ไดอารี่.....เรื่องเล่าจากประเทศอเมริกา.....ของไอ้แก่น้อย

สวัสดีครับ พี่น้อง นำเสนอตัวเองนิดนึง ผมเดินทางมาเรียนภาษาต่อที่บอสตันระยะเวลา 6 เดือน แต่ได้วีซ่ามา 1 ปี จนวันนี้เวลาผ่านมาแค่ 20 วันที่ออกมาจากเมืองไทย ก็พบเจออะไรด้วยตัวเองมาพอบ้างผมจึงอยากแลกเปลี่ยนเรื่องสนุกๆเผื่อเป็นมุมมองชีวิตและจากนี้ผมจะขอเล่าเรื่องของตัวเองผ่านเป็นไดอารี่ฉบับย่อๆและขำขันนะครับ

(ในเรื่องประวัติส่วนตัวจะค่อยๆทยอยปล่อยออกมาในเรื่องนะครับ)

เรื่องสั้นจากประสบการณ์ส่วนตัว จะขอเล่าเฉพาะเหตุการณ์ที่น่าสนใจเป็นลำดับไป

เริ่มต้นที่ช่วงก่อนเดินทาง ตอนจองตั๋วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าเราเดินทางไปไหนมาไหนก็บ่อย (ต้องทำงานไปกลับฮ่องกงเดือนละครั้ง) ฉะนั้นเวลาที่คาดการณ์ไว้ก็ไม่ได้คิดถึงสักเท่าไร เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า
ณ สนามบินแห่งสยามประเทศ ในคืนวันที่จะต้องร่ำลาพ่อแม่พี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย แฟนเพลงทั้งหลาย มาส่งกันร่วม 30 ชีวิต (ทำหยั่งกะตรูไม่เคยไปต่างประเทศปานนั้น...) เอาเข้าจริงก็ซึ้งน้ำตาไหลเหมือนกัน จนถึงทุกวันนี้ผ่านมา 20 วันก็ยังรู้สึกสำนึกอยากจะขอบคุณน้ำใจที่สละเวลามาส่งและอวยพรให้กระผม T___T

เข้าเรื่อง...เริ่มออกจากดินแดนสยามประเทศเวลา 21.30 น. เปลี่ยนเครื่องครั้งแรกที่ญี่ปุ่น เครื่องเพิ่งแตะพื้นที่นาริตะ ขณะนั้นเวลา 6.00 น. ในใจคิดชิกหายแล้ว เครื่องรอบต่อไปของตรูมัน 6.50 น. เวลาประตูเครื่องเปิดคือ 6.20 น. งานงอกละกรู วิ่งไปจะทันไม๊เนี่ยยย

......ที่โชคดีคือมีน้องสาวพี่สะใภ้มีอาชีพหลักเป็นนางฟ้าแห่งสายการบินญี่ปุ่น ฝากฝังในฐานะน้องชายไว้กับเพื่อนนางฟ้าด้วยกัน..คอยดูแลเบิกทางสว่างให้..ประกอบกับการจัดการเรื่องเส้นทางในสนามบินที่ดี (มากๆ) ของประเทศญี่ปุ่นมาถึงสะพานเครื่องก็เวลา 6.30 น.พอดีๆพร้อมกับคนไทยอีกสองคน (แต่ก็ไม่มีเวลาได้คุยกันสักเท่าไร)

....ต่อที่สองจากญี่ปุ่นไปยังนิวยอร์คเพื่อต่อเครื่องไปบอสตัน นับเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดกับระยะเวลา 12 ชั่วโมงที่นอนไม่ค่อยจะหลับ....(ตรูหลับรอบแรกมาสะเต็มที่เลย)...เราข้ามเรื่องทรมานไปมาถึงที่นิวยอร์คเลยดีกว่า....ลงมาปุ๊ป...เท่าที่หาข้อมูลมา เห็นว่า ตม.ที่นี่นั้นแสนจะโหด ทั้งเรื่องแถวยาวและความดุหยั่งกะ....พอมาเห็นแถวแล้ว ไม่ได้ผิดจากคำโม้ๆไว้เลย...แม่เจ้าาา แถวประมาณว่าเอาคนมายืนแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งคงได้รอบสนามฟุตบอลพอดี

