เพื่อนๆ คิดว่าคนชาติไหนเย็นชาที่สุดในโลกคะ

ตามนั้นเลยค่ะ อยากทราบว่าจากประสบการณ์ต่างแดนของเพื่อนๆ คนชาติไหนที่เย็นชาและเข้าถึงยากที่สุดคะ โดยส่วนตัวเราอยู่ที่สวีเดน แต่ก็พอเจอคนชาติอื่นๆ อย่างเยอรมัน อิตาลี สเปน โปรตุเกตุ โรมาเนีย แล้วก็ชาติอื่นๆ ในเอเชียที่ทำงานร่วมกัน เจอกันเกือบทุกวัน

เรามองว่าคนสวีเดนเป็นอะไรที่เย็นชาและถือตัวมากๆ เลย นานๆครั้งจะเจอคนที่ต่างออกไปคือพูดกับเรามากขึ้น แต่ก็รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี แต่เรื่องความช่วยเหลือถ้าไปขอเขาถึงแม้เค้าจะเก้กโหดตลอดเวลาแต่เขาก็ช่วยดีมากค่ะ เพียงเรายังรู้สึกเป็นเพื่อนกับคนชาตินี้ได้ยากมาก เหมือนมีอะไรกั้นอยู่ตลอด เข้าไม่ถึง

ความคิดเห็นที่ 1
ตามที่คุณบอก ถ้าคุณขอความช่วยเหลือเขาก็จะช่วยดีมาก อย่างนี้ไม่เย็นชาแล้วหละครับ เพียงแต่เขาไม่ต้องการคลุกคลีตีโมงตามที่คุณต้องการเท่านั้น จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งผมถือว่าเป็นธรรมดา

ที่ผมเจอมา ไม่รู้ว่าตรงกับคำที่คุณเรียกว่าเย็นชาหรือเปล่า แต่เข้าวงในคบหาให้เขาไว้เนื้อเชื่อใจ ยากที่สุดน่าจะเป็นญี่ปุ่น แต่ถ้าคบกันนานๆจนเขาไว้ใจแล้วเป็นอันว่าน่าคบที่สุด เกาหลีอยู่ใกล้ญี่ปุ่นก็จริงแต่ไว้ใจได้ยากกว่าญี่ปุ่นมาก คบใครก็คบเถอะผิวสีไม่เกี่ยวนะผมรู้จักคนดำอาฟริกามาเยอะมากคบไม่ได้สักคน


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
1. ผู้คนยุโรปเหนือ...แม้จะอยู่เขตหนาวกว่ายุโรปใต้.......ความจริงเขาก็ไม่ได้เย็นชาอะไรนักหนากับต่างชาติ ( คนของเขาเอง เขาก็ปฎิบัติต่อกันอย่างนี้ ... ไม่รู้จักกันมาก่อน หรือเพิ่งรู้จักกัน ก็ต้องเว้น...ระยะไว้ห่างไว้ก่อน )

เพียงแต่ว่าหากเรา เอาวิถีชีวิตของคนเอเซีย หรือคนบ้านเรา ที่รู้จักกับคนแปลกหน้า ง่ายๆ ..เชื่อใจคนง่าย...เอาเป็นมาตรฐานเข้าไปจับ เข้าไปวัด เมื่อไร ก็เป็นได้เรื่อง..........เราก็ต้องเห็นว่าคนสวีเดน หรือ คนสแกนดิเนเวียน เย็นชา แน่นอน

2. ผู้คนในยุโรป ต่างมีประสบการณ์ในการพบกับคนแปลกหน้า คนต่างถิ่น มาแล้วมากมาย ถึงขนาดมีนิทาน มีคำสอน มีคำตักเตือน มีสุภาษิต....... ในการคบกับคนแปลกหน้า มากมาย

ของไทยเอง ก็มีไม่ใช่หรือ....? ? ? เช่น...........

