข้างทะเลสาปที่เราไปเสีย
สตางค์กางเอาไว้พักแรมสำหรับค่ำคืนนี้....

เสียงโทรศัพท์ที่ปลุกอิฉันตอนเช้าทำให้ต้องตาลีตาเหลือกขึ้นมารับสาย...
ปรากฎว่านายเควิน หนุ่มอังกฤษได้โทรเข้ามาบอกว่า จับเที่ยวบินที่จะบินมา
ได้แล้ว โดยเที่ยวบินมาลงที่เมือง Egilsstaðir เมืองใหญ่ทางตะวันออกของ
เกาะไอซ์แลนด์ ซึ่งใช้เวลาจากเกาะเฟว์โรแค่ชั่วโมงเดียว และเครื่องจะออก
ในสามชั่วโมงข้างหน้า อิฉันต้องปลุกนายแวนซ์และสาวน้อยคนงามขึ้นมา
เพื่อจะเตรียมตัวเก็บของเดินทางไปรับเควินที่ Egilsstaðir

และเมื่อเก็บของตกลงกันเรียบร้อย กลับเป็นว่า เราต้องไปส่งสาวน้อยข้าง
กายนายแวนซ์ขึ้นเครื่องกลับไป Reykjavík เพราะเธอไม่สามารถร่วมทริป
ยาวกับเราได้ โดยเราต้องขับย้อนไปส่งเธอที่ Akureyri แล้วก็ไปรับนาย
เควินกัน ซึ่งรวมเวลาส่งสาวน้อยและวกรถกลับไปรับเควินก็ได้เวลาเครื่อง
ลงพอดี...

โยเซฟแพลนให้เควินรับทราบว่าเราจะไปเที่ยวเหนือขี้นไป และรับรองว่า
ทุกคนต้องชอบ...
และนี่คือจุดเริ่มต้นความประทับใจ...4 นักเดินทางต่างสัญชาติ อันมีไทย
ไอซ์แลนด์ อเมริกันและอังกฤษ ...แต่คืนนี้เห็นทีต้องพักที่เมืองนี้เสียหนึ่งคืน
เพราะว่าตอนนี้มันบ่ายแก่ๆ ถ้าเร่งการเดินทางจะไม่สนุก....เสียงโยเซฟ
คนนำทางบอกเช่นนี้แล้วใครจะกล้าเถียง อิอิ

หากสถานที่พักแรมตรงนี้ทำให้ดิฉันไม่เหงา ด้วยว่าได้เจอคนไทยที่รู้จักก็
มาทริปกับนักขับรถโบราณ..บังเอิญจริงๆ แต่ที่บังเอิญกว่านั้น ด้วยภาษา
ไทยที่เราคุยกันทำให้ได้เจอสาวน้อยที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดใกล้ๆ นี้อีกคน
หนึ่ง...เธอมากับครอบครัวและจะเดินทางไปเรื่อยๆ แบบค่ำไหนนอนนั่น
ด้วยรถนอนแบบท่องเที่ยว...นี่แหละค่ะชีวิตของคนไอซ์แลนด์ในช่วง
ซัมเมอร์....


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
ถนนออกต่างจังหวัด กับในเมืองไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ส่วนมาก
เป็นถนนสองเลน...สำหรับ speed limit ก็อยู่ที่ 90 กม./ชม ซึ่ง
เราต้องเคารพกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะมีกล้องอยู่เป็นระยะๆ
แถมบางตอนก็มีตำรวจคอยดักยิงเรเซอร์ตรวจจับความเร็วเสียด้วย


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
อุโมงค์ใต้ทะเล ที่ย่นระยะการเดินทางได้เกือบร้อยกิโล
อุโมงค์ยาว 6 กม. เสียค่าผ่านทาง 1000 โคลน่า น่าจะ
ประมาณ 200 กว่าบาท


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
น้ำตก Goðafoss ที่นักท่องเที่ยวต้องแวะชม


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
อ่าว..ลืมรูปซะงั้น อิอิ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
ตั้งแคมป์ที่ริมทะเลสาป Mývatn จัดเตรียมอาหาร


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ที่จอดรถใกล้บ่อน้ำโบราณ ปีนขึ้นไปดูรอยแยกของแผ่นดิน
ที่ด้านล่างเป็นลำธารน้ำอุ่น...