...และอีกตามเคย มีเวลาให้การทำทุกสิ่งอย่างก่อนจะเปลี่ยนเครื่องมีประมาณ 2 ชั่วโมง (เท่านั้นนนน) ตรูเห็นแถวแล้ว ตกเครื่องชัวร์ ต่อแถวไปได้สัก 15 นาที นางฟ้าแห่งอเมริกาก็บัลดาลส่งผู้หญิงผิวสีตัวท้วมๆ(มากกก) มาถาม...ใครจะต้องไปเมืองนู้นนั่นนี้บ้าง กรุณาตามมาทางนี้...ฮ่าาๆ รอดไปตรู แต่ถึงแถวของผมจะมีแค่ 3 คนก็มิวายใช้เวลาประมาณสิบนาทีกว่าจะผ่านมาได้
...หลังผ่าน ตม. ก็เห็นประตูแห่งอิสระภาพอยู่ข้างหน้า (ประตูสนามบิน) แต่...เราต้องเปลี่ยนไปบอสตันต่อฉะนั่นฝากไว้ก่อนนะนิวยอร์ค...ผมก็หันหัว (ตัวเอง) กลับเข้าสู่ประตูผ่านแดนอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเครื่องสู่บอสตันนนนน (ระหว่างนี้ไม่ได้เดินแบบชมวิวหรอกนะครับ แค่ไอ่กระเป๋ารวม 3 ใบ ห้าสิบกว่ากิโลก็ไม่ชิวแล้ว ไหนยังต้องวิ่งไปเปลี่ยนเครื่องในเวลาไม่ถึง ชม.อีก).....

....ทันทีที่ลงสนามบินนานาชาติโลแกนของเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเสส...สาบาน ผมไม่ได้หาข้อมูลของเมืองนี้มาเลยแม้แต่น้อย.. ลงแล้วจะไปไหนอย่างไร ยังไง ผมได้แต่หวังพึ่งญาติซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เป็นซิติ้เซนสหรัฐไปแล้วมารับและไปส่งยังบ้านพักที่จองไว้....

ขอข้ามรายละช่วงนี้ไปก่อน เอาเป็นว่าอากาศที่คาดไว้ว่าจะเย็นกว่าเมืองไทยละก็ คิดผิดถนัด เท่าที่จำได้ 32 องศา ขณะที่กรุงเทพ 30 องศา...คนที่นี่เค้าเรียกว่า...ช่วงร้อนที่สุดของปี...เออดี...ตรูนี่โชคดีตลอดสิหน่า....

(ตอนต่อไป จะเป็นช่วงเข้าสู่บอสตันนะครับ ขอเช็คเรตติ้งก่อน ถ้าไม่ค่อยโดนอาจจะพิจารณาตัวเองหน่อย 555 @___@ )

ความคิดเห็นที่ 1
มารอจ้า


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
โพสตอนนี้ คนส่วนใหญ่เป็นเวลาค่ำมึด ใครจะอยู่รอให้เชคเรตติ้งคะ ^^

ว่าแล้วไปนอนล่ะค่ะ พรุ่งนี้มีเรียน มีงานรออยู่


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
อยู่ กทม จ้า รออ่านอยู่นะ ชอบๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
รอตามตอนต่อไปค่าาาาา


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ว้า จะไปนอนเหมือนกัน ตี 3.29 am ฟังบทสวดธรรมจักรฉบับอินเดียได้ 49 เที่ยวพอดี จริงๆสวดโดยคนเนอธิร์แลนด็ Hein Braat
ik9iul;ulfbN 8iy[


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
มารอฟังคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ตื่นมารออ่านแล้วค่ะ แล้วคุณเจ้าของกระทู้ล่ะ ตื่นหรือยังค่ะ อิอิ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
กลับมาต่อครับ ตื่นมาตี 5 มาเช็คเรทติ้งแล้วนอนไม่หลับต่อเขียนต่อ คาใจ 555+