อย่าคบคนจร อย่านอนหมอนหมิ่น

รู้แต่หน้า ไม่รู้ใจ

อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง

ส่วนของจีน ก็มี.....หนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คน

4. หากเข้าใจทั้งหลายข้างบนนี้ ก็จะเข้าใจลักษณะนิสัยคนสวีเดน หรือยุโรปทั่วไป มากขึ้น.....โดยเฉพาะ

ปัจจุบันมีคนต่างชาติแออัดกันเข้าไปอยู่ในสตอคโฮลม์ อุปซาล่า โยตเต้เบิร์ก( Gothenberg )................ซึ่งได้แก่ ผู้คนอดีตคอมมิวนิสต์จากยุโรปตะวันออก โรมาเนีย บัลแกเรีย รัสเซีย เชค ฯลฯ และก็ คนดำจากหลายๆประเทศ ในแอฟริกา......รวมทั้งแขก....แขก ไม่ว่าแขกอาหรับ แขกปากี ฯ แขกอินเดีย

ต่างพาเหรดกันเข้าไปทำมาหากิน ( งานต่ำ ๆ แบบคนสวีเดนไม่ทำ) ได้เงินส่งเสียมาให้คนที่บ้านในประเทศตน มากมาย มีอยูทั่วไป ไปที่ไหนก็เห็นคนที่ว่าเหล่านี้ พวกเหล่านี้ไม่ใช่นักศึกษา แต่เป็นคนมาหางานทำโดยตรง

และที่สำคัญ ไม่ว่า แขก ไม่ว่ามืดแอฟริกัน ไม่ว่าจากยุโรปตะวันออก..........แทบทุกคนต่างเขี้ยวลากดิน หากิน หาได้ ในประเทศสวีเดน และยุโรปรวยๆ อื่นๆ( หลายคนสารพัดพิษ ) ......แบบ อะไร ๆ ก็เอา.....ขอให้ฉันได้ไว้ก่อน...ฉันไม่สนใจประเพณีวัฒนธรรมของเจ้าของบ้านแต่อย่างใด ฉันจะเอาแต่วัฒนธรรมประเพณีของบ้านฉันที่ฉันคุ้นเคยไปใช้ที่นั่น...ทำให้คนสวีเดนเบื่อ ระอา และดูถูกว่า พวกนี้ uncivilized

อย่างนี้ แล้วจะให้คนสวีเดนคลายความเย็นชากับต่างด้าวเข้าเมือง ได้อย่างไร

5. การคบกับคนสวีเดน หรือคนอังกฤษ หรือคนสแกน ฯ ฯลฯ ....ท่านเจ้าของกระทู้ต้องหันไปดูสุภาษิตจีน...." หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน " ให้ดีๆ

ฝรั่งจำพวกนี้ไม่รีบร้อน ไม่ผลีผลามให้ความสนิทกับคนดอก........ ดูกันไปนานๆ หากเราดีจริง ดีสม่ำเสมอ...ใช้เวลาพิสูจน์นาน ๆ คนสวีเดนเขาก็ต้องการ มิตรที่ดีๆ นะ


แต่การทำดี กับคนฝรั่ง นั้น...จะทำอย่างไรให้ดูดี....นี่เป็นอีกวิชาหนึ่งที่ไม่ยากจะเรียนรู้


แต่ขอแนะนำว่า จะเอาดีๆ แบบไทยๆ ที่คนไทยคิดเองว่าดีแล้วนะ เอาไปใช้ทั้งดุ้น ...ไม่ได้แน่ ( ตัวอย่างเช่น....ยัดเยียดของกินที่เราชอบ เราว่าอร่อย ให้เขากิน โดยไม่ยอมรับว่าเขาก็มีสิทธิเลือก....โดยเราคิดว่าที่ให้นี่ก็เพราะหวังดี นะ หรือ การชอบซอกแซกไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา หรือชอบนินทาคนอื่นให้เขาฟัง ( นี่ของไทยเราชัด ๆ ) ............เป็นต้น

6. ขอแนะนำข้อสุดท้ายว่า สุภาษิตสากลก็มีอยู่ " เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม " ดังนั้น หากเห็นคนสวีเดนชอบอยู่เงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร เราก็สามารถทำอย่างเขาได้ ...จะได้สบายใจในประเทศนี้

ที่สำคัญ การอยู่ประเทศไหนๆ ก็ตาม ต้องให้เกียรติ และเคารพต่อประเพณี และวัฒนธรรมของคนในประเทศนั้นๆ นี่สำคัญมาก ๆ หากเอาประเพณีของเราคนต่างชาติที่อยู่ในประเทศเขา มาเป็นมาตรฐานตัวตั้ง....... ก็จะเป็นเรื่อง........และจะทำให้เขาดูถูกดูหมิ่นในใจได้ว่า เราเป็นคนไม่มีอารยะธรรม

สุภาษิตสากล.......

"เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม"

แต่หากเรามาอยู่ในเมืองไทยของเรา.....แน่นอน ไอ้ฝรั่งทั้งหลาย ต้องทำตัวเคาระประเพณีวัฒนธรรมของไทยเรา


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
ICE LAND


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
จริงๆ ไม่ได้ต้องการจะคลุกคลีตีโมงเลยค่ะ เพราะโดยส่วนตัวแล้วขนาดอยู่เมืองไทยก็ไม่ชอบที่จะชวนใครมาบ้าน หรือไปไหนมาไหนกับเพื่อนตลอดเวลา เพราะมันดูเหมือนผูกติดกันเกินไป

โดยส่วนตัวหลังเลิกงานก็บ้านใครบ้านมัน ไม่มีโทรคุย ไม่มีแชท เจอกันอีกที่วันถัดไป ไม่มีมานั่งซักถามเรื่องที่บ้าน เรื่องส่วนตัว แต่ใครอยากจะเล่าจะพูดอะไรก็เชิญ

ขนาดที่รู้จักสนิทๆ คนเอเชียหลายคน เราก็ไม่คลุกคลีตีโมงค่ะ ทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว เจอกันก็สบายดีไหม คุยเรื่องทั่วไปเฮฮา

เรื่องนินทาซึ่งบอกว่าเป็นธรรมดาของเอเชียนั้น ที่นี่ดีค่ะ คนเอเชียก็ไม่นินทา และเราก็ชอบมาก เพราะการทำงานในองค์กรถ้ามานั่งนินทากันก็จะไม่สนุก และกลายเป็นการแก่งแย่งในที่สุด
----------------------------------------------------------------------

อ่านของ คห ๒ แล้วก็ให้สะอึกไปหลายข้อ เพราะงงว่าในหัวกระทู้เราได้ไปเขียนอะไรให้คุณ คห ๒ เข้าใจอะไรแบบนั้น

เราก็พอทราบว่าทำไมยุโรปถึงได้ดูหมิ่นเอเชีย และเราก็พอทราบอีกว่าฝรั่งไม่สนิทสนมกันแน่นแฟ้นเหมือนเอเชีย เราก็แค่คนทำงานคนนึงขององกรณ์นี้ ไม่ได้อยากไปสนิทสนมกลมเกลียวจนต้องพาตัวเองเข้าไปผูกติดกับฝรั่งเช่นนั้น ซึ่งเราก็ไม่ได้เคยไปทำนิสัยอะไรแบบนั้นอย่างที่ คห ๒ ยกตัวอย่างมา เพียงแค่บรรยากาศในที่ทำงานมันดูอึมครึม เพราะคนสวีดิชค่อนข้างที่จะเก็บตัว ไม่พูดไม่คุย แม้จะเคยรู้จักแนะนำตัวกันไปแล้ว ผ่านไปสองสามวันเจอกันใหม่ เขาก็เงียบไปอีก บางครั้งเรา Hi เขาก็เฉย (ไม่คุยไม่ว่าค่ะ เพราะบางคนคุยไม่เก่ง)

บางครั้งเขาก็มองเวลาคนอื่นคุยกันแต่เขาก็ไม่พูด บางครั้งเขาเข้ามาขอนั่งด้วย อยากคุยอยาก make friend แต่ก็เหมือนเขาไม่กล้าจะพูด เหมือนเขายังมีอะไรกั้นอยู่ทำนองนั้น มันจึงให้ความรู้สึกกั๊กๆ บอกไม่ถูก


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
เรื่องที่จะพยายามไปสนิทสนมกับเขาโดยการยัดเยียดความดีงามของวัฒนธรรมเรา หรืออาหารบ้านเรานั้น ไม่เคยคิดในหัวค่ะ เพราะใครๆ เขาก็คิดว่าของบ้านเขาดีที่สุด (แม้คนสวีดิชจะคลั่งอาหารไทยมากก็ตาม) ฉะนั้นถ้าเขาไม่ถาม หรือถ้าเขาไม่ขอว่ามาทำอาหารที่บ้านฉันนะ เราไม่เคยเสนอตัวค่ะ เพราะมันดูละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของเขามากไป

การคบใครสักคนเพื่อเป็นเพื่อนที่จริงใจ เห็นด้วยค่ะว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เพราะ จขกท เองก็ไม่สุ่มสี่สุ่มห้าคบใครเหมือนกัน แต่ระหว่างรอพิสูจน์ม้าพิสูจน์คนนี่ จะไม่พูดกับใครเลยก็คงจะไม่ได้พิสูจน์ค่ะ ว่าตกลงเขาดีจริงหรือเปล่า