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
ทางลงบ่ออาบน้ำที่ว่า...


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ทิวทัศน์ของทะเลสาป Mývatn ยามค่ำ (เวลาประมาณสองทุ่มคร้า)
ช่วงซัมเมอร์แทบจะไม่มืดเลยนะจ๊ะ ถ้าอากาศดีๆ มืดที่สุดน่าจะ
ประมาณ หกโมงเย็นบ้านเราเท่านั้นเอง


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
เช้าต่อมาเราต้องเตรียมพร้อมกับการเดินทาง โดยโยเซฟเอาแผนที่
ออกมากางให้เราดูเส้นทาง อธิบายว่าเราจะใช้เส้นทางที่ต้องข้ามเขา
เพื่อจะได้ไม่ต้องอ้อม ชี้ๆๆๆๆ ให้ดู เพื่อนร่วมเดินทางก็พยักหน้ากัน
หงึกหงัก เพราะไม่มีใครรู้จักเส้นทางสักคน....

หลังจากอุ่นท้องกันด้วยกาแฟ ขนมปังแล้วเราก็เริ่มเดินทางทันที ...
ด้วยหนทางที่ไม่รู้จักมาก่อน ทำให้เราตื่นตาตื่นใจ แวะเที่ยวบ้านโบราณ
หลังหนึ่งที่ไม่น่าจะเป็นบ้าน เรียกว่า คฤหาสน์จะดีกว่า ด้วยว่าใหญ่โต
สวยงามจริงๆ เห็นว่าบ้านหลังนี้อายุเป็นร้อยปีทีเดียว ยังคงใช้ฟืนสำหรับ
ทำความอุ่นภายในบ้าน

ปัจจุบันกำลังดัดแปลงทำเป็นพิพิธภัณฑ์ จึงยังคงปิดเพื่อจัดข้าวของ
แต่เราก็ยังไม่วายแอบส่องและถ่ายรูปมาได้บ้าง....เดินวนรอบบ้าน เห็น
ผู้คนกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ไม่ห่างออกไปนัก ก็เลยเดินกันไปดู กลายเป็น
นักโบราณคดีที่กำลังแคะหินดินทรายเล่น ได้ความว่าบริเวณนี้เป็นโบสถ์
เก่า ขุดพบของบางชนิดที่เค้าเอามาอวด แต่ดิฉันก็ยังมองไม่ออกอยู่ดี
ว่ามันคืออะไร.....

ถึงแม้จะชอบความเก่าและอยากรู้แต่เธอไม่ได้พูดภาษาอังกฤษค่ะ เลย
ไม่ได้เรื่องได้ราวว่า...สิ่งนั้นคืออะไร...ไปต่อกันดีกว่า....ขับรถข้ามห้วย
ข้ามหนองกันไปอีกระยะหนึ่ง ก็พบว่ารถมาอยู่เชิงเขาใหญ่โตลูกหนึ่ง แต่
ถนนมิใช่ถนนลาดยางนี่...มองเหมือนดินซะมากกว่า เมื่อทอดสายตาขึ้นไป...
โอววว...นี่เราต้องใช้เส้นทางนี้หรือนี่ ถนนที่เลื้อยพับไปมาจนถึงยอดเขานั้น
มันดูสวยงามแปลกตา ทำให้นึกไปถึงเขาภูพานของบ้านเรา แต่นี่สูงใหญ่กว่า
กันและเห็นยาวตลอดเส้นทาง...

ความสูงและมองเห็นตลอดจนถึงพื้นนี่แหละจะทำให้หวาดเสียวดี เพราะถ้า
พลาดหมายถึงรถคงจะกลิ้งรวดเดียวถึงตีนเขาได้เลย แล้วสภาพจะเป็น
เยี่ยงไร 555

หลังจากขับขึ้นจนถึงที่พักตอนหนึ่ง อิฉันก็เรียกร้องให้หยุดรถเพื่อถ่ายภาพ
กันเสียหน่อย ด้วยระหว่างทางที่ขับขึ้นมาอิฉันเห็นนักเดินทางที่ใช้จักรยาน
ในการข้ามเขาลูกนี้ กำลังปั่นจักรยายคู่ชีพขึ้นมา...ขอรอเก็บภาพน่ารักๆ
แบบนี้ไว้ด้วย

เมื่อขึ้นมาอยู่ด้านบนแล้วมองลงไป...เส้นทางที่ผ่านมาเปรียบดังอนาคอนดา
ที่ทอดตัวเลี้อยไปมาสู่ยอดเขา ยิ่งมองยิ่งเพลินด้วยเป็นภาพที่วิเศษเหลือเกิน...

