LinDiary : โกอินเตอร์ครั้งแรกในชีวิต (ขอนแก่น กรุงเทพ โซล ชิคาโก )

คำเตือนยาวมากกกกกกกกกกก
ขอนแก่น กรุงเทพ โซล ชิคาโก 24/07/2012 ในที่สุดก็ได้เวลาโกอินเตอร์ซะที 555ผู้หญิง คนนึงที่เกิดมาแล้วก็หลายปี ชีวิตนี้เคยนั่งเครื่องบินแค่ 3 ครั้ง แถมยังเป็นแค่ภายในประเทศกรุงเทพ-ขอนแก่น 2 ครั้งไปกับพ่อ 1 ครั้งไปคนเดียว ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยออกนอกประเทศ(ประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่เค๊ยไม่เคย เคยแค่มองข้ามฝั่งโขง) วันนี้ต้องเดินทางไปอเมริกา คนเดียว >"< ภาษาก็ออกจะด๋อยมากๆ อาจหาญจิงๆตรู เกริ่นซะยาว วันนี้กะจะเล่าทริปการเดินทางครั้งนี้แหละ เริ่มตั้งแต่ตอนเช้า พ่อไปส่งขึ้นเครื่องที่สนามบินขอนแก่นกระเป๋าหนักมาก ท่าทางเก้ๆกังๆของเราทำให้มีคนที่อยู่ใกล้ๆแถวๆนั้นมาช่วยยกกระเป๋า ^ ^"ไอ้เราก็ป้ำๆเป๋อๆแบบบ้านนอกไม่เคยขึ้นเครื่องไม่รู้ต้องทำอะไรยังไงบ้าง (เคยนานจนจำไม่ได้แระ)พ่อก็นะ ไม่ยอมบอกว่าเราต้องทำไง ให้เราคิดเอง - - สรุปกระเป๋า นน.เกินไป 16 โล O_O ก็ภายในประเทศมันให้ นน ไม่เกิน 30 โล (รวมทุกเป๋า)แต่ของเรา 46 โลเพราะสายการบินระหว่างประเทศเค้าให้ที่ 23 โล/เป๋า โดนชาร์ทไป 550 บาท = =" (เค้าหยวนให้คิดเกินแค่ 10โล) พอ จะเอากระเป๋าโหลดขึ้นเครื่องไปอเมริกา สรุป นน.เกินอีก เง้อออ คือเป๋าใหญ่เกิน เป๋าเล็ก นน เหลือ เลยต้องเล่นแร่แปรธาตุย้ายของในกระเป๋า กว่าจะยัดเข้าไปได้ทุลักทุเลเลยไม่งั้นจะโดนชาร์ท 100 ดอล เดิน มาถึงหน้าเกท นั่งรอเวลาขึ้นเครื่อง ระหว่างนั้นมีแต่คนโทรมาถามด้วยความเป็นห่วง กลัวเราเอ๋อ ตกเครื่อง 5555 แล้วในที่สุดก็ได้ขึ้นมาอยู่บนสายการบินโคเรียนแอร์ ทีแรกแม่บอกว่า มองหาคนไทยไว้ลูก คนไทยมาชิคาโก้เยอะ แต่อืมมม มองไปทางไหนก็มีแต่ฝรั่งกะเกาหลี ไหนอะคนไทย T^T ยังดีมาถึงที่นั่ง ได้นั่งข้างๆพี่คนไทยพอดี เลยถามเค้าไปว่าชิคาโก้มั๊ยคะ เค้าตอบมาว่าไปแค่โซล ^ ^" พี่เค้าดีนะ ช่วยสอนช่วยบอกอะไรหลายๆอย่าง ไม่งั้นเราคงจะเอ๋อแดกกับการขึ้นเครื่องครั้งแรกพี่ เค้าทำให้เรารรู็ว่า เอนเบาะยังไง หมอนพับได้ด้วย ห้องน้ำอยู่ตรงไหน ตอนลงเครื่องพี่เค้าก็บอกอีก ไปเปลี่ยนเครื่องเดินไปตามทางนี้นะ
ความคิดเห็นที่ 1
25/07/2012


เรา ต้องรอที่โซล 5 ชม เวลาที่โซลเร็วกว่าไทย 2 ชม เดะๆ เลย พอลงเครื่องเราก็ปรับนาฬิกาซะ เดี๋ยวตกเครื่อง 555 แล้วก็รีบเดินไปหาเกทที่เราต้องต่อเครื่องเลย


ทางเดินไปเกทยาวมากกกกก ของเราเกท 15 แนะ


พอ ไปถึงเกท ไม่รู้จะไปไหน ก็อัพเฟส แชท line นัดแนะกับน้องสาวแล้วก็ขอตัวไปงีบเพราะแบทมือถือจะหมดเอา (ที่โซลฟรี wifi แจ่มมากๆขอบอกก)เห็นหลายคนยึดที่นั่งคนละแถว แล้วนอนยาว(ไม่กล้าถ่ายรูปให้ดู) เราเลยเอามั่งนอนมันตรงนั้นแหละ เพราะอยู่บนเครื่องนอนไม่ค่อยหลับเลยงีบไปประมาณ 2 ชม เริ่มหิว เลยลองเดินๆหาอะไรกิน แต่อืมมมม สกุลเงินเป็นเงินวอนหงะ ขี้เกียจแลก เดี๋ยวมาเป็นเศษเสียดาย(งก 555)


เสียดายอย่างนึง กับข้าวบนเครื่องตอนจาก กทม มาโซลอะ เราดันสั่งข้าวต้ม เพราะมันแบบไม่อยากอาหาร (เสิร์ฟตอนตี 2 ไทยอะ) แล้ว ข้าวต้มมันผิดหวังมากกกกกข้าวโรยสาหร่ายมีอะไรชิ้นๆกลมๆ เล็กๆนิดนึง เครื่องเคียงคือหอมใหญ่กับกระเทียมดอง T^T นอกจากไม่อร่อยยังไม่อยู่ท้องด้วย ไม่คุ้มเลย

สรุปกินน้ำลูบท้อง น้ำเปล่าบริการฟรีที่หน้าห้องน้ำ - -" รสชาดนี่ ... น้ำปะปาชัดๆ -..-



(ตามรูปมองไปหน้าห้องน้ำจะเห็นก๊อก ก๊อกนี้แหละ ^ ^")

ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
แล้วก็ได้เวลาขึ้นเครื่องจากโซลไปชิคาโก้

ขึ้น มาเราก็เอ๋ออีก นั่งผิดที่ -..- ที่นั่งมัน 53 D ไอ้เราก็ลืมสังเกตุว่ามันมีตัว D เห็นคำว่า 53 ก็หย่อนตูดเลย ผิดที่ซะงั้น อายวะ 5555 ด้วยความเอ๋อๆงงๆ เลยถามแอร์ ว่าที่นั่งเราตรงไหน ดีนะที่ถาม เกือบนั่งผิดอีกรอบ = =

คราวนี้ รอบๆไม่มีคนไทยเลย มีแต่เกาหลี แถมแอร์ดันนึกว่าเราเป็นเกาหลีอีก ตอนเอาอาหารมาให้ ถามเราเป็นภาษาเกาหลีเลย คงเห็นเราทำหน้างง เลยเปลี่ยนเป็นพูดภาษาอังกฤษกะเรา


คราว นี้เรากะแก้มือจากข้าวต้มรอบแรกเต็มที่ ได้ยินว่ามี เกาหลีบีพ ชิกเก้น กับบีพอะไรซักอย่างจำไม่ได้ คราวนี้เราเลยเอาชิคเก้น (เพราะรอบก่อน ไก่มันเป็นข้าวหน้าไก่อะ) ปรากฏว่า เป็นอาหารฝรั่งอะ เง้อออออออออ กลิ่นเนยฉุนกึ๊ก เราไม่ถูกกับอาหารฝรั่งซะด้วย ได้แต่มองข้าวเกาหลีพร้อมกิมจิคนข้างๆ แล้วน้ำตาไหล

พลาดอีกแล้วตรู T^T นั่งกินไปแบบ กินกันตายเฉยๆอะ กินไม่หมดด้วย เลี่ยนมาก

กะว่ารอบหน้าเอาใหม่

นอนๆนั่งๆ ดูหนังได้ซักพักใหญ่ๆ ก็ได้เวลากินอีกรอบ

คราว นี้เล็งว่า ต้องกินอาหารเกาหลีให้ได้ เพราะดูจะเป็นอย่างเดียวที่จะมีรสเผ็ดมาบ้าง แต่พอรถเข็นมาถึงเรา หมดอะ T^T อยากร้องไห้ คราวนี้

เหมือนจะเหลือไก่กะซีฟู๊ด เอาวะ ซีฟู๊ดก็ได้


สรุปว่า ซีฟู๊ดผัดเนยโป๊ะชีส T^T อยากจะบ้าตาย กระซิกๆ กินกันตายอีกแล้ว ไม่อร่อยเลย มันเลี่ยนๆไปหมด ยังดีที่มีลิ้นจี่ล้างปาก


กินเสร็จก็นอนตุน เพราะไปถึงมันจะเป็นเวลาเช้าที่เมกา


พอ ถึงเมกา เราก็เดินๆตามคนอื่นไป กะว่าเดินตามคนอื่นคงไม่หลง >< ไปถึงตรง ตม. เห็นเค้าต่อแถวยาวๆ เราก็ยืนงงๆ ว่าเราต้องไปแถวไหน แล้ว


ก็ มี จนท หญิง เดินมาพูด วีซ่าอเมริกา ไปแบ๊คลูปๆๆๆ (ไอ้เราก็งง แล้วไอ้แบ๊คลูปนี่มันตรงไหนฟระ) เดินตามคนอื่นไปแบบงงๆ เออ เหมือนจะเดินตามผิดคน เพราะคนนั้นไปช่องต่อเครื่องไปที่อื่น -..-

เรา เลยเดินวนไปมาอยู่พักนึง นึกในใจ เอาแล้วตรู จะไปทางไหนดี ซักพัก จนท หญิงคนเดิมก็เดินมาอีก เราเลยเดินไปถามแบบ... นึกสภาพนะ ภาษาอังกฤษก็ไม่คล่อง ถามเค้าว่าไงเรายังจำไม่ได้ 555 รู้แต่ว่า ยื่นใบที่กรอกให้เค้าดู เค้าก็ชี้ว่าเราต้องไปต่อแถวตรงไหน


รู้สึกว่า เราจะเป็นคนรองสุดท้ายของเครื่องเราเลย >"< เพราะมีคนต่อหลังเราคนเดียว = ="


แถวยาวมากกกกกกก รอนานโคตรรรรรรรรรรรร

พอ ใกล้จะถึงเรา (ประมาณอีก 7-8คน)เค้าก็ให้ตัดแถวไปเข้าแถวตรงฝั่ง ซิติเซ่นเพราะมันว่าง พอจะถึงคิวใจ ใจเต้นแรงมากกกกกกกกกกก รู้สึกยังกะหัวใจจะหลุดออกมาข้างนอก กลัวโดนส่งกลับ 555


พอ ถึงคิว เราก็ยื่นเอกสารให้เค้าดู เค้าก็เอาใบ i-20 ไปดู แล้วก็จิ้มๆที่ใบ พูดอะไรไม่รู้ จับใจความได้แค่คำว่า Language เราก็เลยทวนคำว่า Language ไป 555 สรุปว่า เค้าถามว่ามาเรียนภาษา ? พอเราตอบ Language เค้าก็เลย อืมๆๆ แล้วเค้าก็ดูใบที่เรากรอกแล้วก็บอกให้เราเขียนด้านหลังเพิ่ม (ไม่รู้นี่นาว่าต้องเขียน ในเน็ต ตย.เค้าเขียนแต่ด้านหน้ากัน ><

เค้า ก็บอกให้เขียน ID นร ลงตรงนี้ ชื่อรร ตรงนี้ เราก็อืมๆๆ รับใบมากรอก แต่พอจะกรอกจริงๆ ก็เอ๋อออออ แดก ตะกี้เค้าให้เขียนอะไรตรงไหนฟระ = =" เลยทำหน้าเอ๋อๆ ไปถามเค้าใหม่ ว่า ไอ้นี่กรอกตรงนี้เหรอ