ก่อนจะเข้าสู่บอสตันย้อนกลับมาที่ประวัติตัวเองสักนิดนะครับ

โดยส่วนตัวการข้ามมาครึ่งโลกมีเป้าหมายคือการมาเอาภาษาอังกฤษ (กะเอาแบบให้อินเซปชั่นเข้าไปในสัญชาตญาณเลยทีเดียว 555) ก่อนมาเมื่อสักสองปีก่อนผมไปสอบโทอิกมาได้คะแนนประมาณ หกร้อยกว่าๆ โดยได้จากช่วงสอบการฟังเกือบเต็ม พกความมั่นใจมาด้วยเต็มที่ แต่ระดับการสื่อสารออกไปนี่และอ่อนจริงๆ เรียบเรียงขึ้นต้นและจบท้ายไม่ได้สักที (เข้าใจว่าน่าจะเป็นกันหลายๆคน อันนี้จะมาลงรายละเอียดช่วงต่อไปว่าเพราะอะไร)

แผนชีวิตก่อนจะมาตั้งเป้าหมายแน่ๆว่าจะกลับก่อนวีซ่าหมด วีซ่าผมหมดเมื่อปลายเดือน พค. ผมเรียน สค-ต้นเดือน กพ....ฉะนั้นผมจะเหลือเวลาอยู่ที่นี้อีกเกือบ 4 เดือนเต็ม ตามแผนที่วางไว้ ตามที่วีซ่าแจ้งไว้ว่าเราสามารถเข้าประเทศได้ก่อนล่วงหน้า 30 วันก่อนเริ่มเรียน ผมก็จัดเกือบจะเต็มเดือน เพื่อมาศึกษา-ปรับตัว-ฝึกงานให้พอเป็นบ้าง ก่อนจะเข้าสู่ช่วงที่ไม่มีเวลานัก

หลังเรียนจบกะว่าเก็บเงินสามเดือน เดือนสุดท้ายแบ็คแพ็คตะลอนเที่ยวจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก

ปริญญาโทละ สนใจหรือเปล่า......แน่นอนถ้ามีเงินเรียนละผมเรียนแน่ แต่อย่างที่รู้กันราคาค่าใบปริญญานั้นแพงเหลือเกิน.....ตั้งแต่แรกส่วนตัวผมคิดว่าจะตั้งต้นขอทุนการศึกษาจากม.ที่ให้โอกาส นศ. ทุนน้อยอย่างผม ผมจบเอกด้านการถ่ายภาพมา...เท่าที่เคยๆหาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย...ทั่วโลกก็หลายมหาวิทยาลัยอยู่ แต่.....ทั้งหมดทั้งมวลต้นเริ่มด้วย...การสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ...แน่นอนตอนนี้เราเริ่มเดินบันไดขั้นแรกละ (พี่ๆน้องๆ ผู้ใดมีทุนของ ม. ไหนแนะนำจักเป็นพระคุณมากๆครับ ^^)

เริ่มต้นชีวิตที่บอสตันละครับ

ตลอดเส้นทางระหว่างนิวยอร์ค-บอสตัน ผมสังเกตุว่าเครื่องบิน บินต่ำมากๆ ปกติ เครื่องจะบินอยู่ 30000 ฟุต แต่เข้าใจว่าระยะไม่ห่างกันมากนัก เราจึงได้เห็นพื้นดินปกติอย่างชัดเจน (เวลาก็ประมาณ 8-9 โมงเช้าครับ)

ซึ่งก็ผิดกับที่จินตนาการไว้พอสมควร ที่เห็นต้นไม้หนาแน่นมากๆ เอาเป็นว่าแค่หลุดพ้นจากเขตเมืองและที่พักอาศัยก็เห็นแต่สีเขียวตลอดทางแล้วอ่ะครับ

ทันทีที่ก้าวลงจากเครื่องบินบรรยากาศสนามบินก็แตกต่างกัน เหมือนๆกะ สุวรรณภูมิและสนามบินเฃียงใหม่ประมาณนั้น.....