ในที่สุด เราก็เดินทางข้ามเขาลงมาถึงเมือง Vopnafjörður (คงอ่านประมาณ
วอฟนาเฟียดูร์ เฮ้อ..ช่างยากเย็นเสียจริงภาษาไวกิ้งเนี่ย...) มันก็เย็นย่ำแล้ว
เพราะเราเริ่มต้นวันกันสายมากๆ เราพักขาหาขนมและเครื่องดื่มที่ปั้มน้ำมัน
เล็กๆ
แต่เอ๊ะ...เค้ามีอะไรกัน...ทำไมเด็กๆ เต็มรถอีแต๋นที่กำลังวิ่งผ่านปั้มไป สอบ
ถามพนักงานที่ร้าน ได้ความว่า วันนี้เค้าจะมีแค้มป์ไฟกัน...นายแวนซ์ไม่รอช้า
กระโดดขึ้นรถอีแต๋นทันที เพราะหมายความว่าเราต้องขับรถตามไปด้วย... เจ๋ง
จริงๆนายแวนซซซซซ์

เรามาถึงบริเวณแคมป์ไฟเมื่อเริ่มจุดกันแล้ว เอ..แล้วเขาเอาฟืนท่อนใหญ่ๆ นี่มา
จากไหนกันล่ะ...เอาอีกแล้วอิฉันกลายเป็นนักสอดรู้สอดเห็นอีกวาระหนึ่ง.....
หลังจากสอบถามก็ได้ความว่า ท่อนไม้พวกนี้จะลอยมาตามทะเล เอ้ย..
มหาสมุทร โดยลอยมาจากประเทศรัสเซีย แล้วมาเกยตามหาดทรายด้าน
เหนือของเกาะจำนวนมากมาย..

ในแต่ละปีช่วงซัมเมอร์ชาวบ้านก็จะไปลากมากองรวมกันแล้วก็เผาทิ้ง แต่
เค้าก็จะสนุกสนานกันด้วย โดยมีการร้องเพลงเล่นกันอย่างสนุกสนาน...
อิฉันอดไม่ได้ที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน.....

สถานที่นั้นมีกองไม้ท่อนยาวๆ สุมกันลักษณะเหมือนเต้นท์อินเดียนแดง
คือไม้ตั้งขึ้นแล้วพิงหากันเป็นสามเหลี่ยม กองใหญ่โตทีเดียว ใกล้ๆ กัน
ก็จะมีรถดับเพลิงเตรียมพร้อมสำหรับดับไฟให้เรียบร้อยก่อนแยกย้ายกัน
ไปนอน เรามองเห็นนักดนตรีนั่งอยู่พร้อมแอคโคเดียนคู่ใจ กำลังบรรเลง
เพลงพื้นเมืองของไอซ์แลนด์
ฟังจากโยเซฟแปลประมาณความรื่นเริงในหน้าร้อนที่ชาวบ้านมารวมตัว
กัน ทำนองเดียวกับเพลงอีแซว เพลงฉ่อยบ้านเรานั่นแหละ....

เพลงที่ฟังแม้จะไม่รู้เรื่องแต่มันก็ไพเราะอย่างไม่น่าเชื่อเชียวละ...เพราะ
อะไรน่ะหรือ...ก็บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมทั้งหมดทำให้อบอุ่นและชื่นใจ
อย่างประหลาด...อยากได้บรรยากาศลูกทุ่งฝรั่งแบบนี้บ้างไหมคะ...