เค้า ก็บอกเราว่าไม่ใช่ แล้วเค้าคงเห็นหน้า เรา แบบว่าเอ๋อแดกมาก คราวนี้เค้าเลย จิ้มที่ เราต้องกรอก แล้วก็จิ้มว่าให้เขียนตรงนี้ เราก็เขียนๆๆ แล้วเค้าก็จิ้ม อันนี้ ตรงนี้ เราก็เขียนๆๆๆ (สรุป บอกทีละอัน 555) เขียนจนเสร็จ เราก็ส่งคืนเค้า เค้าก็ให้แสกนนิ้ว แล้วก็ให้ผ่านเลย อร๊ายยย สงสัยไม่กล้าถามมาก กลัวเราตอบไม่ได้ 555 แค่กรอกข้อมูลก็เอ๋อแระ

ต่อไปก็ไปเอากระเป๋า ดีนะไม่ต้องหาไกล เพราะมันวนๆอยู่ข้างหน้าเรานั้นแหละ จำกระเป๋าเราได้


ว่า แล้วก็หิ้วเป๋าไปผ่านด่านศุลกากร (รึเปล่าหว่า ตรงที่ตรวจเป๋าอะ) เห็น จนท กำลังไล่ให้คนข้างหน้าเราออกไปข้างหน้า ท่าทางดุมาก เราก็ยืนรอแบบเสียวๆ พอเค้ากลับมายืนที่เดิม เราก็ยื่นใบที่กรอกว่าเอาไรมามั่งให้ดู เค้าอ่านๆแล้วก็ยิ้มๆให้เราไปเลย >< อิอิ

เย้ ไม่โดนค้นเป๋า ไม่โดนส่งกลับ ผ่านฉลุย งิงิ เดินออกมาแบบเอ๋อๆ เอ ไม่เห็นแม่กะน้องแหะ มองๆไปซักพักก็ได้ยินเสียงน้องเรียก >< น้องก็เข้ามากอด แล้วบอกว่า แม่ไปรอประตูโน้น เพราะนึกว่าจะออกประตูนั้น (เราไปออกประตูฝั่งซิติเซ่นไง เพราะโดนตัดแถวไปอีกทาง) แล้วเรากะน้องก็เดินไปหาแม่กัน


แม่ พามาส่งที่คอนโดน้องสาว เราเอาของเข้าห้องนั่งคุยกันซักพัก แม่กับน้องก็ออกไปข้างนอก ไปขนของจากอพาร์ทเม้นเก่าของน้อง ส่วนเรารื้อของได้ซักพัก ก็ไปอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็หลับเลย ไม่ไหว รู้สึกเหมือนอยู่บนเรือ มันโครงเครงไปหมด ทีแรกว่าจะตื่น 6 โมงเย็น รู้สึกตัวอีกทีตอนน้องเข้ามาในห้อง 2 ทุ่มซะแระ = ="


รูปวิวชิคาโกจากหน้าต่างที่พัก

ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3

พอ ซัก 5 ทุ่มนิดๆ เราเลยกินยาแก้เมาไปจะได้ง่วง เพื่อที่จะได้หลับตามเวลาท้องถิ่น เรานอนตอนเกือบๆเที่ยงคืน ตื่นอีกทีตี4 - -" ก็พยายามนอนต่อจนเกือบๆ 6 โมงเช้า ก็ลุกมาหาของกินเพราะหิวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก


ตอน นี้ส่องกระจกแล้วทนหน้าตัวเองไม่ไหว โทรมมากๆ ตาบวมสุดๆ หน้าแบบเหมือนคนอดนอน 555 ทั้งๆที่นอนเยอะอยู่นะ ร่างกายคงยังปรับเวลาไม่ทัน

ปล. มาถึงยังไม่ได้ออกไปไหนเลย ไม่มีกุญแจห้อง น้องก็ไปทำงานพิเศษตั้งแต่ 10โมง ยันบ่าย 3 กลับมาเกือบ 4 โมงเย็น แล้วน้องก็ขี้เกียจพาไปไหนแระ แต่จะว่าไปสภาพแบบนี้เราคงไม่เหมาะจะไปไหนอยู่ดี ^ ^"



ปล2.จะมาอัพเดทชีวิตการโกอินเตอร์เรื่อยๆ ^ ^"



LinDiary@Khon Thai Association of America

อันนี้เป็นไดอารี่เราเองนะคะ เป็นมุมมองของมือใหม่มากๆ มีอะไรผิดยังไงแนะนำได้นะคะ เราเขียนไว้หลายตอนพอสมควร

ซึ่งเราลงในนี้

http://www.facebook.com/KhonThaiAssociationOfAmerica

ใครอยากอ่านล่วงหน้าก็ อ่านได้ ใครขี้เกียจ เราจะทะยอยมาลงในนี้ให้อ่าน เผื่อใครไม่เคยไปคิดจะไปลองมาอ่านดูมุมมองของมือใหม่ว่าเจออะไรบ้างตั้งแต่ วันแรกที่เดินขึ้นเครื่องบิน

ส่วนมือเก่าที่อยู่จนเก๋าแล้ว หรือมือใหม่เหมือนกัน ช่วยเสริมหรือแบ่งปันประสบการ์ทั้งในนี้หรือในเฟซก็จะขอบคุณมากๆ จะได้เก็บไว้ให้คนอื่นๆศึกษาเป็นแนวทางด้วย ขอบคุณค่า ^ ^

ปล.ตอนนี้เราพึ่งมาอยู่ชิคาโกได้แค่ 2 อาทิตย์เอง หวังว่าประสบการณ์เราจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
Welcome to Windy City


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ผมก็มาเกือบเดือนแล้วอยู่ที่บอสตันเขียนไดอารี่ไว้เหมือนกัน

จะคอยติดตามอ่าน

ยินดีต้อนรับคร่าบ


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
อ่านแล้วสนุกดีครับ จขกท.เก่งนะครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
@piggymom ^-^

@ไอ้แก่น้อย ตามอ่านของคุณ ไอ้แก่น้อยเหมือนกัน อิอิ เราเขียนไว้ซักพักแล้วในเฟซ เห็นคุณไอ้แก่น้อยลงเลยลงมั่ง

ถ้ายังไงคุณไอ้แก่น้อย เอาไปลงแชร์ในเฟซเราไว้บ้างก็ได้นะคะ เผื่อเวลามีคนอยากรู้ข้อมูลจะได้ได้อ่านของหลายๆคน ^ ^

@motana.k ขอบคุณค่ะ ^ ^


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
อ่านแล้วมองเห็นภาพเลยครับ ทำให้อยากรู้จักแล้วนะเนี่ย


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
อ่านแล้วนึกถึงตอนผมไปเมกา ครั้งแรกเลย ขอบคุณครับที่ทำให้นึกถึงสิ่งดีๆ :D


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
เขียนเล่าเรื่องราวได้น่ารักมาก อ่านเพลินเลยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
wow chigirl~


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
Welcome to Windy city ค่ะ

ไม่ทราบว่าพักอยู่ตรงไหนคะ เราอยู่เมือง Hinsdale ค่ะ ตอนนี้กลับมาธุระที่เมืองไทย
กำลังจะกลับไปเร็ว ๆ นี้ คิดถึงบ้านที่สุดดดดดด

**อยากบอกว่า immigration ที่ o'hare ดุเว่อร์ค่ะ พวกซิติเซนส์ก็โดนเช่นกันค่ะ**

**แนะนำว่า ถ้ามาใหม่ ยังไม่ชิน และภาษาไม่ได้ อย่าไปแถว southside นะคะ ถ้าจำไม่ผิดพวก metra pink , blue line อย่าเลยเชียว อันตรายมากค่ะ หอแถว uic ก็ด้วย (ไม่แน่ใจเรื่องสายรถไฟ เพราะปกติเราขับรถ)

ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
เราอยู่แถว Sheridan อะ เรียกงี้ป่าวหว่า 555 รู้แต่ว่าถ้ากลับที่พักจะลงรถไฟสถานีนี้ ><

@hollywop อยากรู้จักเรารึรู้จักชิคาโกคะ ^ ^"


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ฝากทักทาย Wrigley Field & เยี่ยม Evanston ด้วยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
LinDiary : ป่วยๆเปื่อยๆ ใน USA26/7/12 วันนี้ ตื่นตั้งแต่ตี 4 อีกแล้วตื่นมาฟ้าร้องฝนตกตั้งแต่เช้ามืด พยายามข่มตานอนจน 6 โมงเช้าก็ทนไม่ไหวตื่นจนได้เพราะหิวมากกกกกกก ท้องร้องโครกโครกตั้งแต่เมื่อคืน นึกถึงกุ้งแช่แข็งในตู้เย็นขึ้นมาเลยลุกขึ้นมาทำข้าวต้มกิน ทำเผื่อน้องแจนกับน้องพิมด้วย ชิมๆแล้วก็อร่อยดีนะ หุหุ ทำกับข้าวเสร็จก็ไปปลุกน้อง เพราะน้องบอกให้ปลุกด้วย จะไปสมัครเรียนแต่เช้า แล้วก็จะพาเราไปจ่ายค่าเรียนกับซื้อคอมพ์ด้วย ปลุกน้องอยู่หลายรอบมานก็ไม่ตื่นซ๊ากที สรุปกว่าจะได้ออกจากบ้านจริงๆปาไปเกือบ 11 โมงเช้า (ในที่สุดก็ได้ออกมาดูโลกภายนอกซักที) น้องพามาขึ้นรถไฟ ทางเข้า บรรยากาศดูอึมครึมพิกลบันไดทางขึ้นเป็นไม้ ทำให้รู้สึกว่า รถไฟฟ้าบ้านเราดูทันสมัยกว่าเยอะ อิอิ รถไฟ อยู่นี่หน้าตาเหมือนรถไฟฉึกฉักบ้านเราไอ้แบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง แต่ข้างในมันเป็นแอร์นะ แอบถ่ายรูปสถานีที่ขึ้นรถไฟมาด้วย (Sheridan) ถ่ายจากในรถไฟ (น้องแอบมองค้อนแล้วทำหน้าแบบว่าพี่หลินบ้านนอกอะมาถ่ายรูปในรถไฟ ก็คนมันพึ่งเคยมานี่หว่า >"< แง่มๆ
ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
นั่งมาจนถึงสถานีที่จะลงน้องก็ พาไปที่ๆน้องจะสมัครเรียน น้องบอกว่าที่นี่เป็นมหาลัยรัฐ ค่าเรียนวิชาพื้นฐานหน่วยกิตละ 90 ดอล แต่มหาลัยที่น้องเราเรียนมันเป็นเอกชน หน่วยกิตละ 600 ดอล O_o" น้องบอกว่าวิชาพื้นฐานมาเรียนที่นีแล้วโอนไปที่มหาลัยมันได้ น้องเลยมาสอบเพื่อจะเรียนวิชาพื้นฐาน ทีแรกน้องบอกว่า จะต้องสอบประมาณ 2 ชม.ให้เรารอตรงดาวน์ทาวใกล้ๆ ทีแรกก็กะจะเดินเล่นแถวนั้นรอ แต่ปัญหาคือเรายังไม่ได้ซื้อโทรศัพท์ มีแต่โทรศัพท์ที่เอามาจากไทย ซึ่งมันก็แค่เล่นเน็ตได้อะ ถ้าจะโทรก็ต้องโทรผ่านเน็ต ดังนั้น น้องเราเลยให้เราไปนั่งรอในสตาร์บั๊คแทน จะได้ติดต่อกันได้ ทีแรกก็ชิลๆนั่งเล่นมือถือไป เล่นไปเล่นมาซวยแระ แบตจะหมด ผ่านไป 2 ชม กว่า น้องก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมา เราส่ง Line ไป มันก็ไม่ได้เปิดอ่านเลย จะไปไหนก็ไม่กล้า กลัวติดต่อกับน้องไม่ได้และ ที่ซวยกว่า คือ ปวดฉี่มาก นั่งรอน้องตั้งแต่ 11.30 จนบ่าย 3 ทนไม่ไหว ข้าวก็ไม่ได้กิน กินแต่โกโก้ กับคุกกี้รองท้อง เราพยายามเซฟแบตมือถือสุดๆ ส่ง Line ไปหาน้องว่าจะไปหาห้องน้ำแล้ว แล้วถ้าน้องมาให้รอแถวๆสตาร์บั๊คนีแหละ เรา เดินหาห้องน้ำแถวนั้นไม่ เจอเลย สรุปเลยได้เดินย้อนไปที่มหาลัยที่แจนไปสอบ ท่าทางเรานี่ ยังกะคนมีพิรุธ กลัวเค้าจับส่งตำรวจมากๆ >< แบบว่า เดินๆไป ก็ส่องๆไป คือจะหาห้องน้ำอะ กะว่าในนี้ต้องมีแน่ๆ สรุปก็เจอจนได้ แอบอยู่ซะหลืบ = =" พอเข้าห้องน้ำก็โล่งงง กลับไปนั่งรอน้องที่สตาร์บั๊ค แต่เราไม่กล้ากลับไปนั่งข้างใน เลยนั่งตรงเก้าอี้ข้างนอกริมทางเดิน (แก้วสตาร์บั๊คยังไม่ได้ทิ้ง ก็เนียนเอามาวางไว้บนโต๊ะนี่แหละ) นั่ง สัปหงกรอน้องอยู่ที่นั่งริมทางเดิน (แอบอนาถตัวเองเล็กๆ) คือทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ทั้งหิว กว่าน้องจะมาก็ปาไป 4 โมงเย็น ที่ว่าจะไปต่อเลยไม่ไปแล้ว
รูปนี้ถ่ายตอนมึนๆ ระหว่างเดินกลับไปสตาร์บั๊ค ดูอีกที งงๆว่าถ่ายรายมาเนี๊ย
เดินตรงไปจะเจอที่นั่งด้านนอกของสตาร์บั๊คแดดตามที่เห็น