หลังจากที่นัดแนะว่าจะมาเจอพี่เอ (นามสมมตินะครับ จริงๆบอสตันเป็นเมืองที่คนไทยเยอะพอสมควร แต่รับรองคงเหมือนหลายๆเมือง ถามไปถามมาสองสามคนก็รู้จักกันแน่ๆ แต่เพื่อการเคารพสิทธิส่วนบุคคลด้วยเหตุฉะนี้จึงขอเป็นนามสมมติทุกคนไป) คือเราก็นัดว่าจะเจอกันแบบไม่นัดสถานที่ที่เจอกันอ่ะครับ.....เอาอีกละตรู ถ้าไม่มีเนตจะเจอกันไม๊ละเนี่ยยย.... แต่ที่ตลกกว่าก็คือ พี่เอเค้ามายืนรอตรงรอรับกระเป๋าเลย....(เฮ้ย....คนนอกมายืนรอเขตรับกระเป๋าของผู้โดยสารได้เลยง่ะ...) สรุปว่าก็เจอกันแบบไม่เสียเวลาเลย

พี่เอเค้าขับรถมารับผมซึ่งแผนแรกจะมาส่งที่บ้านพักที่อยู่นอกเมืองหน่อย ก็ติดตรงที่ว่าเจ้าของบ้าน (พี่คนไทย) จะยังไม่เข้าบ้าน..จนกว่าจะสามทุ่ม...แง่ะ เค้าก็เลยเอากระเป๋าไปทิ้งไว้ที่ร้านอาหารของเค้า (สถานที่ฝึกงานในอนาคต) แล้วอาบน้ำมาดูวิธีการทำงานของเด็กเสริฟที่นี่กัน

...ทำความเข้าใจเด็กเสริฟสะใหม่นะครับ สำหรับคนที่ไม่เคยเห็น อย่าคิดว่าจะง่ายแค่เดินมารับออร์เดอร์-บอกพ่อครัว,แม่ครัว เก็บจานล้างจาน เช็คบิล...อันนั้นง่ายไปครับ ที่ยากกว่าคือการมีวินัยและความรับผิดชอบ ยกตัวอย่างพนักงานเสริฟ 2 คนทั้งร้าน จะไม่มีเงินเดือนเงินที่ได้จะได้จากค่าทิปล้วนๆ ซึ่งบ้างร้านจะนำเงินที่ได้จากทิปทั้งวันมาหารกัน ฉะนั้นถ้าคนนึงอู้-ทำน้อย อีกคนจะลำบากทันที ที่ร้านอาหารไทยที่นี่ ทุกร้านต้องมีระบบ เมืองนี้อยู่ภายใต้ระบบ ระเบียบ กฎหมายชัดเจน ทุกคนสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ว่าอาชีพไหน ก็อย่าได้ดูถูกไป จะเด็กเสริฟหรือนักการเมืองทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายข้อเดียวกัน....คุ้นๆม่ะ 555+

เอาละ ถ้าร้านอาหารกลางที่เป็นที่รู้จักหน่อย ก็อยู่ภายใต้ระบบตั้งแต่ การแต่งกาย มารยาทในโต๊ะอาหาร เข้าไปรับออร์เดอร์ การขออนุญาต ขอเริ่มเป็นข้อๆที่คิดว่าจะเป็นความรู้ไปนะครับ

มารยาทโต๊ะอาหาร เชื่อว่าคนมาใหม่จะไม่รู้ข้อนี้เลย โดยเฉพาะคนเอเชีย (ผมมิได้ดูถูก ดูแคลนนะครับ เป็นวัฒนธรรมที่ต่างกันแค่นั้น) ที่ฝั่งยุโรปหรืออเมริกา...เมื่อเข้าร้านเค้าจะต้องรอ ที่บริเวณจัดให้รอเท่านั้น ไม่ว่าร้านจะไม่มีใครนั่งโต๊ะอยู่เลยก็ตาม จะต้องมีโฮสนำทางเข้าโต๊ะ....โฮสจะมาพร้อมเมนูตามจำนวนแขก เก็บซ้อม-มีดที่เกินไป และเรา...แชกจะไม่มีการยกมือเรียกคนรับออร์เดอร์เด็ดขาด...เค้าใช้วิธีการวางเมนูเมื่อพร้อมแล้ว คนรับออร์เดอร์ (เด็กเสริฟ) จะเข้ามาเองครับ แต่ถ้าสงสัยอะไรก็ใช้วิธีส่งสายตาเอา ไม่ต้องกลัวเค้าไม่มองหรอกครับ ถึงบอกเด็กเสริฟที่นี่มืออาชีพ หลังจากสั่งอาหารแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะไม่ยกมือเรียกใครๆก็ตามเด็ดขาด ใช้ส่งสายตาเท่านั้นจะขอมีด ช้อน ถ้วยโถ โอชาม เก็บจาน เรียกบิล เติมน้ำ เค้าจะรู้ใจแขกครับ (แต่บางกรณียกบ้างก็ได้นะครับ ถ้าร้านคนเยอะๆมาก ไม่งั้นคงไม่ได้กลับบ้านพอดี)