ไม่ถึงเที่ยงคืนเราก็เดินทางมาถึง Þórshöfn ขับรถวนจนได้บริเวณที่
สวยงามแห่งหนึ่งนามว่า Lampanes จุดนี้คือที่พักแรมถาวรของเราจน
กว่าจะหมดทริปเที่ยวบริเวณนี้กันเลย
ระหว่างที่หนุ่มๆ ช่วยกันกางเต้นท์ อิฉันก็ต้องปรุงอาหารมื้อดึกที่บรรยากาศ
ประมาณ ห้า-หกโมงเย็น พร้อมลากเครื่องดื่มดับความหนาวเย็นออก
มารินแจกจ่ายกัน บรรยากาศดินเนอร์พร้อมสามหนุ่มริมทะเลกับกอง
ไฟ มันช่างโรแมนติคเสียจริง 555

อากาศสดชื่นรื่นรมย์สำหรับเช้าวันใหม่ ทำให้ออกอาการขี้เกียจ แต่คุณ
โยเซฟก็บอกว่ากรุณาหาอาหารเช้ารับประทานซะโดยเร็ว และเตรียม
อาหารกลางวันด้วยเพราะเราจะไปปิคนิคที่หมู่บ้านร้าง แห่งหนึ่ง...ที่ชื่อ
Skálar (สเกาลาร์) อยู่เกือบปลายแหลมของ Langanes ด้านตะวันออก
ของแผนที่

"เอ้า...ถึงแระ"...เสียงสั่งจากสารถีนามโยเซฟ หลังจากที่นั่งในรถกันมา
ไม่นานนัก....อิฉันลงจากรถด้วยอาการ งง เป็นไก่ตาแตก ....แค่บ้านผุพัง
หลังเดียวกับซากเหล็กเก่าๆและขอนไม้ผุๆ ที่ลอยตามน้ำมาเกยตื้นเนี่ยนะ
คือหมู่บ้านร้างที่อุตส่าห์พาเรามาดู...

"เราต้องเดินไปอีกครับผม" ...น่านนนนนนนนน โดนหลอกอีกแระ ว่าแล้ว
คุณผู้ชายทั้งหลายก็หอบเป้หลังที่มีอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งอาหารกลางวัน
ออกเดินนำหน้าอิฉันไป......

เดิน...เดิน...และเดิน...หนทางที่มองเห็นโล่งๆ น่าจะกินตาพอสมควรเพราะ
จุดหมายที่โยเซฟชี้ให้ดูและบอกว่าอยู่ระหว่างช่องเขาข้างหน้านั้น ดูเหมือน
ไม่ไกล หากทำไมเดินไม่ถึงเสียที เดินขึ้นเนินบ้าง ลงเนินบ้าง ค่อนข้าง
เมื่อยล้าพอสมควร กว่าจะมาถึงบริเวณที่ได้รับการชี้บอกเมื่อสองสามชั่วโมง
ที่แล้ว ดีนะที่อากาศเย็น ไม่มีแดดร้อนๆ ให้ลมจับ ฮ่าๆๆ

ในที่สุดเราก็มองเห็นทะเลเป็นฉากหลังอยู่ลิบๆ มีกำแพงบ้านเก่าๆ ให้เห็น
สองสามหลัง ทุ่งหญ้าที่สูงไม่เกินข้อเท้า ผสมกับดอกหญ้าสีเหลืองและ
ขาว ปนอยู่ประปรายในทุ่งเขียวขจี ....

หมู่บ้านนี้อยู่ในหุบเขาที่ด้านหน้าติดทะเล บ้านเรือนก็ปลูกอยู่เรียงราย
ตามเนินเขา เพราะไม่มีพื้นราบ มีลำธารไหลรินตามซอกของระหว่าง
เนินเหล่านั้น บรรยากาศแบบนี้ ...เห็นแล้วชวนหลงไหลเสียจริงๆ
ไม่มีความวุ่นวายใดๆ ไม่มีเสียงอึกทึกและฝุ่นควัน ธรรมชาติช่าง
ทำให้จิตใจสงบดีแท้ๆ...

หนุ่มๆ เริ่มภารกิจหาฟืนต้มน้ำชงกาแฟ ส่วนอิฉันต้องปรุงอาหารรับ
ประทาน อันไม่มีอะไรมากสำหรับอาหารฝรั่ง ขนมปังไงคะ อิอิ หลัง
จากอิ่มท้องและสอบถามถึงเส้นทางที่เราเดินกันมา ได้คำตอบว่า
จากจุดที่เราจอดรถมาถึงที่นี่เป็นระยะทางแค่ 3.5 กม. แค่นั้นเอง.....