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
อาวรูปไม่ขึ้น - -*ลงใหม่


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
ตอนนั้นพะอืดพะอม อยากอ้วกมากๆ = =" สรุปเลยกลับที่พักกัน ขากลับก็แวะซื้ออาหารไทยใกล้ๆที่พักไปกิน น้องสั่งข้าวคลุกกะปิกับผัดไทยห่อไข่ จานละ 7ดอลกว่า ถึงที่พักแบบเดินกันขาลาก เพราะไกลพอสมควร เทียบบ้านเราก็น่าจะ 3-4 ป้ายรถเมล์ น้องบอกว่าจริงๆมีรถเมล์ แต่ต้องรอ 10 กว่านาทีกว่ามันจะมา เลยเดินเอา กลับมาถึงก็อ้วกไปรอบมีแต่น้ำย่อย - -" แล้วก็ออกมาแบ่งกันกินข้าวกับน้อง คือกินด้วยกัน 2 คน 2 อย่างนั้นแหละ อาหารให้เยอะมาก ขนาดว่า กินกัน กล่องนึงคนละครึ่งยังได้ เรากินซักหน่อย ก็หลบไปนอน ตื่นมาอีกที 6 โมงครึ่ง ด้วยอาการตะคริวกินขา ปวดขามากกก พยายาม ดึงขาให้ตึงๆ แต่มันไม่หาย น้องก็ไม่อยู่บ้านแล้ว ไม่มีใครมาช่วย กว่าจะทุเลาก็ผ่านไปพักใหญ่ๆ เราก็หลับไปอีกรอบแล้วตื่นมาอีกทุ่มครึ่ง แต่ขอโทษ แดดเหมือน 5 โมงเย็นบ้านเราอะ เล่นเอาตื่นมาแบบงงๆ เพราะสภาพอากาศอย่างนี้ซินะ เล่นเอานาฬิกร่างกายเรารวนไปหมดเลย
ลุกขึ้นมาก็มากินผัดไทยที่เหลือจากตอนเย็น ก่อนจะอาบน้ำแล้วนอนอีกรอบรสชาติอาหารไทยที่นี้ก็โอเคนะ แต่ยังไงก็สู้ประเทศไทยไม่ได้หรอก
รูปนี้ถ่ายตอนเกือบๆ 2 ทุ่ม ที่หน้าต่างห้อง สว่างมากกกกกกกก
น้องบอกเพราะเป็นช่วง Summer เลยเป็นงี้หน้าหนาวจะมืดเร็ว


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
ดูรูปเพิ่มเติมได้ที่นี่นะคะ

http://www.facebook.com/media/set/?set=a.471925802827379.114586.417901371563156&type=1



ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
27/7/12


วันนี้ ดีหน่อย เวลาที่ตื่นเริ่มช้าขึ้น คราวนี้รู้สึกตัว 6 โมงกว่า เราก็นอนต่อตื่นอีกทีตอน 7 โมงเช้า ตื่นมาก็ทำกับข้าวกิน วันนี้ค้นตู้เย็นเจอไก่สับ เลยทำข้าวต้มไก่ซะเลย


วันนี้วุ่นวายกับการ ลองซื้อโน๊ตบุ๊คทางอินเตอร์เน็ต เนื่องจาก เมื่อวานที่ว่าจะไปซื้อมันไม่มีเวลาแล้ว แถม ไปค่อนข้างยาก เพราะต้องต่อรถไฟ นั่งรถเมล์ แล้วเดินต่อ ด้วยสภาพป่วยๆแบบเมื่อวานคงไปไม่ไหว พอดีว่าน้องหันมาถามว่า ทำไมไม่ซื้อทางเน็ตละพี่หลิน...



ที่อเมริกาคนส่วนใหญ่ซื้อของทางเน็ต กัน ตอนที่เราจะไปซื้อเอง กะว่าได้ไปดูของได้เช็คของจะได้ลดปัญหาเรื่องการเคลมของจากการขนส่ง แต่เมื่อวานมาคิดๆดูแล้ว ราคาไปซื้อที่ร้านไม่ +tax มีค่ารถสำหรับ 2คนอีก


tax ที่อเมริกาแต่ละรัฐไม่เท่ากัน ชิคาโก tax ประมาณ 10% คิดไปคิดมา ซื้อทางเน็ตเอากะได้วะ - -" ก็ไม่รู้ว่าเมื่อวานออกไปกับน้องทำไม -..-


ออ มาต่อเรื่องซื้อของทางเน็ต เราลองใช้ paypal ของเราซื้อของ แล้วที่เว็บมันเช็คที่อยู่ใน paypal ของเรามันเป็นเมืองไทยอะ แล้วมันไม่ให้ใช้ เง้อออออออออออออออ


ทำไงละทีนี้ เราเลยให้แม่ใช้บัตรเครดิตซื้อให้ กำลังกลุ้มใจว่า แล้วอย่างนี้จะใช้ paypal ซื้อของในอเมริกายังไง ถ้าเราทำบัตรเดบิตที่อเมริกา เอามาผูกกับ paypal เดิมเราได้มั๊ยเนี๊ย ใครเคยมีประสบการณ์บอกเราหน่อยแล้วกันว่าทำไงดี เพราะเงินดอลที่เรารับทำงาน อยู่ใน paypal ค่อนข้างเยอะพอสมควร


วันนี้ ยังรู้สึกตึงๆที่ขา อารมณ์เหมือนกับขาตะคริวจะกินแต่ก็ไม่เป็น เลยเอาเจลทากล้ามเนื้อมาทา แต่เอแปลกๆ ยิ่งทายิ่งปวด -"- เลยเลิกทาดีกว่า


วันนี้ ยังรู้สึกเพลียๆ กินข้าวเที่ยงเสร็จก็นอนยาวววววว ตอนนี้คิดว่า การฝืนไม่นอนไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร เราว่าเรานอนพักเยอะๆแบบคนป่วยดีกว่า ร่างกายจะได้ไม่เพลียมาก ว่าแล้วก็นอนตั้งแต่เที่ยงจน 6โมงครึ่งเลย >.< ตื่นมาก็ทำกับข้าวแล้วก็อัพไดนี่แหละ ฮี่ๆ


ปล.ตอนนี้ยังไม่ค่อยรู้สึกเหมือนตัวเองมาเมืองนอกเลย สงสัยน่าจะเพราะไม่ค่อยได้ออกไปไหน = =

เอาไว้เดี๋ยวได้ทำอะไรที่มันมีสาระกว่าวันนี้จะมาเล่าใหม่ ^ ^"



LinDiary@Khon Thai Association of America


*****************************

ตอนนี้แก้ปัญหา Paypal ได้แระ เราใช้วิธีเปิดบัญชีที่อเมริกาแล้วแอดแบงค์ที่อเมริกา จากนั้นก็โอนเงินเข้าแบงค์ ใช้บัตรเดบิตแบงค์ซื้อของเอา


ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
@hollywop อยากรู้จักเรารึรู้จักชิคาโกคะ

มีปัญหาอย่างไรก็โทรไปคุยกันได้ครับ [email protected]

ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
คุณ จขกท. เขียนเล่าเรื่องได้สนุกมากเลยค่ะ อ่านแล้วมีเผลอยิ้มไปด้วยเลย...อิอิ..


ตอบกลับความเห็นที่ 22
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 23
ประสบการณ์เดียวกันเลยค่ะ เราเพิ่งมาถึงวันนี้ บนเครื่อง+ Incheon Airport ไม่มีใครพูดอังกฤษกับเราเลย รัวเกาหลีกันตลอด ส่วนเรื่องอาหาร ตอนต่อเครื่องที่Incheon เราจัดหนักไปหลายอย่างเลย ทั้งคาว ทั้งหวาน และบนเครื่องโชคดีที่เราชอบอาหารฝรั่งอยู่แล้ว เลยโอเค เราทานไก่มันบด กับซีฟูด แอบเห็นอันข้าวต้ม ดูไม่โอเคจริงๆด้วย55

ตอน Immigration ที่ O hare ก็นานมากจริงๆค่ะ รอจนเหนื่อยเลย เราโชคดีระหว่างรอมีเจ้าหน้าที่เดินมาขอดู I20 แล้วบอกให้เรากรอกหลังบัตรไว้ก่อน พอกรอกแล้วถึงคิวคุยกับตม. เค้ายังงงๆเลยว่าทำไมเรารู้ว่าต้องกรอก เลยผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ไม่ได้ถามอะไรเลย ดูเอกสาร เค้าพิมพ์ๆ ให้เราสแกนนิ้ว ก็stamp เสร็จเร็วมากค่ะ
แต่แอบโชคร้าย โดนตรวจกระเป๋า ต้องยกขึ้น-ลงเครื่องสแกน เหนื่อยเลย (ตอนยกลงจากรางเอากระเป๋ากว่าจะจัดเข้ารถเข็นได้แทบแย่ ต้องมีเจ้าหน้าที่มาช่วยยก แต่ตอนเอาเข้าเครื่องสแกน นี่ช่วยตัวเองล้วนๆ มือ+หลังแทบหัก >__<)