จะว่าไปกับ Prof ที่ทำงานด้วยกันอยู่ตอนนี้ เขาก็ใช้ระยะเวลาพิสูจน์เรามาแล้วว่าเขาจะรับเรามาทำงานที่นี่ไหม แต่ระหว่างที่เขาพิสูจน์เขาก็พูดคุยกับเราปกติค่ะ ไม่ได้ทำหน้ามึน

ไม่แน่ใจว่าเราได้ไขข้อข้องใจไปครบหรือยัง ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ...แค่รู้สึกว่าเค้าเก็บตัว โลกส่วนตัวสูง เข้ากับคนยากเท่านั้นเองค่ะ แต่ไม่ได้มีความพยายามจะไปแงะเขาออกมา เพราะมันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา ตราบใดที่ไม่กระทบกับการทำงาน ก็อยู่ในพื้นที่ของตัวเองไปค่ะ

ขอบคุณความเห็น ๓ มากค่ะ ไม่เคยเจอคนไอซ์แลนด์เลยค่ะ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนจากฝั่งนั้นมาทำงานเท่าไหร่

ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
เราอยู่สวีเดนค่ะ... คุณจขกท คิดคล้ายๆเรานะ รู้สึกว่าคนสวีเดนส่วนนึงเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่อยู่ๆไปก็ชินกับนิสัยเค้าแล้วล่ะ
พยายามจะไม่คิดอะไรมาก

ตอนเราเรียนภาษาพวกเรา(เพื่อนคนต่างชาติที่เรียนห้องเดียวกัน) ก็เคยถามครูว่าทำไมคนสวีเดนเค้าค่อนข้างจะปิดตัวเอง
เงียบๆ ไม่ค่อยอยากจะคุยกับชาวต่างชาติ ครูเค้าก็เห็นด้วยว่าคนที่นี่ก็ค่อนข้างที่จะไม่เฟลนลี่เท่าไร แต่ไม่ได้เหยียดผิวหรืออะไรอย่างนั้น
ถ้ารู้จักกันดีก็จะเป็นอีกแบบ เลยแนะนำให้พวกเราลองพยายามเข้าหาเค้าก่อน... อันนี้พวกเราพูดคุยกันหลังจากจบการฝึกงาน
แต่ก็ยังแอบมาคุยกันนอกรอบกันเอง พวกเราก็สรุปคล้ายๆ จขกท ขนาดคนยุโรปในห้องเราทั้งเยอรมันและฮอลแลนด์ยังเห็นด้วยเลยว่า
คนที่นี่มีนิสัยเหมือนอากาศที่นี่แหละ... ก็คุยกันขำๆ

แต่คนแก่ที่นี่คุยดีนะคะ ชอบเข้ามาคุยมาถามว่าอยู่ที่นี่ชอบมั๊ย อากาศหนาวไปรึเปล่าสำหรับเธอ อะไรแบบเนี๊ยะ


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ดิฉันเคยอยู่สวีเดนมาก่อน อยู่มาหลายปีมากค่ะ พบเจอคนสวีเดนมากมาย ทั้งคนที่ทำงานด้วยกัน และเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ในกลุ่มนี้ก็มีทั้งคนที่สนิทมากหน่อยและคนที่สนิทน้อยหน่อย นอกจากนี้แล้วก็มีคนที่รู้จักแค่ผิวเผิน เช่นเพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือเพื่อนของเพื่อน ฯลฯ จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้วดิฉันคิดว่าคนสวีเดนนั้นมองดูภายนอกแล้วจะค่อนข้างชาเย็นและเก็บตัว แต่ส่วนมากแล้วจะนิสัยดีและเป็นมิตรมากๆ และส่วนมากจะมีน้ำใจ หากมีอะไรที่เค้าช่วยเหลือได้ เค้าก็จะช่วย แต่คนที่หยิ่ง คนที่ชอบดูถูกคนอื่น หรือคนที่นิสัยไม่ดี ขี้โกหก ขี้นินทา ชอบยุยงให้คนทะเลาะกัน ติเหล้า ติดยา ฯลฯ ก็มีค่ะ แต่คนนิสัยไม่ดีแบบนั้นส่วนมากจะไม่มีใครอยากคบด้วย หากเลี่ยงได้เค้าก็จะเลี่ยงกัน