อิฉันนั่งพิงกำแพงบ้านเก่าหลังหนึ่ง มองไปทางหน้าผาติดทะเลจะ
เห็นบ้านเล็กๆ สีส้ม...ในนั้นเค้าจะมีอุปกรณ์ยังชีพ สำหรับเวลามีเหตุ
ภัยต่างๆ เพราะห่างไกลผู้คนอย่างเหลือเกิน นายโยเซฟบอกว่า ส่วน
ใหญ่จะเป็นภัยทางทะเลเช่นเรืออัปปางและมีคนรอดชีวิต ถ้ามาถึง
บริเวณนี้ได้ ก็จะสามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้ เช่นพลุสัญญาณ ฯลฯ

หลังจากรับทานอาหารกลางวันแล้วเราก็เริ่มเดินเก็บความรู้สึกดีๆ
บริเวณนี้เอาไว้เป็นกำไรของชีวิต...
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เกิดในเมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่น ควัน และความเร่งรีบ
ในชีวิต จะได้มีโอกาสมายืนสูดอากาศที่บริสุทธิ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบ เย็นสบาย แบบนี้...
หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านประมงอย่างแน่แท้ ด้วยเห็นสัญญลักษณ์ การนำ
เรือเข้ามาจอด โดยเป็นป้ายลูกศรใหญ่ๆ สองป้ายที่ชี้หากันเป็นแนวทาง
ให้เรือที่อยู่ห่างไกลออกไป ได้สังเกตุร่องน้ำในการนำเรือเข้าเทียบ
ท่าด้วย....

เราเดินเลาะบริเวณหน้าผา ที่เป็นขอบของแผ่นดินขั้วโลกเหนือ ตลอด
แนวสุดลูกหูลูกตาทั้งซ้ายและขวา พบเห็นนกนาๆ ชนิด พักอาศัยตาม
หน้าผา โดยเฉพาะ puffin นกสัญญลักษณ์ของขั้วโลก ปากสีแดงสด
รูปลักษณ์เหมือนเพนกวิน
เรานั่งมองเค้าหากินโดยการบินพุ่งตัวลงในน้ำ สักพักก็กลับขึ้นสู่ผิวน้ำ
พร้อมกับปลาตัวเล็กๆ ในปาก.. เก่งจริงนะตัวแค่เนี้ยะ...

อิฉันใช้เวลาหมดไปกับการนั่งชมวิวทิวทัศน์จนนายโยเซฟต้องเตือนว่า
ควรจะกลับกันได้แล้วเพราะเราต้องเดินกลับกันอีก เฮ้อ..หลงเวลาอีกแล้ว
ก็เพราะท้องฟ้ามันไม่มืดเหมือนหน้าหนาวน่ะสิ...

ช่วงซัมเมอร์โดยเฉพาะมิถุนายน พระอาทิตย์จะไม่มีลับขอบฟ้านั่นหมาย
ถึงว่า ถ้าเรานั่งอยู่ตรงนี้เราจะเห็นพระอาทิตย์เดินทางลงแตะขอบน้ำแล้ว
ยกตัวขึ้นโดยไม่ลับหายไปจากสายตาเลย....

" นี่แค่ทริปย่อยๆ เพื่อชิมลางว่าพรุ่งนี้เราจะเดินกันไหวหรือเปล่า "....

นายโยเซฟทิ้งปริศนาไว้แต่เพียงเท่านี้... แม้จะเพลียกับการเดินและน้ำร้อน
ที่เราลงแช่ในเมืองก่อนที่จะแวะหาอะไรรับทาน...เมื่อเห็นเต้นท์ที่ลู่อยู่กับ
พื้นเพราะแรงลมแล้ว เราก็ตื่นตัวทันที แม้พวกผู้ชายจะช่วยกันดึงๆ ดันๆ
เต้นท์ให้ยกขึ้นมาเข้ารูปเข้ารอยเดิมแล้วก็ตาม แต่....ถ้าคืนนี้ลมแรงจน
เต้นท์ลู่นี่เราจะทำอย่างไรกัน....เฮ้ออออ ให้ถึงเวลานั้นก่อนค่อยแก้ปัญหา
เฉพาะหน้ากันไปก็แล้วกัน....