ยินดีที่รู้จักนะคะ ยังไงอยู่ชิคาโก้คงได้มีเจอกันบ้างแหละ ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 23
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 24
29/7/12 วันนี้ หมายมั่นปั้นมือว่าจะไปทะเลสาบที่มองผ่านทางหน้าต่างตึกทุกวันให้ ได้ (ก่อนหน้านี้ไม่ได้ออกจากห้องเลยไม่มีกุญแจห้อง น้องก็ไม่ว่าง เลยไม่ได้พาไปไหน พึ่งได้กุญแจห้องเมื่อคืนได้ออกจากห้องแล้ววววว ) เล็งๆไว้แล้วว่าเดินตรงไปเรื่อยๆจากตึก เดี๋ยวมันก็ต้องถึง (ไม่หลงแน่ๆ )
วันนี้ระหว่างที่นั่งกินข้าวเช้า น้องพิมก็ออกมาจากห้องกำลังจะไปวิ่งตอนเช้า เห็นเราก็ถามวันนี้พี่หลินจะไปไหนมั๊ย เราเลยบอกว่าจะไปทะเลสาบ น้องพิมเลยช่วยเสริมว่า พี่หลินเดินตรงไปเรื่อยๆ จะเจออุโมงค์ แล้วพี่หลินก็เข้าอุโมงค์เดินไปก็ถึงแล้วว อะเช หึหึ เดี๋ยวเจอกันนะจ๊ะ ทะเลสาบ ที แรกกะว่าจะไปตั้งแต่ช่วงเช้า แต่เห็นแดดแล้ว อืมมมม เด๋วค่อยไปละกัน ประมาณบ่าย2 น้องก็พาไปช่วยขนของจากอพาร์ทเม้นท์เก่าน้อง (น้องหมดสัญญากับห้องเก่า ก็มาทำสัญญาห้องใหม่เพื่ออยู่กะเรา เลยต้องเคลียร์ของเพื่อคืนห้องเก่า) ช่วยน้องเสร็จก็ ประมาณบ่าย 3 ^ ^" ได้เวลาไปเดินเล่นแล้วววว (น้องต้องไปทำงานพิเศษ เราฉายเดี่ยว) มือ ถือพร้อม กระเป๋าพร้อม ก็สะพายกระเป๋า เดินออกจากตึก อิอิ ลงลิฟท์มา เอ...แล้วเราต้องเลี้ยวซ้าย รึขวาละเนี๊ย สรุปหลงทิศ 555 อ๊ะคิดแล้วก็ ปวด.... สงสัยตื่นเต้นไปหน่อย กลับขึ้นไปเข้าห้องน้ำ กับตั้งหลักก่อน ว่าแล้วก็เล็งทิศใหม่ หน้าต่างทางนี้ ลิฟทางนี้ หน้าตึกทางนี้ โอเค ออกจากตึกแล้วต้องไปทางขวา ฮี่ๆ
แล้วก็ได้เวลาผจญภัย (เวอร์มาก แค่ไปทะเลสาบเอง)อากาศดีมาก ไม่มีแดดเลย ไม่ร้อนด้วย เรียกว่ากำลังสบายๆเลย เดิน ลั้ลลาไปตามทางเรื่อยๆ ถ่ายรูปตามทางไป ตามประสาบ้านนอกเข้ากรุง ตึกแถวนี้เราว่าสวยมากๆ มันเป็นตึกแบบเก่าๆ ได้รมณ์ดีอะ ตามทางเห็นคนจูงหมามาเดินเล่นเต็มเลย เห็นแล้วก็คิดถึงเจ้า 2 ตัวที่ประเทศไทย อยากเอามาด้วยจัง T^T เดินมาซักพักไม่ไกลมาก ก็เจออุโมงที่น้องพิมบอก ดูหน้าอุโมงมันก็สวยดีนะ แต่ในอุโมงนี่ อืมมมมม เก่ามาก 555 น่าจะทำดีๆหน่อยนะ ทะลุ อุโมงค์มาเจอสวน จัดไว้น่ารักดี แล้วก็มีทางแยก ซ้ายขวา.... อืมมม ไปทางไหนดีหว่า ทางซ้ายละกัน (เห็นเค้าเดินไปทางนี้กัน เลยเดินๆตามเค้าไป 555) คราวนี้เดินไกลพอสมควร เพราะมันต้องอ้อมสนามกอล์ฟ (อยากโดดข้ามกำแพงทะลุสนามกอล์ฟไปเจงๆ) เพราะมันไกลกว่าจากบ้านมาอุโมงค์อีก = = เดินๆไปก็คิดว่าถูกทางมะน๊อ ถูกทางมะน้อ 555 เพราะระหว่างทาางก็มีทางแยกไปทั้งนั้นนี้อีก แต่เราถือคติ เดินชิดในไว้ก่อน
และแล้วก็มาถึง โอ๊วววววววววว เจอแล้วววว เรามาเจอส่วนที่เป็นอ่าวจอดเรือ (เราเรียกถูกมั๊ยหว่า ^ ^") มีเรือจอดเต็มเลยยยยย ลมตรงนี้แรงมากกก เค้ามีเก้าอี้วางไว้ให้นั่งชมวิวด้วย ว่าแล้วก็นั่งเล่น ถ่ายรูปซะหน่อย ตรง นี้ไม่มีหาด มีแต่หินกันคลื่นวางไว้เป็นแนวยาว พร้อมสัญลักษณ์ว่าห้ามลงเล่นน้ำ เอ แล้วไหนอะหาดอะหาดดดดดดดดดดดดดดดดดด ว่าแล้วเราก็ลองเดินไปเรื่อยๆ ทางขวา (นั้นคือย้อนไปทางอพาร์ทเม้นเรา แต่ตะกี้มีสนามกอล์ฟกั้น เราเลยต้องเดินอ้อม) เราเดินเลาะตามหินที่กั้นคลื่นไปตามทางเรื่อยๆ แล้วก็เจอ! O_O รั้วกั้น เง้อออออออออออออออ มันไม่ให้ไปแล้ววววววววววววววววว แง๊ เดินมาไกลนะนิ ฮือๆ ต้องเดินย้อนกลับไปโดยไม่เห็นหาด T^T กาซิกๆ เลย ต้องจำใจเดินย้อนกลับไป แต่ไม่ใช่เราคนเดียวหรอกนะ ที่เผลอเดินมาทางนี้ มีคนอื่นๆที่เผลอมาเหมือนกัน ^ ^" เราตัดสินใจ กะว่าจะลองเดินอ้อมสนามกอล์ฟไปอีกทางดู ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องเดินกลับไปที่อุโมงค์ที่เรามา แล้วเดินไปอีกทาง (แค่คิดก็เหนื่อยแระ - -") เดินเล่นถ่ายรูปไปตามทาง จนถึงอุโมงค์ ก็เปลี่ยนใจ ไม่ไปดีกว่า เพราะเหนื่อยมาก 555 ชักจะปวดขา เดี๋ยวกลางคืนจะไม่ไหวเอา เลยตัดสินใจเดินกลับ เอาไว้ค่อยไปตามหาหาดวันหลัง ^ ^" กลับมาบ้านมาดูแผนที่ก็ได้ รู้ว่า จริงๆเราต้องเดินตามทางไปทิศเหนือเรื่อยๆ ดีนะถ้าเราเดินลงใต้ ก็เสียเวลาเปล่าไม่เจอหาดอยู่ดี เอาไว้คราวหน้าจะถ่ายรูปหาดมาให้ได้ อิอิ ปล.ดูรูปได้ในอัลบั๊มนะงับ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.473485122671447.115075.417901371563156&type=3
LinDiary@Khon Thai Association of Americaแก้ตกหล่นนิดนึง

ตอบกลับความเห็นที่ 24
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 25
สนุกดีนะครับ แอบ ขำอิอิ
ตอบกลับความเห็นที่ 25
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 26
ซื้อของเองวันแรก30/7/12 สงสัย จะเหนื่อยจากเมื่อวาน คราวนี้ตื่นซะสายเลย ตื่นมาดูนาฬิกา ตายแล้ว 9โมงครึ่ง >< วันนี้เราว่าจะไปทำความสะอาดอพาร์ทเม้นท์เก่าให้น้องสาวซะด้วยซิ พอ ดีน้องต้องคืนห้องเก่าเพื่อมาพักกับเราที่ห้องใหม่ ห้องใหม่เราเป็นแบบ 3 ห้องนอน (แชร์หลายคนถูกกว่า) ทีนี้ที่นี่เวลาคืนห้องจะต้องจ้าง คนมาทำความสะอาด (Professional) ซึ่งแม่อยากให้ทำกันเองเพราะจ้างแพง แต่น้องเราดันขี้เกียจทำ เราเลยบอกน้องว่า ถ้าช่วยกันทำทำให้ฟรีนนะแต่ถ้าจะให้ทำให้ก็จ้างมา น้องเลยถามว่า 40 ดอลทำมั๊ย ถ้าไม่ทำจะไปจ้าง 50 ดอล เลยจัดไป อิอิ เนื่องจาก น้องเรา ที่บ้านอุปกรณ์ทำความสะอาดเรียกว่าไม่พร้อมเอาซะเลย เราเลยต้องไปซื้อใหม่ แต่น้องไม่ว่างแล้วต้องไปทำงานพิเศษ เราเลยต้องออกไปซื้อเอง น้องก็ให้ดูแผนที่ในกูเกิ้ล แล้วเราก็ไปตามแผนที่ เรา เดินตามทางที่น้องบอกมาเรื่อยๆ ยังไม่ถึงจุดหมายแต่เราก็เห็นห้างๆนึง อยู่ทางขวามือเรา อารมณ์คล้ายๆบิกซีขนาดเล็ก เราเลยเปลี่ยนเป้าหมายเข้ามันที่นี่แหละใกล้ดี ดูแล้วอารมณ์ ซุปเปอร์ ขนาดใหญ่ซะมากกว่าห้าง ของข้างในส่วนใหญ่เป็นของกิน การจัดระบบของดูมั่วๆแปลกๆ หมวดหมู่จัดแปลกๆ ของที่มีขายส่วนใหญ่เป็นของกิน กว่าจะหาเจออุปกรณ์ทำความสะอาด มันอยู่กับอาหารสัตว์ - -" เจอเพราะกะแวะดูราคาอาหารสัตว์ (ป้ายข้างบนมันก็เขียนว่าโซนอาหารสัตว์นะ) ระหว่าง ที่กำลังเล็งไม้ถูพื้น ก็มีคนดำเข้ามาทัก (ซวยแระตรู) เข้ามาชวนเราเปิดบัญชีธนาคาร จำได้แค่้ถามว่าเรามีบัญชีธนาคารรึยัง ด้วยความตื่นเต้น เจือกตอบตามความจริงว่ายัง (ถ้าบอกว่ามีแล้วก็คงจบไปแระ) คราวนี้มาเป็นชุดเลย ไอ้เราก็นะ ฟังไม่ค่อยออก เลยบอกไปว่า I can speak English a little. เค้าทำท่าเหมือนจะเข้าใจ แล้วก็พูดอะไรมาอีกเป็นชุดไม่รู้ - -* (นึกในใจตรูฟังมะรู้เรื่อง T^T) แล้วก็ยื่นโบร์ชัวร์ให้เรา เราก็ขอบคุณเค้าแล้วรีบไป = = แล้ว ก็รีบไปจ่ายเงิน ถือของทั้งหมดไปวางตรงที่คิดเงิน แล้วคอยดูจอว่าทั้งหมดเท่าไหร่ แล้วก็จ่ายเงินไป (แทบไม่ได้พูดไรกับเค้าเลยนอกจากทักทายกัน > แล้ว ก็หอบของไปทำความสะอาดห้องให้น้อง กว่าจะเสร็จล่อไป 5 ชม.กลัวโดนปรับ เช็คแล้วเช็คอีก ทำจนรู้สึกว่า เราต้องทำสะอาดกว่ามืออาชีพแน่ๆ 555 กลับมาหลับเป็นตายเลย เหนื่อยสุดๆ ปล. สรุปว่าผ่านฉลุยไม่โดนปรับ กะว่าราวหน้าจะไม่ทำแระเหนื่อยเกิ๊น
ตอบกลับความเห็นที่ 26
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 27
ช๊อปร้านขายของไทย 31/7/12 วันนี้ น้องพิม กับน้องเอ๋ (เพื่อนน้องพิม) ชวนเราออกไปช๊อปปิ้ง บอกจะพาไปร้านที่่ขายของกินใช้ จากไทย เราเลยไปด้วย น้อง เอ๋มีรถ เลยขับรถพาไปหลายที่เลย ร้านแรกเป็นร้านของคนลาว (พูดภาษาไทยได้) ดูเป็นซุปเปอร์มาร์เกตขนาดใหญ่ มีของจากเอเชียขายเพียบ พริกน้ำปลา ปูดอง มาม่าต้มยำกุ้ง พริกป่น พริกสด ผักต่างๆมีเต็มเลย ราคาแพงกว่าไทยประมาณ 1เท่า (เทียบราคาจากมาม่า) ออไข่ไก่ที่นี้สีไม่เหมือนบ้านเราอะ ไก่มานไข่ออกมาเปลือกสีขาวเหมือนไข่เป็ดบ้านเราเลย แล้วซื้อ ของมาทำกินเองประหยัดกว่าซื้อกินมากๆ อย่าง อาหารไทยจานนึง 7 ดอล 7 ดอลเราซื้อไข่ได้ 1 แพค ไก่ 1 แพค+ขนมได้ด้วย เลยซื้อของไปทำกินกันที่บ้านหลายอย่างเลย สรุปว่า ถ้าไม่ติดเรืองราคามันแพงกว่าเท่านึง มาม่าต้มยำไม่ต้องหอบมาก็ได้มีขาย จาก นั้นก็ไปห้าง ที่ดูคล้ายๆบิกซีบ้านเรา ชื่อ Target (http://www.target.com) ไปซื้อของใช้เข้าบ้าน เราซื้อกระจกยาวมาอันนึง ราคา 4.5ดอล ก็ไม่แพงเท่าไหร่ กับซื้อแฮมและฮอตดอกมาไว้ทำแซนวิชกินเองเวลาขี้เกียจทำกับข้าว (ซื้อมานี่แพคนึงทำกินได้หลายมื้อคุ้ม ^ ^) ซื้อ ร้านนี้เสร็จน้องๆเกิดอยากกินส้มตำกันขึ้นมา เลยพาไปร้านขายของเอเชียอีกร้าน (อันนี้ร้านคนจีน) ของที่ขายก็คล้ายๆร้านแรกที่ไป น้องไปซื้อมะละกอกับของต่างๆที่จะใช้ตำส้มตำไปกินกัน กลับมา บ้านก็ทำ อาหารกินกัน อร่อยดี แต่เหนื่อยตอนล้างจาน เพราะจานเยอะมาก น้องสาวเราบอกให้ใช้เครื่องล้างจาน แต่เราไม่ค่อยชอบ เราว่า พวกคราบมันไม่ค่อยออก - -* ปล.รอบนี้ไม่มีรูปไม่ได้ถ่ายเพราะไม่รู้จาถ่ายอะไรแหะๆ LinDiary@Khon Thai Association of America
ตอบกลับความเห็นที่ 27
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 28
ยังมีคนอ่านตออยู่ป่าวไม่รู้ ลงเอามันส์เจงๆเรา ^ ^"