เอาเป็นว่าเท่านี้ก่อนละกันครับ ขอไปนอนเก็บแรงอีกสักงีบ แหะๆๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ลงรูปม่ะได้อ่ะคร่าาบ

ช่วงแนะนำที

T___T



ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
ปูเสื่อขนาด Bigsize พร้อมหมอนและหมอนข้าง รออ่านอยู่ค่ะ ^__^


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
มารออ่านเหมือนกันครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
เข้ามา Check in ไว้ก่อน เดี๋ยวกลับไปอ่านที่บ้านครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
ขอบคุณท่ีติดตามอ่านนะคร่าาบ

คืนนี้กลับไปต่อตอนท่ี 3 คร่าาบ


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
กลับมาทำความรู้จักเมืองบอสตันกันสักนิดก่อนดีกว่าครับ (เอาแบบจากส่วนตัว ไม่มีแหล่งข้อมูลเลยนะครับ ขี้เกียจหาอ้างอิง 555+)

ทั้งนี้ทั้งนั้น กระพ้มเองก็เพิ่งมาอยู่ได้ 3 สัปดาห์ มิใช่กูรูสักเท่าไร อาจจะมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจริงเท็จประการใด ก็ขอให้พี่ๆน้องๆแก้ไขด้วยนะครับ ฮ่าๆๆ

เมืองบอสตันตั้งอยู่ในรัฐแมสซาชูเสส ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของนิวยอร์คขึ้นมาสัก สามร้อยห้าสิบกิโลเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อได้ว่าเมืองแห่งการศึกษามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มหาลัยที่ดังๆที่น่าจะรู้จักก็ Havard, MIT ที่นี่มีแทบทุกสาขาที่อยากจะเรียน พี่เอเค้าบอกว่า ขนาดปริญญาเอกด้านการพับกระดาษยังมีเลย 555+

ซึ่งรัฐแมส (ตามที่เค้าเรียกย่อกัน) อยู่เขตที่เรียกกันว่า New England ความหมายก็คือตรงๆตัวนั่นแหละครับ คือเป็นเขตที่ถูกบุกเบิก (หรือรุกรานผู้อื่น?) เมื่อราวๆ 400 ปีก่อน ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 6 รัฐรวมกัน รายละเอียดก็ตามนี้นะครับ http://en.wikipedia.org/wiki/New_England

ที่เล่าๆมานี่ก็ไม่ได้อยากจะเป็นนักประวัติศาสตร์อะไรมากมายแค่จะบอกที่มาของการประกาศอิสรภาพประเทศอเมริกา ก็เริ่มมาจากเมืองบอสตันนี่ละครับ เช่นว่า จุดแรกๆที่เกิดการก่อปฏิวัติกับประเทศแม่ คือประเทศอังกฤษก็อยู่ไม่ไกลกับที่ผมนั่งพิมพ์อยู่นี่สักเท่าไร เรียกว่าแถวนี้หลุมศพเพียบ 555+ (ประวัติที่มาที่ไปกรุณาพึ่งอากู๋ต่อนะครับ)

กลับมาสู่การใช้ชีวิตความเป็นอยู่ที่เมืองนี้ดีกว่า....เมืองนี้อยู่ง่ายครับ ยิ่งเฉพาะผู้ชายที่ไม่สนใจการแต่งตัวอะไรมากอย่างผม คือ..ช่วงที่มาเป็นช่วงฤดูร้อน..คุณจะใส่เสื้อยืด+กางเกงขาสั้น ลากรองเท้าแตะ, เสื้อกล้ามกระทิงแดง+กางเกงนอนขึ้นรถไฟฟ้าก็ได้ อาจจะมีคนมองนิดนึง แล้วก็ผ่านๆไป เป็นปกติมากๆครับ สำหรับเมืองที่มีแต่วัยมหาลัย ซึ่งเค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับกระเป๋าแบรนด์เนมจากฝรั่งเศสกันสะเลย สาบานได้ ผมอยู่มา 3 สัปดาห์ จะเห็นผู้หญิงคล้องกระเป๋าลุยซี่ ก็มีแต่คนเอเชียเท่านั้นละครับ (อาจจะเห็นคนเมกาคล้องอยู่สักสองคนได้ ฮ่าๆๆ)