ตื่นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงตะโกนปลุกของนายโยเซฟกำลังมุ่งมาที่เต้นท์
ของอิฉัน ...ฉะนั้น...ทางที่ดีคือ...รีบมุดออกจากเต้นท์ก่อนที่พี่แกจะมา
แหวกเต้นท์เข้าไปลากอิฉันออกมา ใช้เวลา ล้างหน้าแปรงฟันอย่างเร่งรีบ
เพราะคุณท่านทั้ง 3 กำลังกินกาแฟที่หอมกรุ่นพร้อมทั้งขนมปังปิ้งกับไส้
กรอกย่าง พอเห็นอิฉันเดินมาถึง แวนซ์และเควินก็รีบช่วยกันประเคนทั้ง
น้ำส้ม ขนมปังและเครื่องบำรุงไขมันทั้งหลายให้อิฉันอย่างพร้อมเพรียง
ด้วยเหตุผลว่า เย็นนี้ขอดินเนอร์ด้วยบาร์บิคิว ...ติดใจจากซัมเมอร์ที่แล้ว
สิท่า....

วันนี้ต้องขับรถไปไกลหน่อย แต่โยเซฟบอกว่าเมื่อได้เห็น พวกคุณจะชอบ
และรักมัน เพราะ Rauðanes เป็นบริเวณหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมาที่นี่กันปีละ
มากๆ งั้นเราไปกันเถอะ..แซนวิส..คืออาหารกลางวันที่เราเตรียมไปพร้อม
น้ำดื่มคนละ 2 ขวด อ้อ...ský อีกคนละกระปุก... ลืมบอกไปเจ้าสกีร์ นี่เป็น
เหมือนโยเกิตแต่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาเชียว มีขายแต่ที่ไอซ์แลนด์
เท่านั้นนะคะ ..

ใช้เวลาไม่นานนัก พร้อมทั้งเดินมาอีกนิดหน่อย เราก็ได้พบสถานที่มหัศจรรย์
อย่าบอกใครเชียว โยเซฟบอกว่าบริเวณนี้คือพื้นที่ที่มีลาวาร้อนๆ ไหลมาจาก
การระเบิดของภูเขาไฟใกล้ๆ นี้เมื่อนานมาแล้ว เมื่อไหลลงสู่ทะเล ความร้อน
พบกับความเย็น ก็เลยได้ลาวาที่มีรูปทรงแปลกตาเยอะแยะไปหมด และช่วง
ที่สวยงามมากที่สุดก็คือช่วงซัมเมอร์นี่เอง....

ริมหน้าผาตัดนั้น เราจะเห็นปฏิมากรรมในทะเลด้วยแท่งหินรูปทรงแปลกตา
เรียงรายเป็นระยะๆ สุดลูกหูลูกตา ความสวยงามที่อิฉันทั้งวิ่ง และเดินไปเดิน
มาเพื่อให้ทั้งโยเซฟและแวนซ์รวมทั้งเควินช่วยถ่ายรูปให้ ทำให้ลืมระยะทาง
ไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อมาสุดทางแล้วมองย้อนกลับไป...โอว...รถเรา
มันอยู่ส่วนไหนของประเทศเนี่ย...แล้วยิ่งมองนาฬิกา...เราใช้เวลาไปถึง 4
ชั่วโมงในการเก็บความสุข ณ ที่นี้...มันช่างคุ้มค่าจริงๆ

เราแวะพักทานน้ำและของว่างที่ตระเตรียมมา ก่อนเดินกลับด้วยทางรถวิ่ง
โดยไม่ย้อนทางเดิม ด้วยว่ามันจะทำให้อ้อมและเสียเวลาจนเกินไป ระหว่าง
ทางเราพบแกะมากมายเดินหากินอยู่ทั่วไป.....ซึ่งแกะเหล่านี้ช่วงซัมเมอร์
ฟาร์มต่างๆ เค้าจะปล่อยแกะออกให้หากินเองตามเขาเพราะหญ้าจะขึ้นอยู่
ทั่วไป จนหมดซัมเมอร์จะเป็นช่วงเวลาที่อิฉันอยากจะสัมผัส นั่นคือกิจกรรม
ขี่ม้าออกต้อนแกะและมีสุนัขที่เลี้ยงเพื่อต้อนแกะโดยเฉพาะ โดยทุกฟาร์ม
จะรวมกันเป็นคณะใหญ่แล้วแยกย้ายกันต้อนมาบริเวณคอกรวม หลังจากนั้น
ก็จะคัดจากเบอร์ที่ติดไว้ที่หู บางตัวก็จะกลับมาพร้อมลูกน้อย น่าสนุกจริงๆ