ตอบกลับความเห็นที่ 28
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 29
ผมยังตามอ่านอยู่นะครับ เล่าได้สนุกมาก ฮาดี


ตอบกลับความเห็นที่ 29
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 30
น้องข้าวปั้นเขียนหนังสือสนุกจัง เห็นภาพชัดมากๆเลย

เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนพี่ก็เป็นเหมือนน้อง แต่พี่เริ่มจากขอนแก่นไปกรุงเทพโตเกียว ไม่ไกลมาก แต่เอ๋อเหมือนกันเพราะตอนนั้นไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นเลย

ตอนขึ้นเครื่องบินนี่สะเหร่อสุดๆและเกร็งสุดๆเหมือนกัน พี่ถอดสายรัดนิรภัย (ซี้ทเบ้ลท์)ไม่เป็น คนนั่งข้างๆที่เป็นญี่ปุ่นต้องเอาออกให้ อายสุดๆไปเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 30
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 31
ผมก็ตามมาติดๆคัฟฟฟฟฟฟฟ


ตอบกลับความเห็นที่ 31
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 32
หนูช่างเล่า น่ารักดี อ่านสนุกดีค่ะ

นึกถึงตัวเองตอนมาครั้งแรก (แต่มาแต่งงาน ไม่ได้มาเรียนเหมือนคุณ) เด๋อด๋ามากทุกอย่าง ภาษาอังกฤษที่คิดว่าตัวเองแน่มากตอนนั้น เอาเข้าจริงเป็นศูนย์ ที่ LAX airport ตอนนั้นมองหาเครื่องบินว่าลำไหนจะกลับไปเมืองไทยบ้าง ถ้าเจอก็คิดว่าจะไปขอเขากลับบ้าน ไม่เอาแล้วเมกา

แต่คงเป็นเพราะลิขิต ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิดเลยต้องอยู่เมกามาจนทุกวันนี้ นี่ก็ล่อไปสามสิบกว่าปีมาแล้ว

ขอให้หนูโชดดีมีสุขกับประเทศนี้(เช่นเดียวกับดิฉัน)จ้า..


ตอบกลับความเห็นที่ 32
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 33
ดีใจจังยังมีคนตามอ่านแหะๆ ><ตอนนี้ในเฟซก็ทะยอยลงตอนใหม่่เรื่อยๆ (จริงๆเขียนเก็บไว้เยอะจนถึงปัจจุบัน แต่บางทีไม่มีเวลาอัพลงซักทีเลยได้แต่ทะยอยๆลง)
*********************
1/8/12 วันนี้น้องสาวพาไปธนาคาร กับไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ วันนี้ นั่งรถเมล์ไป ทำให้เราได้รู้ว่าค่ารถเมล์ที่นี่แพงมาก (รับมะได้ ฮือๆ) ขึ้นนึงทีค่ารถ 2 ดอล ต่อรถครั้งแรกภายใน 2 ชม 25 เซ็น แต่ครั้งที่ 3 ฟรี(ภายใน 2 ชมนะ) แต่ครั้งที่4 เริ่มนับใหม่ คือค่ารถ 2 ดอลนี่ซื้อไข่ได้แพคนึงเลยอะ -*- ไป ถึงธนาคาร (Bank of America) ซึ่งก็นั่งรถไม่นานประมาณ 5 นาที ดูแล้วไม่เหมือนธนาคารบ้านเราบรรยากาศเป็นเก่าๆ ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์+เคาท์เตอร์ต่างๆด้วยไม้ คนไม่ขวักไขว่แบบบ้านเรา และ ใช้เวลารอนานมากกกกกกกกกก กว่าจะได้เปิดบัญชี พอเข้าไปแล้วก็ได้รู้ว่าทำไมนานมาก เพราะขั้นตอนเยอะโคตรๆ ระบบแบ๊งค์ที่นี่ นิยมให้คนใช้บริการออนไลน์มากกว่าเดินมาธนาคาร ถ้ามาฝากถอนในธนาคารเสียเงินนะ ^ ^" เพราะงั้นเค้าเลยทำแอคเค๊าท์ให้เราทำอีแบงค์พร้อมด้วยเลย น้อง เราเป็นคนช่วยพูดกับ จนท.ให้ คร่าวๆคือ เค้าก็ถามจะมาเปิดบัญชีอะไร เค้าก็ถามเรามีเลขโซเชียลมั๊ย เราไม่มีก็เอาพาสปอร์ตให้เค้าดู ทีแรกเค้าถามว่ามีบัตรอะไรมาจากเมืองไทยป่าวจะดูชื่อ แต่เราไม่มีอะ ไม่ได้พกบัตรประชาชนไทยไปด้วย(แต่จริงๆพาสปอร์ตมันก็มีชื่อกะรูปนะ - -*) จาก นั้นเค้าก็จะถามข้อมูลพวกที่อยู่ เบอร์โทรต่างๆ แล้วก็กรอกเอกสารต่างๆ เค้าก็จะคีย์ๆเข้าระบบคอมพิวเตอร์ จากนั้นเค้าก็จะทำ E-bank ให้เรา ให้เราคีย์เลือก ID เลือกคำถามกันลืมต่างๆ แล้วก็ถ่ายรูปติดบัตร (ถ่ายก็ได้ไม่ถ่ายก็ได้ แต่ถ่ายปลอดภัยกว่าเราเลยเลือกถ่าย) เค้าก็จะให้เอกสารต่างๆมาเป็นรหัส กับพวก ID ที่ใช้เข้าระบบ E-bank แล้วก็ใบเสร็จ (จะได้บัตรสำรองแบบไม่มีรูปมาก่อน บัตรจริงแบบมีรูปจะส่งมาให้ที่บ้านทีหลัง) จากนั้นเราก็ต้องเอาบัตรมา Active ครั้งแรกที่ตู้ ATM ด้านหน้า เป็นอันเรียบร้อย เราต้องให้น้องอธิบายระบบที่นี่เยอะพอสมควร เพราะมันไม่เหมือนบ้านเรา ที่ นี่บัญชีธนาคารมันจะมีระบบกระเป๋าเงินสดด้วยในตัว น้องเรียก Checking (น่าจะอารมณ์เช็คอิเล็คทรอนิค) คือบัญชีออมทรัพย์เราจะใช้รูดซื้อของ(เดบิต)ไม่ได้ ถ้าเราไม่เติมเงินใน Checking เราต้องโยกจากออมทรัพย์มาไว้ใน ระบบกระเป๋าเงินสดก่อน (Checking)เป็นการกำหนดวงเงินที่จะใช้รูด แบบนี้ สุมมติตังค์ในบัญชีมี 100 ดอลล เราแบ่งในออมทรัพย์ 50 ดอล ในกระเป๋าเงินสด 50 ดอล เวลารูดเราจะรูดได้สูงสุดแค่ 50 ดอล แม้เงินในบัญชีจะมีรวม 100 ดอล มันเป็นระบบรักษาความปลอดภัย เผื่อมีคนเอาบัตรเราไปรูดอะ พอเปิดบัญชีเสร็จ ก็ไปซื้อซิมโทรศัพท์แบบเติมเงิน อัน นี้ก็แปลกอีกแระ มันนับการคุยโทรศัพท์เป็นนาที ไม่ว่าเราจะโทรไปรึรับสายก็ตาม - -* แต่ส่ง SMS ที่นี่ถูกนะ ส่วนใหญ่จะเป็นแพคเกจ Unlimited ส่งได้ไม่อั้น แต่จำกัดนาทีที่โทร -..- แล้ว โทรศัพท์ที่นี่ เป็น 4จี จะหมดแล้วนะ เพราะงั้นโปรเล่นเน็ตจะเป็นของ 4 จีไปด้วย เราใช้ของ T-moblie เพราะโปรแบบเติมเงินมันน่าสนใจสุด (เห็นน้องว่าของ AT&T ที่ยังใช้ของ 3 จีได้เพราะเค้าขายไอโฟนที่ยังใช้ 3 จีอยู่) แต่กำลังจะยกเลิกเป็น 4 จีหมดแล้ว (ของยี่ห้ออื่นเท่าที่เห็นก็ยังมี 3 จีอยู่นะแต่ไม่รู้ว่าคลื่นเป็นไง)
มือถือเราดันเป็น 3 จีอยู่ เน็ตเราเลยวิ่งเอจแทน -..- เลยกะว่า เด๋วจะซื้อมือถือใหม่แบบ no contract แล้วก็ที่มัน Unlock แล้วจะได้เอาไปใช้เมืองไทยไทย คือแบบ contract เนี๊ย เครื่องถูกมากกกกกกกกก แต่รายเดือนแพงอะ -*- อารมณ์ก็เหมือนกับผ่อนเครื่องกับเค้านั้นแหละ แถมโปรไม่คุ้มเหมือนของเติมเงินเลย เราเลยคิดว่าไม่ใช้หรอกแบบ contract เปลือง ส่วนค่ายมือถือเราไม่ค่อยสันทันเพราะพึ่งไป แต่ที่น้องๆบอกมาว่าคลื่นโอเค จะมีของ AT&T กับ T-mobileใครรู้อะไรเพิ่มเติมก็เสริมกันได้นะคะ เพราะมุมมองของเรามันเป็นมุมมองมือใหม่จริงๆ
LinDiary@Khon Thai Association of America
ตอบกลับความเห็นที่ 33
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 34
LinDiary : นั่งรถเมล์เอง ทำงานวันแรก หนาวววววววววววววววววววว

9/8/12

เมื่อคืนนั่งทำงานจนดึก (งานที่ทำตั้งแต่อยู่ไทย พอดีงานเราติดต่อกับลูกค้าและทีมงานทางเน็ต เลยเอามาทำที่เมกาด้วยได้) ดูนาฬิกา ตี 1 กว่าๆแล้วก็รีบเข้านอน เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้องทำงานวันแรก




เราย้อนเรื่องหางานนิดนึง

จริงๆเราก็แอบกลุ้มใจนะ ภาษาเราห่วยแตก อย่างนี้ใครจะรับไปทำงานเสิร์ฟ (waiter เห็นเค้าเรียกกันสั้นๆว่า เว็ท.. wait แบบนี้ป่าวหว่า) งานใช้แรงงานส่วนใหญ่เค้าก็จ้างแมกซิกัน