ฉะนั้นถ้าคุณจะซื้อกระเป๋าที่ว่ามาอยู่เมืองนี้.....เอาเงินมาจ่ายค่าข้าวดีกว่าครับ ค่ากินอยู่สำคัญกว่าเยอะ (เยอะจริงๆ) เช่นว่าอาหารตามร้านทั่วไปก็อยู่ราวๆสัก 7-10 บาท (คนไทยที่นี้เรียกบาททับศัพท์แทนดอลล่าครับ) ค่าที่พักเอาใกล้ๆรถไฟฟ้าหน่อยต่อเดือนก็สัก 600-800 บาท คูณไปสิครับ กระเป๋าใบนึงอาจจะต่อชีวิตเราได้สักเดือนครึ่งเลยน่ะ

ว่ากันต่อมาถึงเรื่องของการเอาเงินเข้าสู่บัญชีธนาคาร ตั้งกะวันแรกผมก็แลกเงินมากจำนวนหนึ่งซึ่งแลกมาด้วยทำงานที่เมืองไทยร่วมๆ สี่-ห้าปี (เอาเข้าจริงๆ เพิ่งเก็บได้สองปีหลังนี่ละครับ) อย่างที่บอก......เรามาด้วยความมั่นใจเรื่องการฟังของตัวเองอย่างที่สุด....พี่เอถามว่า จะเปิดบัญชีเองไม๊ เค้าจะให้ทำเอง....ผมบอก...สบายใจได้เฮีย...ดูแลตัวเองได้ จากนั้นก็เข้าไปธนาคาร ตอนแรกพี่เอก็เข้าไปเป็นเพื่อนนั่งรอเรียกคิวอยู่นานสองนาน จนพี่เอต้องไปดูแลร้านก่อน รอไม่ได้ให้ผมจัดการธุรกรรมด้วยตัวเอง ก็ถามย้ำอีกรอบว่า..."ได้แน่นะ"..."ชัวร์" หล่อมากกรู......อีกสักพัก...จนท เรียกโอเค เดินไปที่โต๊ะ

จนท .....ไฮ..ฮาว อาร์ ยู....

ผม ...โอเค....ฮาว อาร์ ยู.....

จนท .....open new account?

ผม.....Yeab

จนท !!@£$%^&*()_+| (รู้แต่ว่านี่คือคำอธิบายเท่านั้น)

ผม...........................................โอเก่

ในใจคิด (คะแนนโทอิกกรู แม่ ม ระดับอนุบาลชัดๆ)

คือจะบอกว่าด้วยความว่าเมืองนี้ระดับการศึกษาสูง ฉะนั้นคนทุกคนเวลาสนทนาด้วยเค้าจะเข้าใจว่าเราเป็น นศ. ที่มาเรียนระดับปริญญาแล้ว เค้าจะใส่คำที่แบบว่าคุยคนละภาษากับที่ได้เรียนๆมาเลย

ออกจากธนาคารมา....ทุกอย่างเหมือนถูกรีเซทสมองและความมั่นใจสะใหม่

ไอ่ที่ กูด มอร์นิ่ง ฮาวอาร์ยู

แอม ฟายน์ แต๊งกิ๊วแอนด์ยู

ด้วยความเคารพ กรุณาเดินไปบอก รมต ,ผู้มีอำนาจหรืออาจาร์ยที่เมืองไทยทุกท่านที่สอนประโยคนี้อยู่ กราบเท้าท่านแล้วช่วยบอกทีเถอะ ปีนี้มัน 2012 แล้วกรุณาเปิดอากู๋ (เป็นอย่างน้อย) แล้วเปลี่ยนตำราเรียนซะใหม่ ก่อนจะมีเด็กไทยต้องหอบเงินออกมาให้ชาวต่างชาติอย่างผมอีกนักเลย......