กลับถึงแค้มป์เย็นมากแล้ว แต่เนื้อที่หมักไว้ตั้งแต่ตอนเช้าก็นุ่มเข้าเนื้อได้
อย่างพอดิบพอดี ใช้เวลาเสียบและย่างในระยะเวลาที่สั้น เราสี่ชิวิตก็ได้
รับประทานอาหารเย็นกันอย่างอร่อยลิ้นโดยไม่ต้องมีใครมาช่วยชิมเลย
เนื้อ 2 กก. พร้อมไวน์แดงอีก 2 ขวด หมดไปในระยะเวลาอันสั้น ไม่น่า
เชื่อว่ากินกันเข้าไปได้อย่างไร......

คืนสุดท้ายของมิตรภาพสี่สัญชาติจบลงด้วยการร่วมกันร้องเพลง และ
แต่ละคนต้องร้องเพลงของบ้านตัวเอง เจ้าฝรั่งขายาวอเมริกัน ร้องเพลง
country คุ้นหูของจอห์น เดนเวอร์ ส่วนเควิน หนุ่มอังกฤษร้องเพลง
ไอริชน่าฟัง และไกด์โยเซฟร้องเพลง Think of angle ไม่ใช่เพลงภาษา
ไอซ์แลนด์ แต่แต่งโดยนักร้องไอซ์แลนด์ ฟังแล้วชวนขนลุกและเป็น
สัจจธรรมของชีวิต โดยคนแต่งเค้าแต่งให้น้องถึงน้องที่ตายไปแล้ว
และสัญญาว่าจะเจอกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาของตัวเอง....

อิฉันรู้จักเพลงนี้เพราะเคยฟังในโบสถ์เมื่อคราวไปงานศพของคนรู้จัก
และหลงรักเพลงนี้โดยบังเอิญ เมื่อมาได้ฟังร้องสดๆ ในบรรยากาศเงียบๆ
เย็นๆ หน้ากองไฟ มันได้อารมณ์และซาบซึ้งจริงๆ ส่วนเพลงไทย อิฉัน
ก็เบรคความเศร้าด้วยเพลง วิหกเหิรลม ที่ร้องได้อย่างช่ำชอง.....
เอ่อ...ขออนุญาตอย่าเดาอายุจากการเลือกร้องเพลงเลยนะคะ
เพราะมันฟ้องอย่างเต็มเปา 555.....

หลังจากนั้นก็ได้ฟังเรื่องเล่าฮาๆ แบบเพื่อนฝูง ในบรรยากาศสบายๆ
ใกล้กองไฟ และมิตรภาพที่วนเวียนอยู่ข้างๆ ตัว.....วันคืนเหล่านี้หา
ได้ไม่ยาก หากคุณไขว่คว้าหามันมาครอบครองได้โดยไม่จำกัด
สถานที่และเวลา......


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
ภาพคฤหาสน์โบราณอายุกว่าร้อยปี...ฉากหลังเป็นทิวเขาสูง


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
นักโบราณคดีที่กำลังขุดสำรวจซากโบสถ์เก่าใกล้ๆ
คฤหาสน์หลังโต...


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
ภาพของเส้นทางขึ้นเขาที่ทอดตัวดั่งอนาคอนด้า...
กับทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาของเกาะเล็กๆ นามไอซ์แลนด์


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
ฝรั่งสามสัญชาติเพื่อนร่วมทริปที่น่ารัก การเป็นหญิงเดียว
มันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง ฮ่าๆๆๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
Lampanes สถานที่ตั้งแคมป์ ฉากหลังคือมหาสมุทรด้านขั้วโลกเหนือ


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
สามหนุ่มกับพระอาทิตย์หลังเที่ยงคืน...ที่กำลังจะขึ้นจากแผ่นน้ำ
สวยงามเอาการ


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
อิฉันลืม รถอีแต๋นกับแคมป์ไฟไปได้อย่างไรกัน


ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
ภาพนักดนตรีชาวไอซ์แลนด์ กับบรรยากาศน่ารักๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
เศษเหล็กและขอนไม้...เครื่องแสดงให้เราเห็นถึง
ความรกร้าง ที่ปลายแหลม Langanes


ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
ซากของหมู่บ้านร้าง กับวิวที่สวยงามพร้อมความสงบ
สมเป็นเมืองที่สงบที่สุดในโลก