แอบกลุ้มใจเล็กๆ แม้เราจะมีงานของเราทำ แต่รายได้มันไม่แน่นอน แม่กะน้องก็ช่วยๆดูให้ มีไปทิ้งใบสมัครไว้บ้างตามร้านอาหารไทย แต่ก็ไม่มีใครเรียกไปทำงาน

ก็พอดีแม่มาบอกว่า ดาวน์ไลน์แม่(แม่ทำแอมเวย์ที่เมกา แล้วรู้จักคนไทยที่เมกาเยอะมาก) เค้ามีร้านอาหารไทยอยู่ แล้วกำลังอยากได้คนทำงานพอดี เลยพาเราไปดูตัวเมื่อวาน เค้าก็ถามเราวีซ่าอะไร พูดภาษาได้มั๊ย เราก็บอกนะพอฟังได้นิดหน่อย แต่พูดไม่ค่อยได้ ทีแรกเรากะมาขอทำงานหลังร้าน แต่เค้าบอกกะลังอยากได้เว็ทจะลองทำมั๊ย เพราะคนเก่าท้องแล้วลาออก เราเลยบอกว่าทำ (โอกาสมาต้องรีบคว้าไว้ซิเนอะ)

แต่ว่าเค้ามีวันให้เราลงแค่ 2 วัน คือ พฤหัสกับ อาทิตย์ 4 โมงเย็น - 4ทุ่ม ซึ่งเค้าให้เท่าไหร่เราก็ไม่รู้ - -* ไม่ได้ถามด้วย กะว่า พูดก็ยังไม่ได้เค้ารับก็โอแระ เอาไว้ฝึกๆ พูดจนชำนาญ ทำงานจนชำนาญ เดี๋ยวไปสมัครงานที่ไหนก็น่าจะง่ายขึ้น (พอดีคุยกับน้องอีกคน เค้าบอกว่าเพื่อนผู้หญิงเค้าก็ยังหางานไม่ได้เลย เค้าเลยไปขอทำฟรีๆฝึกงานไปก่อน เราเลยคิดว่า ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ)

มะวานเราไปคุยวันพุธ เค้าก็เลยให้เริ่มงานเลยในพฤหัสนี้(ซึ่งก็คือวันนี้) ขามาเพื่อนน้องขับรถมาส่งแต่ขากลับเราจะนั่งรถเมล์กลับเอง

ถึงเวลาทำงาน เราไปถึงที่ร้านก็เจอ เว็ท ทีทำงานอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งคนนี้เค้าเป็นคนสอนงานเรา เรียกพี่จินแล้วกัน(นามสมมุติ) พี่จินน่ารักมากกกกกกกกก สวยมากๆ >< ชอบอะ นิสัยดีเป็นกันเองมากๆด้วย

พี่เค้าช่วยสอนงานอะไรหลายๆอย่าง การรับลูกค้า เสริฟน้ำ เติมน้ำ คีย์ออเดอร์ในระบบ พอดีว่าวันนี้ฝนตก ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่ เราเลยได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย แต่ทิปก็น้อยด้วย ^ ^" เพราะลูกค้าส่วนใหญ่สั่งกลับบ้าน

ร้านที่เราไปทำเป็นร้านอาหารไทย+ซูชิ คนทำอาหารไทยเป็นคนไทย ส่วนซูชิเป็นคนแมกซิกัน ซึ่งมีอยู่ 2 คน 1 ในนั้น เค้ามาถามเราว่าชื่ออะไร เราบอกว่าเราชื่อหลิน เราก็เลยถามเค้ากลับว่าเค้าชื่ออะไร เค้าบอกว่าเค้าชื่อ อีซี่ เราเลยคิ้วขมวดนิดนึง (นึกในใจคนอะไรชื่อ easy หว่า - -*) แล้วทวนชื่อเค้า ว่าชื่ออีซี่เหรอ เค้าก็ยิ้มๆๆ แล้วบอก easy to you - -* แล้วก็หัวเราะ

เราก็เออ สรุปว่ามันชื่อนี้จริงๆหรือมุขวะ เลยแอบไปถามพี่จิน พี่จินเลยบอกว่า ชืออีซี่ (เออ แสดงว่าชื่อเค้าจริง - -*)
ตอนเย็นๆ เราไปช่วยพี่เค้าทำกาแฟเย็น ผู้ชายที่เป็นคนส่งอาหารก็เดินมาคุยๆแซวๆเรา(ชื่อทอม นามสมมุติ) คนนี้เป็นคนไทย แต่พูดไทยไม่ค่อยชัด แล้ว อีซี่ก็เดินมา คุยๆด้วย

ทอมพูดภาษาอังกฤษกับ อีซี่ แล้วก็หัวเราะกัน แล้วถามว่าเราฟังรู้เรื่องมั๊ย เราบอกว่ารู้เรื่องนิดหน่อย (คือเรารู้สึกว่าเค้าพูดกันเรื่องเราอยู่) จากนั้นเค้าก็พูดเป็นภาษาแมกซิกันกัน แล้วพูดกับอีซี่ว่าแบบนี้อะเราฟังไม่รู้เรื่องหรอก จากนั้นก็เม้าท์กันเป็นภาษาแมกซิกัน

พูดตรงๆรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะสายตาเวลาที่เค้าคุยกัน เสียงหัวเราะ อืม.. เราพอจะเดาๆออกว่าเค้าพูดเรื่องทำนองไหนกันอยู่ อีซี่ไม่อะไรนะ แต่คนไทยนี่แหละ เหมือนเป็นคนชงเลย

จากนั้นทอมก็บอกว่า อี่ซี่บอกว่าเราอะ Cute เราก็ขอบคุณไปตามมารยาท แต่เราว่าบทสนทนามันไปเกินกว่า Cute แหงๆ

ก็พอดีพี่จินเดินมา 2 คนนั้นก็คุยๆกับพี่จินซักพักก็เดินไป เราเลยพูดกับพี่จินว่า 2 คนนั้นพูดเป็นภาษาแมกซิกันกัน พี่จินท่าทางก็คงจะดูออกว่าเค้าน่าจะคุยกันเรื่องทำนองไหน ก็บอกว่าพวกนี้ก็งี้แหละไม่ต้องไปสนใจ

ตอนค่ำๆ พี่เจ้าของร้านน่ารักมาก พี่จินไปเล่าให้พี่เค้าาฟังว่าเราบอกว่าตั้งแต่เช้าพึ่งได้กินข้าวมื้อเดียว แกก็มาถามหิวมั๊ย กินอะไรมั๊ย สั่งได้เลย เราก็เอ๋อๆ สั่งได้เลยเหรอ (แอบเกรงใจหงะ ปกตินึกว่าถ้าจะกินไรก็ทำๆทีเดียวกินด้วยกันซะอีก) พี่เค้าก็คะยั้นคะยอถามว่าจะเอาอะไรสั่งได้เลย เราเลยบอกไปแกงกะหรี่ (คือเราเห็นมันมีในเมนูอะ ) เค้าก็งงๆแล้วหัวเราะกัน = =" พี่จินบอกว่าไม่ได้ยินนานแระคำว่าแกงกะหรี เค้าก็เลยสั่งให้

ทำมาให้เยอะมากอะ กินไม่หมด เลยหอบใส่กล่องกลับมาด้วย ^ ^"

พอค่ำๆซักหน่อย เหมือนรองเท้าใหม่ทำพิษ พอดีที่นี่ทำงานต้องใส่ชุดดำทั้งชุด เราเลยไปหาซื้อรองเท้าสีดำมาใส่ทำงาน เราซื้อแบบผ้าใบมา พื้นเป็นแบบกันลื่น(น้องแนะนำมา) แล้วตรงพื้นมันโค้งขึ้นมารับกับเท้า ซึ่งสำหรัับเราเรารู้สึกว่ามันโค้งมากไป พอยืนนานๆแล้วปวดเท้าเพราะรู้สึกเหมือนยืนบนอะไรโค้งๆตลอดเวลา แล้วก็ได้เรื่อง ตะคริวกิน - -* ดีที่เป็นแค่ฝ่าเท้า นี่ถ้าเป็นทั้งน่องจะยิ่งแแย่

เด๋วต้องไปหาซื้อแผ่นรองส้นมาใส่

พอเลิกงาน ก็เห็นพี่จินคุยๆกับพี่เจ้าของร้าน แล้วก็หยิบเงินมาให้เรา พี่เค้าบอกว่า ที่ต้อง (นามสมมุติ) เจ้าของร้านให้เราเป็นค่ารถ ปกติมาใหม่ๆพี่เค้าจะยังไม่ให้นะ แต่ให้เรา เราก็รับมาแบบงงๆ(เพราะมันก็เกินค่ารถเยอะอยู่) ก็นึกในใจ สรุปที่นี่ให้ค่าแรงเป็นเดือน รึเป็นวันหว่า แต่ก็ช่างมานขี้เกียจคิดเพราะทีแรกไม่ได้หวังไรอยู่แระ เอาไว้ทำงานเก่งแล้วค่อยถามเรื่องค่าแรงว่าสรุปเค้าให้เราแบบไหน

พอได้เวลากลับ เราก็ไปยืนรอรถเมล์ เนื่องจากวันนี้ฝนตก อากาศเย็นมาก ลมก็แรง เป็นการยืนรอรถเมล์ที่ทรมาณมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพราะเราใส่แค่เสื้อแขนสั้นตัวเดียวไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาว

ที่ป้ายมีคนดำยืนรอรถอยู่ด้วย เค้ามาชวนเราคุย เราก็กลัวๆเพราะน้องขู่เรื่องคนดำไว้เยอะ คนนี้แต่งตัวแนวเนิร์ดๆอะ ก็ไม่รู้เค้ามาดีมาร้าย เค้าถามว่าเราไปแถวไหน เราก็ตอบมั่วๆไป แล้วก็เหมือนถามกลับบ้านพักผ่อนเลยเหรอ เราก็ yes ไป แล้วเราก็บอกเค้าไปว่าเราพูดภาษาอังกฤษได้แค่นิดหน่อย เค้าก็ออทำหน้า เข้าใจ พอดีรถสายที่เค้าจะนั่งมา เค้าเลยลาเรา เราก็เลย bye เค้าไป

จริงๆสายที่เค้านั่ง สายนั้นก็ไปบ้านเรา แต่เราไม่แน่ใจป้ายที่ต้องลง เราเลยเลือกไปอีกสายนึง จริงๆป้ายนี้จะห่างบ้านเรามากกว่า แต่เรารู้จุดสังเกต ว่าถึงตรงไหนใกล้บ้านเราแล้ว

นั่งรออยู่นานมันไม่มาซักที หนาวก็หนาวยืนสั่นเลย ก็นึกขึ้นได้ว่ามือถือเราลง app สายรถเมล์ไว้ เราก็กดๆดู พอดู อาว สายที่เราจะขึ้นไหงมันไม่โชว์ว่ากี่นาทีจะถึงหว่า -..- เราก็งงๆ ดูถนนสายอื่น สายนี่มันก็ยังวิ่งอยู่นี่นา

เราเเลยโทรหาน้อง ว่าจะให้น้องเช็คกับ Appในมือถือน้องให้ ก็พอดีสายรถมาพอดี

ออกจะตื่นเต้นนิดนึง เพราะเป็นครั้งแรกที่นั่งรถเมล์เองโดยไม่มีน้องอยู่ด้วย แถมเราไม่เคยนั่งมาทางนี้ด้วย นั่งดูวิวไปตลอดทาง กลัวเผลอเลยจุดสังเกตแล้วจะลงไม่ทัน

นั่งไปพักใหญ่ๆก็เห็นจุดสังเกตเราแระ กะว่าเอาหละมาถึงตรงนี้ กดตรงนี้มันคงไปจอดป้ายถัดไป ที่ไหนได้ เห้ยยยยยยยยย ป้ายถัดไปอยู่ข้างหน้านี่เอง -*- ฮ่วย กดเร็วไปอะ

เลยต้องลงเดินฝ่าลมหนาว กระซิกๆ มืดก็มืด หนาวก็หนาว หน้ากลัวชะมัด T^T เดินสั่นไปตลอดทาง
พอถึงที่พักนี่สวรรค์มากกกกกกกกกกกก อาบน้ำนอนนนนน >