เอ่ออออ.....ขออภัย...มาเข้าเรื่องการเมืองสะงั้น......จะว่าไป ตอนต่อไปว่าถึงเรื่องเด็กไทยที่อยู่ที่นี่กันดีกว่า ขออนุญาตลาไปนอนก่อนครับ (เนียนเลย 5555+)


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
ตามอ่่านครับ น่าสนุกดี


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
จะไปคนเดียวเดือน พย.นี้คะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
มาตอนกันตอนที่ 4 ดีกว่าครับ

เผอิญที่ไม่ค่อยจะต่อเนื่องเพราะต้องไปฝึกงานช่วงวันจันทร์-ศุกร์ที่ผ่านมากว่าจะกลับถึงบ้านก็ต้องเที่ยงคืนทุกวัน วันนี้เอาเรื่องอะไรดีอ่ะครับ......เอาเป็นเรื่องความเป็นอยู่ทั่วไปในบอสตันก่อนละกัน....

ตัวขนาดเมืองบอสตันเองก็ไม่ได้ใหญ่มาก สักประมาณเมืองเชียงใหม่ได้อยู่ วิธีการเดินทางหลักๆที่คนที่นี้ใช่กันก็รถซับเวย์ (รถไฟฟ้า) รถยนต์ส่วนตัว รถบัส จักรยาน

เริ่มจากซับเวย์ ในเมืองบอสตันจะมีประมาณ 5-6 สาย เราจะเรียกว่าซับเวย์หรือ ที ทีเป็นสัญลักษณ์แทนจุดขึ้นลงของสถานี (http://www.mbta.com) จะมีแบ่งหลักๆเป็นสองประเภทคือบัตรเติมเงินและบัตรเหมารายวัน/สัปดาห์/รายเดือน

บัตรเติมเงินที่นี้เรียกว่า Charlescard สามารถขอฟรีได้ตามตู้ จนท เฉพาะสถานีใหญ่ๆ อันนี้เรทอยู่ที่ 2 บาท ต่อเที่ยว จะขึ้นไหนไปต่อที่ไหนหรือลงที่ไหนก็ 2 บาท แต่ถ้ารายสัปดาห์ซื้อได้ที่เครื่องอัตโนมัติ รายวัน 11 บาท นับจากช่วงเวลาที่ซื้อ เช่น 15.45 ก็หมด 15.44 ของอีกวัน / รายสัปดาห์ 7 วัน ราคา 18 บาท นับจากช่วงเวลาที่ซื้อเช่นกัน / รายเดือน 70 บาท นับเป็นรายเดือนเช่นเดือน 1-31 สค / ใบ ส่วนราคานักเรียน/ผู้สูงอายุก็ต่างกันออกไป (นักเรียนนี่เฉพาะไฮสคูลนะครับ นศ/นักเรียนภาษานี่ไม่เกี่ยว)

ฉะนั้นใครจะแวะมาเที่ยวหรือมาอาศัยอันนี้ก็ศึกษากันดูก่อนนะครับ

รถยนต์ที่นี่ถ้ามีเงินก็ซื้อได้ครับ ด้วยความที่ภาษีไม่สูง ราคาจึงไม่สูงเหมือนบ้านเรา ถ้าเทียบรุ่นต่อรุ่นที่นี่ถูกกว่าครับ แต่ค่าจอดรถ/ค่าประกันและค่าจิปาฐะผมว่าก็แพงจนเป็นภาระอยู่ครับ

รถบัส ถ้าเราซื้อบัตรรายเดือนของซับเวย์แล้ว ก็สามารถใช้บริการได้ฟรีตลอดเดือนเช่นกัน แต่ถ้ารายเที่ยวก็ 1.50 บาทครับ