ตอบกลับความเห็นที่ 22
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 23
Puffin นกสัญญลักษณ์ขั้วโลกเหนือ ส่องจากบนหน้าผาลงไป


ตอบกลับความเห็นที่ 23
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 24
เจ้าตัวนี้หน้าตาคล้ายเจ้า puffin แต่คนละสี


ตอบกลับความเห็นที่ 24
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 25
บริเวณ Rauðanes เลาะขอบเกาะไอซ์แลนด์ชมวิวแปลกตา


ตอบกลับความเห็นที่ 25
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 26
รูปร่างหน้าตาของเศษซากลาวาก้อนใหญ่ๆ ทำให้จินตนาการได้เยอะ


ตอบกลับความเห็นที่ 26
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 27
เดินหน้าหาความแปลกของโลกใบใหญ่


ตอบกลับความเห็นที่ 27
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 28
มากมายหลายรูปทรง แตกต่างกันไป ปฏิมากรรมในมหาสมุทร


ตอบกลับความเห็นที่ 28
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 29
ไกลสุดตา...ลองหาต้นไม้ใหญ่สักต้น...ไม่ยักมี


ตอบกลับความเห็นที่ 29
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 30
แปลกตาจริงๆ สำหรับปฏิมากรรมชิ้นนี้...อิอิ


ตอบกลับความเห็นที่ 30
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 31
สีน้ำทะเลสวยสดยามต้องแสง....ขอบเกาะทางทิศเหนือช่างแตกต่างกับ
ทางทิศใต้โดยสิ้นเชิง...หากอยากรู้ว่าต่างกันอย่างไร คงต้องเป็นทริปหน้า
แต่ว่าจะมีคนเข้ามาอ่านไม๊นะ???


ตอบกลับความเห็นที่ 31
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 32
บ้านของนกนานาพันธุ์บนเกาะนี้...


ตอบกลับความเห็นที่ 32
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 33
ทริปนี้จบลงด้วยเส้นทางลงใต้เฉียดๆ High land เราแวะพักรถเป็นระยะๆ
โดยไม่ค้างคืนที่ไหน หนึ่งวันเต็มๆ กับการขับรถกลับบ้านใน Reykjavik
ขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่น่ารักทั้งสามคน...วันรุ่งขึ้นเราพากันไปทานอาหาร
ค่ำโดยนายเควินเป็นเจ้ามือ...อิอิ

ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน หากชอบอกชอบใจ อยาก
ให้เขียนอีกก็บอกๆ กันบ้างเน้อ...อิฉันจะมาเขียนให้อ่านกันอีกสำหรับ
ทริปอีกหลายๆ ทริปในไอซ์แลนด์...


ตอบกลับความเห็นที่ 33
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 34
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าการเดินทางค่ะ

บางรูปเล็กไปนิดนะคะ สวยๆหลายภาพเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 34
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 35
เรียงร้อยถ้อยคำได้น่าอ่านมาก แค่อ่านก็เห็นภาพแล้วครับ
ภาพสวยมาก ขอบคุณมากครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 35
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 36
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ...สำหรับภาพเป็นความผิดพลาดในการย่อค่ะ
แบบว่ามือใหม่มากๆ อิอิ


ตอบกลับความเห็นที่ 36
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 37
#2 ขออภัยด้วยนะคะ เพราะมัวแต่เขียนและทำรูป ไม่ทันได้เห็นว่ามาล้อกันเล่น
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

กฏหมายการขับขี่ของไอซ์แลนด์ค่อนข้างเคร่งครัดค่ะ อิฉันเคยขับรถเร็วเกินกำหนด
คือปกติ ถ้ามีสัญญลักษณ์บอก speed limit ไว้ เราจะขับเกินได้ไม่เกิน 10 กม./ชม
ตามป้าย...
วันนั้นอิฉันอยู่ในป้าย 60 กม/ชม แต่ด้วยเป็นทางลงเนิน ความเร็วของรถอาจจะเพิ่มขึ้น
โดยไม่รู้ตัว โดนตำรวจเรียกค่ะ และทราบไม๊คะว่า อิฉันโดนปรับเพราะความเร็ว 70 กม/
ชม. เพราะเมืองนี้ห้ามวิ่งเกิน 9 กม/ชม...บัดซบจริงๆ เลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 37