ปล.สำหรับมือใหม่แบบเรา บัตร รถเมล์กับรถไฟที่นี้ใช้ร่วมกัน ซื้อมาแล้วขึ้นได้ทั้งรถไฟและรถเมล์ ราคาเท่ากันด้วย ตั๋วซื้อได้ที่สถานีรถไฟ เติมเงินเข้าไปได้เรื่อยๆ มีตัววัน 7 วัน เดือน

ตอนนี้เราใช้ตั๋ววันอยู่จะขึ้นก็เติมเงิน ถ้าเงินหมด ตอนจะขึ้นรถเมล์สามารถหยอดเหรียญ หรือจ่ายแบ๊งค์บนรถได้(แต่ไม่มีทอนนะต้องเตรียมมาพอดี) เวลาใช้ตั๋วมันจะมีขึ้นบอกเราด้วยว่าตังค์เหลือเท่าไหร่

LinDiary@Khon Thai Association of America


*** สรุปว่าคุยกับ เจ้าของร้านแล้ว หลังจากทำงาน 2 วัน วันต่อไปเค้าจะขึ้นเงินให้ แล้วถ้าเราทำงานจนทำได้เท่าคนอื่นโดยไม่ต้องมีคนสอนเค้าก็จะแบ่งทิปให้

ตอบกลับความเห็นที่ 34
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 35
ยังมีใครตามอ่านในนี้อยู่มั๊ยเอ่ย
ถ้าไม่มีจาไปลงในเฟซที่เดียวแล้วค่า ><


ตอบกลับความเห็นที่ 35
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 36
ยังตามอ่านอยู่ค่ะ. อ่านแล้วเพลินดี. ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 36
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 37
10/8/12


วันนี้ตื่นสายโด่ง เพราะนาฬิกาไม่ปลุก แต่ตื่นเพราะเสียงลม แรงมากกกกกกกกกกก ประตูห้องนี่สั่นดังตึงๆๆ เพราะลมมันดูดกัน เนื่องจากเราไม่ได้ปิดหน้าต่างตรงห้องรับแขก

เสียงลมที่หน้าต่างวันนี้ยังกับมีใครมาดูดฝุ่นอยู่ข้างๆ ลมแรงมากๆ

วันนี้ ไม่ได้ออกไปไหนเลย เพราะตั้งใจจะนั่งเขียนไดกับซักผ้า

ตั้งแต่มาอเมริกาผ้ายังไม่ได้ซักเลย เพราะซักไม่เป็น อ่านในเน็ตเห็นเค้าพูดกันว่าอบผ้าแล้วผ้าหด เราก็เสียวๆ เลยรอน้องมาสอน พอดีน้องจะซักผ้าเหมือนกัน เลยพากันหอบผ้าไปซัก

เครื่องซักผ้าที่นี่ไม่มีช่องให้ใส่ผงซักฟอกแบบบ้านเรา มันต้องเทผงซักฟอกใส่เครื่องลงไปเลย เพราะงั้นเราจึงไม่ใช้แบบผง ใช้แบบน้ำแทน - -* เอาเป็นว่าจะเรียกน้ำยาซักผ้าแทนผงนะ เพราะมันเป็นน้ำ อิอิ


อย่างแรกก็ต้องแลกเหรียญก่อน เรายัดแบงค์ 1 ดอลในเครื่องแลกเหรียญ มันก็จะเอาเหรียญให้เรา 4 เหรียญ คือเหรียญละ 25 เซ็น ค่าซักผ้า 1.5 ดอล

เราก็เอาเหรียญยัดลงไปในรางใส่เหรียญเตรียมไว้ (จริงๆจะยัดตอนไหนก็ได้) เทน้ำยาซักผ้าลงไป เอาเสื้อผ้าใส่เข้าไป ตั้งโปรแกรมซักผ้า ดันรางใส่เหรียญเข้าไปแล้วดึงออก เครื่องซักผ้าก็จะทำงาน

เราก็รอปายย 35 นาที เราขึ้นมานั่งเล่นบนห้อง ได้เวลาก็ไปเอาผ้าใส่เครื่องอบ น้องเอาแผ่นอะไรซักอย่างไว้ให้ยัดใส่เครื่องด้วย บอกว่าจะกันไฟฟ้าสถิตในเครื่องอบ แล้วก็ทำให้ผ้าไม่ค่อยยับ เราก็ยัดลงไป

ใส่เหรียญอีก 1.5 ดอล ตั้งค่าไว้ที่ normal ดันเหรียญลงไป กดปุ่มสตาร์ท เครื่องก็เริ่มทำงาน 45 นาทีเราก็กลับมาเอาผ้า

ผ้าฟู อุ่นๆแห้งๆ หอมๆ ให้ความรู้สึกดีพอๆกะตากแดดเลยแหะ ออ แต่มีบางอันเราใส่ถุงแยกผ้าไว้ตอนซักผ้า อันนี้บางตัวไม่แห้งอะ เวลาอบคงต้องเอาออกมาจากถุง

ปล.ยังไม่เห็นมีตัวไหนหดนะ เออ มีตัวนึงที่เราไม่ได้ใส่เครื่องอบ นั่นคือกางเกงที่ซื้อใหม่ที่เมกานี่แหละกะว่าจะใส่ทำงาน เพราะเรามีกางเกงสีดำตัวเดียว มันมีเครื่องหมายว่าไม่ให้ยัดใส่เครื่องอบเราเลยไม่กล้ายัด ได้เอามาตากต่อบนห้อง - -*

ปล2.เพื่อความประหยัด รอผ้าเยอะๆค่อยหอบไปซัก เพราะถังมันใส่ได้เยอะและค่าซักเราว่าแพง


LinDairy@Khon Thai Association of America

ตอบกลับความเห็นที่ 37
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 38
ซื้อของเข้าบ้าน

11/8/12


วันนี้ตั้งใจว่าจะซื้อราวตากผ้าให้ได้ (ราวตากผ้าแบบไว้ในห้องนอน ตากผ้าหนู กกน. อะไรพวกนี้) เนื่องจากคราวก่อน ไปซักผ้า ผ้าที่อบไม่ได้เราต้องเอามาตากพาดกับกระเป๋า อนาถจริงๆ -*- แล้วมันไม่ค่อยสะดวกเวลาไม่มีราดตากผ้า กางเกงใส่แล้วอยากหาที่ฟาดก็ไม่รู้จะพาดตรงไหน ที่แขวนชุดชั้นใน ถุงเท้า ซักแล้วต้องไปห้อยที่ราวประตู น่าเกลียดเจงๆ


นั่งเช็คราคาในเน็ตแต่เช้า โอ๊ววว มีแต่แพงๆ ดูไปน้ำตาไหล นึกถึงราวตากผ้าที่บ้าน - -* (เวอร์มะ 555) ไหนๆก็ไหนๆแระ เรากะจะไปซื้อแผ่นรองส้นเท้าพอดี เราก็เลยกะว่าเดี๋ยวไปดูที่ห้างเลยละกัน


รอบนี้กะว่าจะเดินไปสำรวจเส้นทางรถเมล์ไปในตัวด้วย ห้างอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่เดินไหว เดินไปเรื่อยๆ เจอ ห้าง Jewel-Osco (อารมณ์แบบซุปเปอร์ขนาดใหญ่) มันคือห้างที่เรามาซื้อไม้ถูพื้นคราวก่อน มาใหม่ๆจะเรียกห้างจัสโก ทุกที - - แบบว่าจำชื่อมันไม่ได้ ) เราก็แวะดูราคาซักหน่อยไหนๆก็ทางผ่าน (เป้าหมายจริงๆคือ Target อยู่เลยห้างนี้ไปหน่อย)


ไปเช็คราคาของแล้วก็จดๆไว้ กะว่าถ้าที่ Taget แพงกว่าจะกลับมาซื้อที่นี่(แอบงก แหะๆ) ไปถึง Target ก็เดินเลือกๆของ จากที่ว่าจะซื้อแผ่นรองส้นเท้า กับ ราวตากผ้า เราได้อย่างอื่นมาเต็มเลย - -*


สรุปได้แผ่นรองส้นมา กับรองด้านหน้า อย่างละ 5 ดอลแนะ >< (ถูกสุดเท่าที่หาได้แระ) ถุงใส่ผ้าเอาไว้หอบไปปซัก ตอนนี้ใส่ถุงขยะ อนาถมาก -..- (ถุงขยะที่นี่มันสีขาวๆอะมีหูรูดด้วย) ตอนแรกจะซื้ออันที่มันราคา 1 เหรียญกว่าๆมา แต่กลัวมันไม่ทน อารมณ์มันเหมือนถุงแยกผ้าใส่ในเครื่องซักผ้าอะเป็นตาข่ายๆ เลยซื้อแบบ 2.99 เหรียญมา ผ้ามันเป็นแบบทึบดูดีกว่าหน่อย


ตอนเราเห็นราคาเรากรี๊ดมากนะ เพราะเจอแต่แบบแพงๆ 555 6 ดอล+ แบบดีๆหน่อยก็เป็นตะกร้ามาเลย


แล้วก็ซื้อพวกชั้นเก็บของที่เป็นผ้าแบบแขวนกับราวแขวนผ้า (ที่เมการู้สึกจะนิยมใช้กัน) ทีแรกดูในเว็บเห็นแต่แพงๆ 12 ดอล + ไปดูที่ Target มันมีแบบ 6 ชั้น 6 ดอลเอง เลยหยิบมาด้วย (แบบแพงๆก็มี คือผ้ามันดีกว่าหนากว่าอะแหละ แต่เราเน้นถูก แหะๆ) แล้วก็ซื้อราวตากผ้ามา 11 ดอล (ถูกสุดเท่าที่หาได้) พอจะจ่ายเงิน เจอชั้นแบ่งของแบบผ้า ของจีนอยู่ข้างล่าง 4 ชั้น 2.5 ดอลเลยสอยมาด้วยแหะๆ


ระหว่างเลือกดูของหลายอยาก เดินเข้าไปโซนขายของสำหรับสัตว์เลี้ยง แอบน้ำตาซึม คิดถึงเจ้า 2 ตัวที่อยู่เมืองไทยมาก (ทุกวันนี้เดินออกนอกบ้านเห็นคนจูงหมาามาเดินเล่นเต็มไปหมด จะพยายามๆพามาอยู่ด้วยให้ได้ T^T)


สรุปจ่ายไป + ภาษี 9.5% หมดไป49.9 ดอล - -*


หอบของทั้งหมดเดินกลับมาบ้าน ดีที่ราวตากผ้ามันพับแล้วไม่ใหญ่มาก น้ำหนักไม่เยอะ เลยหอบกลับมาได้


กลับมาบ้านก็เจอเอ๋กับอ๋องที่บ้าน ก็ทำกับข้าวกินกัน จากนั้นก็ไปเดินเล่นกันแถวเกย์ทาวน์ บรรดา ชายรักชาย เพียบ เดินกันควักไขว่เลยทีเดียว (พอดีกะจะไปซื้อหอยมาทำกินกัน แต่ว่าไปถึงซุปเปอร์มีแต่ตัวเล็กๆ เลยไม่ได้ซื้อ) เดินกลับมาบ้านขาลากเลย ปวดขามากกกก เพราะมันไกลพอสมควร


ปล. จริงๆเขียนไว้เยอะพอสมควรนะ จำได้ว่าเซฟแล้ว แต่มาดูอีกทีมันเหลือแค่ครึ่งเดียวอะ T^T เอาแค่นี้ละกัน


ตอบกลับความเห็นที่ 38
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 39
ถ้ายังมีคนอ่านอยู่เขียนบอกกันซักนิดน๊า จะได้ยังรู้ว่ามีคนอ่าน ><


ตอบกลับความเห็นที่ 39
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 40
อ่านอยู่ค่ะ สนุกมาก อยากไปอยู่บ้างไรบ้าง ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 40
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 41
อ่านอยู่ครับ วันละนิด 555


ตอบกลับความเห็นที่ 41
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 42
ลงชื่อรอค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 42
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 43
ยังติดตามผลงานอยู่นะคะ น้องเล่าเรื่องได้สนุกมาก
เข้ามาดูอยุ่ตลอดเลยว่าวันนี้จะเล่าเรื่องอะไร (เหมือนติดละคร ยังไงยังงั้น)