จักรยาน บอสตันเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีการคมนาคมด้วยจักรยานมากติดอันดับของโลก (เท่าที่เคยอ่านหนังสือมา) ฉะนั้นเช่นทางในเมืองจะมีช่องเลนเฉพาะจักรยานอยู่แทบจะตลอดสาย ผมมาที่นี้ประมาณวันที่สามก็จัดการซื้อเรียบร้อยเลยครับ ที่ผมรีบซื้อเพราะช่วงฤดูร้อนยังสามารถปั่นได้อยู่ครับ พอเข้าฤดูหนาวก็ไม่มีใครปั่นแล้ว เนื่องจากหิมะจะเกาะถนนและหนาว..และเป็นความเก็บกดที่เกิดมาอยากปั่นจักรยานเที่ยวมากหลายที่ละ แต่อย่างว่าที่กรุงเทพเราทั้งอุปสรรคด้านการจราจรประมาณ 80 กว่าประเภทของยานพาหนะ มลภาวะ ถนนที่เรียบลื่นไม่มีสะดุด อากาศที่แสนจะเย็นสบาย ก็ทำให้ผมต้องล้มเลิกความคิดไป (เท่าที่จำได้ ใครก็ตามที่ผมรู้จัก ซื้อจักรยานมา ปั่นไม่ได้เกิน หนึ่งเดือนทุกรายไป) ต้องชื่นชมคนที่ปั่นจักรยานไปทำงานทุกๆวันจริงๆ ว่ามีทักษะส่วนตัวสูงมากๆ ฮ่าๆๆ

มีอีกเรื่อง เรื่องลำดับผู้ยิ่งใหญ่บนถนนสาธารณะครับ ถ้าสมมติเราจะข้ามถนนในเมืองไทยเราคือ
รถบรรทุก-รถเมล์-รถตู้-รถยนต์ส่วนตัว-มอเตอร์ไซต์-คนเดินถนน (กว่ากรูจะได้ข้ามก้มหัวแล้วก้มหัวอีก)
ที่นี่ คนเดินถนน-รถจักรยาน-รถยนต์ทุกประเภท มีแค่นี้ละครับ เรียกได้ว่าถ้าข้ามทางที่ไม่มีไฟจราจรบนทางม้าลาย เราเดินหลับตามข้ามได้เลย รถเค้าเบรกให้เราเองละครับต่อให้เป็นอาม่าเดินระดับความเร็ว 1 กม/ชม. ก็ตามเค้าก็ไม่รับไม่ไล่หรอกครับ แต่ถ้าไปข้ามที่เป็นไฟแดงหรือไม่ใช่ทางม้าลายอันนี้นอกจากเราผิด กม. แล้วเราจะเจ็บตัวเอาอีกสะด้วย.....แต่....ที่บอสตันด้วยความวัยรุ่นเยอะ ถ้าถนนโล่ง ไฟแดงไฟเขียวไฟเหลือง ไฟคนข้ามถนนไม่ให้ข้าม คนที่นี่เค้าก็ข้ามหมดละครับ แต่อย่าเอาพฤติกรรมแบบนี้ไปรัฐอื่นเป็นพอ อาจจะโดนจับเอาได้....

มาด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป ทุกอย่างที่นี้ราคาที่ติดตามป้ายคือ "ราคาไม่รวมภาษี" ภาษีแต่ละรัฐก็ไม่เท่ากัน รัฐแมส 6.5% ครับ ไม่ว่าจะค่าอาหาร ซื้อเสื้อผ้า ถ้าจะซื้ออะไรก็คิดราคาเผื่อไว้หน่อยครับ แต่ช่วงวันที่ 11-12 สค นี้รัฐแมสจัดเป็นวัน TAX FREE DAY หมายความว่าเราสามารถชื้ออะไรก็ได้ "ไม่มีภาษี" ราคาไหนราคานั้นเลย เรียกว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วยครับ ปีนึงจะมีแค่สองวันนี้ละครับ บางปีก็ไม่มีด้วยซ้ำ (แต่คิดว่าราคาสินค้าต้องไม่เกิน 5000$ นะครับ)

แต่อย่างราคาค่าภาษี 6.5% อันนี้เป็นของรัฐแมส อย่างรัฐ New Hamshire ที่อยู่เหนือขึ้นไปไม่ไกล เค้าไม่มีภาษีครับ ฉะนั้นคนจากแมสจึงขับรถไปซื้อของใหญ่ๆราคาสูงๆ เพื่อไม่ต้องเสียค่าภาษี ซึ่งบางทีก็เหมือนได้เที่ยวฟรีนั่นละครับ

วันนี้เท่านี้ก่อนละกันนะคร่าาบ

ใครอยากให้เล่าเรื่องอะไรก็ลองถามมา เผื่อว่าผ่านเรื่องนั้นมาแล้วอาจจะพอเล่าได้ ^___^


ตอบกลับความเห็นที่ 17