ตอบกลับความเห็นที่ 43
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 44
ดีใจยังมีคนอ่าน ขอเคลียร์งานอีกซักหน่อยเดี๋ยวเอามาลงต่อ ><


ตอบกลับความเห็นที่ 44
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 45
LinDiary : ไปที่เรียนเองวันแรก

13/8/12


วันนี้ต้องไปเรียนวันแรก ตื่นเต้นมาก เพราะต้องไปคนเดียว เตรียมตัวให้น้องเขียนให้ดูว่าไปแล้วต้องถามเค้าว่าไงบ้าง ต้องออกไปถึงโน้นตอน 9 โมงครึ่ง เพื่อไปเตรียมตัวสอบก่อนเช็คดูว่าเราจะได้เรียนที่ระดับไหน


วันนี้ฝนตกแต่เช้าเลย ยืมร่มน้องไปเรียน อากาศค่อนข้างเย็นเลยทีเดียว(เรียกว่าหนาวจะดีกว่า) เราใส่เสื้อแขนยาว 2ชั้นไป กับกางเกงยีนส์ขายาว


เดินไปไม่ไกล แค่ครึ่งล๊อคก็ถึงป้ายรถบัส (ที่พักมันอยู่กลางล๊อค) นั่งรอซักพักรถก็มา ขึ้นรถก็นั่งมองหน้าต่างตลอดทาง (กลัวเลยป้าย) คราวก่อนจดไว้แล้ว หลังคาแดงๆ (555 ไม่ใช่ ละครที่พี่เบิร์ดเคยแสดงน๊า เออ ใครรู้จักนี่ท่าทางจะบ่งบอกอายุ ไม่น่าพลาดเลยเรา) หลังคาสีแดงอันใหญ่ๆหน้าห้าง เป็นสัญลักษณ์ว่าให้ลงป้ายนี้ (แบบว่าเห็นปุ๊บกดลงเลย) แล้วเดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอที่เรียนแล้ว พอเราเห็นหลังคาสีแดงๆ เราก็รีบกดลงป้ายนี้เลย


เดินเข้าไปในตึกก็เจอคนที่มาเรียนวันแรกเยอะแยะเลย ไปติดต่อหน้าเค้าเตอร์เค้าก็ให้เรากรอกข้อมูล แล้วก็นั่งรอเรียกเข้าห้อง


เข้ามาแล้ว เค้าก็เปิดดูเอกสารเราเค้าเห็นเราจ่ายตังค์อะไรเรียบร้อยก็ไม่ถามอะไรมากให้เราไปนั่งรอสอบเลย


วันนี้ดูๆแล้วมีคนซักประมาณ เกือบๆ 30 คนที่มารอบเดียวกับเรา ก่อนสอบก็มีเจ้าหน้าที่มาอธิบายเรื่องต่างๆ กฏระเบียบอะไรเยอะแยะ ฟังออกมั่งไม่ออกมั่ง


พอนั่งสอบ มีข้อสอบฟัง แกรมม่า เราก็ทำๆไปแบบไม่คิดมาก เพราะมันแค่เอาไว้แบ่งระดับเรา ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ะได้กลับไปเรียนให้มันได้


สอบเสร็จ ส่งข้อสอบ เค้าก็เรียกไปถ่ายรูปติดบัตร กันในห้องสอบหนะแหละ จากนั้น ก็ได้เวลาเที่ยงพอดี เค้าก็พาไปหาที่กินข้าว ซึ่งคือห้างใกล้ๆ เราเดินดูอยู่หลายร้าน ก็ยีังซื้อไม่ลง รู้สึกในใจว่ารู้งี้หอบขนมปังที่บ้านมาด้วยก็ดี


อย่างแรกคือเราไม่ชอบอาหารฝรั่ง อย่างที่ 2 คือ มันแพง(สำหรับเรา 5 ดอล+) งานก็ยังไม่ลงตัวไม่กล้าใช้เงินเยอะ ถึงตอนนี้จะยังมีเงินสำรองสำหรับใช้ชีวิตที่นี้ไปได้อีก 4-5 เดือน(แบบประหยัดๆสุดๆ) ก็เหอะ


สรุปเราเดินเข้าร้านแบบซื้อกลับบ้าน มีแซนวิชไข่+แฮมราคาถูกแค่ 2 ดอลกว่าๆ เราเลยเดินเข้าที่นี้ สั่งแซนวิสเสร็จก็เดินกลับไปนั่งกินที่เรียน (เราหอบน้ำใส่กระติกไปกินที่เรียนด้วยนะ ใส่น้ำเยอะไปหน่อยหนักโคตร - -)


นั่งกินข้าวเสร็จ ก็มานั่งรอ เค้าเรียกสัมภาษณ์ช่วงบ่าย ในห้องนี้เปิดแอร์ด้วยซึ่งหนาวมากกกกกกกกก แอร์จะเย็นไปไหนไม่รู้ นั่งซักพัก ก็มีสาวญี่ปุ่นกับเกาหลีเดินมา มานั่งเบียดกะเรา (เรียกกว่าเบียดเลยนะ โซฟาสำหรับนั่ง 2 คน มานั่ง 3 คน) 2 คนนี้หน้าตาน่ารักเลยหละ มานั่งกับเราแล้วก็ชวนเราคุย เห้ย คุยกันรู้เรื่องด้วย 555 (ถึงจะรู้เรื่องแบบงงๆกระท่อนกระแท่นก็เหอะ >


นั่งรอซักพักก็ได้เวลาเรียกเข้าห้องสัมภาษณ์ (ระหว่างรออยากบอกว่าหนาวมาก - -*) อ.ก็ถามชื่ออะไรมาจากที่ไหน กะว่าเรียนเสร็จจะไปทำไร ได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างไรงี้แหละ


แล้วเค้าก็บอกว่าตารางเรียนจะส่งไปหาเราเย็นนี้ว่าเราจะได้เรียนเช้ารึบ่าย ที่นี่ (Intrack) เลือกตารางเรียนเองไม่ได้อะ เค้าจะจัดให้ตามคะแนนสอบเรา เพื่อเลือกห้องที่เหมาะกับเราที่สุด (เรานึกในใจได้ภาคบ่ายนี่ซวยเลย เรียน บ่าย 2-6โมงเย็น ช่วงเวลานี้เราจะทำงานไม่ได้เลย)


สัมภาษณ์เสร็จก็กลับบ้าน ขึ้นรถสายเดิมที่ตัวเองมา โดยเดินไปถนนตรงข้ามกะที่ลง (ฝนยังตกๆอยู่นะ) รอรถอยู่นานก็เอ๊ ทำไมมันไมมาซักที เลยลองกดดู App สายรถเมล์ที่ลงในโทรศัพท์ไว้ ง่า... รถสายเดิมมันไม่ผ่านข้างนี้ แล้วมันไปผ่านตรงไหนละเนีี๊ยขากลับอะ


งงอยู่นานเลยโทรถามน้อง น้องบอกให้ไปขึ้นด้านหลังโรงเรียนอีก 2 ล๊อค -..- อืม เราก็เดินไป เห็นรถก็ขึ้นรถ ซักพักรถมันก็ขับกลับมา แถวๆที่ รร.เรา โดยมันไปจอดหน้าห้างที่เรากินข้าว แค่เพียงเราข้ามถนนมาข้างๆแค่นั้นเอง -*- (แล้วตรูเดินไปไกลๆตั้ง 3 ล๊อคทำไมนิ ฮ่วยยยยยย)


นั่งรถไปก็มองข้างทางไป เหมือนเดิม กลัวลงรถไม่ถูกป้าย รถก็ขัับไปตามทางเรื่อยๆ แต่!


อยู่ๆมันก็เอามาทิ้งไว้ถนนเลียบ Lake แล้วบอกว่าสุดสายมันจะกลับเข้าอู่.................


ตอบกลับความเห็นที่ 45
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 46
แล้วที่นี่มันที่ไหนห๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา แง๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


น้ำตาจะไหล รถสายอื่นผ่านไปเลยไม่มีแวะป้ายนี้ ที่แวะก็ไม่ใช่รถไปบ้าน เปิดดู app อีกรอบ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด เหมือนรถทุกคันของสาย 145 (ที่เรานั่งกลับบ้าน) จะมีเครื่องหมายประมาณว่าสุดสายที่นี่ ทั้งนั้น แล้วช้านจากลับบ้านยางงายยยยย


TEXT ไปหาน้อง น้องก็ไม่ตอบไม่ไรกลับมา โทรไปก็ไม่รับสาย กระซิกๆ


เอาใหม่คราวนี้เปิดดู App แผนที่ว่าเราอยู่ส่วนไหนของโลก (เวอร์ไปมั๊ย อิอิ) ดูๆแล้ว เออ ไกลจากบ้นพอสมควร แต่ก็รู้ว่าตรงไปเรื่อยๆจะเจอบ้าน เอาหละ เลยคิดว่าจะตัดสินใจเดิน (ออกมาจากที่เรียนประมาณบ่าย 3 ณ ตอนนั้นประมาณเกือบ 5 โมงเย็น) ฝนตกพรำๆ ดีที่เรามีร่ม


เดินๆไป กะว่าถ้าเจอรถบัส จะขึ้นรถบัสกลับบ้าน (รถมันวิ่งตรงไปเรื่อยๆอยู่แล้ว) เจอป้ายรถบัสนะ แต่...ไม่เจอรถมาซักคัน กดดู App ช่างว่างเปล่า เหมือนเวลานี้รถมันไม่วิ่งกันยังไงพิกล เลยตัดสินใจเดินต่อ


เดินไปเรื่อยๆก็เจอโซนเกย์ทาวที่เราไปมะวาน เริ่มใจชื้น เดินไปเดินมาก็เริ่มมึนๆงงๆ แอ๊ ชั้นมาถูกทางป่าวน๊า เพื่อความชัวร์เช็คแผนที่อีกทีว่าใกล้ถึงยัง


กำลังเช็คแผนที่น้องก็โทรเข้ามาถามว่าเราอยู่ไหน แต่คุยกับน้องไม่ค่อยรู้เรื่องกัน เลยสรุป ว่าดูแผนที่แล้วใช้ App นำทาง แล้วก็กลับมาถึงบ้านจนได้ - -*


ถึงบ้าน 6 โมงเย็น -..- กว่าจะถึง


ขอบอกว่า อินเตอร์เน็ตในมือถือมีประโยชน์จริงๆเวลาหลงทาง T^T


ขณะกำลังจะขึ้นลิฟท์ กลับห้อง ก็มีเมล์แจ้งจากที่เรียนว่าเราได้เรียนช่วงบ่าย ฮือเศร้าาาาาาาาาาแล้วเราจะทำมาหากินไรเนี๊ย งานที่ทำบ่ายวัน พฤหัสก็เลยทำไม่ได้เลย T^T กลายเป็นว่าทำได้แค่ วันอาทิตย์วันเดียว


ตอนกกลางคืนนอนไม่หลับเลยคิดแต่เรื่องงาน สรุปว่าเราคงจะต้องฝึกภาษษอังกฤษให้เก่งๆ ถ้าสอบเลื่อนชั้นได้คงได้ไปเรียนช่วงเช้า แล้วงานก็คงจะหาง่ายขึ้น

LinDiary @ Khon Thai Association of America

ตอบกลับความเห็นที่ 46
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 47
ตะกี้โพสผิดสีซะงั้นเบลอจัด

พอดีช่วงนี้ต้องทำไรหลายอย่างเเลย เลยไม่มีเวลามานั่งย่อรูปลงอะ จริงๆไดก็เขียนคร่าวๆทิ้งไว้ หลายวันแล้ว แต่ยังไม่มีเวลามานั่งเช็คกับ ลงรูปเลยไม่ได้โพสซักที

รูปประกอบดูที่นี่นะคะ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.480896228597003.117137.417901371563156&type=1

ตอนนี้อัพเดทเท่าในเฟสแล้วอยากเขียนไดต่อมากแต่ต้องไปทำการบ้านก่อนแล้ว

ตอบกลับความเห็นที่ 47
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 48
ตกไปไหนแล้วไม่รู้

ตอบกลับความเห็นที่ 48