อีกอย่างที่ต้องคิดถึงก็คือ คนสวีเดนที่ขี้เกรงใจและขี้อายก็มีมากนะคะ บางทีมองแค่ผิวเผินอาจดูเหมือนว่าเค้าหยิ่งหรือเก็บตัว แต่ที่เคยเจอมานั้น ตอนแรกนึกว่าหยิ่ง พูดด้วยก็แค่ตอบสั้นๆ ห้วนๆ พอรู้จักไปสักพัก กลับกลายเป็นว่าเค้าไม่ค่อยพูดเพราะขี้อาย หรือคุยไม่เก่ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร บางคนเคยมีประสบการณ์ไม่ดี ตอนเด็กๆ โดนเพื่อนกลั่นแกล้ง หรือมีปัญหาอื่นๆ ก็เลยทำให้ไม่กล้าเปิดตัวเปิดใจคุยกับใครมากนัก

ส่วนตัวที่เคยคบกับคนสวีเดนมา ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย คนที่สนิทมากหน่อยเราก็จะคุยแบบเปิดเผยกันสุดๆ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน สารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องทุกข์ เรื่องสุข เรื่องเศร้า รวมทั้งเรื่องเป๋อป๋าเหรอหราหน้าแตก เรื่องตลกโปกฮา ฯลฯ สรุปว่าคุยกันได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ นอกจากนี้แล้วก็มีการไปปาร์ตี้ด้วยกัน ทั้งปาร์ตี้ที่ที่ทำงานหรือที่ รร./มหาวิทยาลัยจัด และปาร์ตี้ส่วนตัวที่นัดเจอกันที่บ้านเพื่อนคนใดคนหนึ่งก่อนที่จะไปท่องราตรีกันต่อ

ส่วนคนที่ไม่สนิทมากเท่าไร ก็คุยกันได้เรื่อยๆ พอดีดิฉันเป็นคนคุยเก่ง นั่งอยู่ใกล้ใครที่หน้าตาเป็นมิตรก็จะชอบชวนเค้าคุย บางทีเจอคนตามป้ายรถเมล์ก็ยังคุยได้เรื่อยเปื่อย small talk ไปเรื่อยๆ ส่วนมากคนเค้าก็จะตอบกลับมา คุยกันเป็นตุเป็นตะยังกับรู้จักกันมานานมาก อิอิ

ตอนนี้อยู่เดนมาร์ก เคยได้ยินคนไทยหลายคนบอกว่าคนเดนมาร์กเค้าค่อนข้างเก็บตัว ส่วนดิฉันเจอแต่คนเปิดเผย เฮฮา ร่าเริง หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วตอนนี้มี FB ก็แอดเป็นเพื่อนกับคนที่ทำงานด้วยกัน นอกจากจะเจอกันที่ทำงานแล้ว ก็ยังมาติดตามความเป็นไปกันต่ออีกที่ FB เม้นท์กันไป คุยกันมา กลายเป็นว่าสนิทกันมากขึ้นอีกเยอะเลย

ส่วนเรื่องอาหาร ไม่เคยยัดเยียดให้ใคร มีแต่คนมาขอให้ทำโน่นทำนี่ให้กิน อย่างปอเปี๊ยะ สะเต๊ะ และแกงเขียวหวานกับแกงแดงนี่ มีรีเควสต์มาบ่อยมาก แต่ดิฉันปฏิเสธอย่างเดียว บอกว่าไม่มีเวลา ที่จริงน่ะเวลาพอมี แต่เหตุผลสำคัญที่ไม่ทำก็คือ ถ้าจะทำ ก็ต้องทำจำนวนมากให้พอกินกันทั้งที่ทำงาน จะให้เป็นรายบุคคลมันน่าเกลียด ซึ่งทำอาหารมากๆ แบบนั้น ดิฉันทำไม่ไหวหรอกค่ะ ก็เลยบอกปัดไป แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไรกัน

เล่าประสบการณ์ให้ฟังค่ะ เผื่อหลายคนจะได้เปลี่ยนมุมมองว่าคนต่างชาติที่เปิดเผยและน่ารักก็มีเยอะ อย่าเอา stereotype ที่คนอื่นเค้าว่ากันว่าชาตินั้นเป็นอย่างนั้น ชาตินี้เป็นอย่างนี้มาตัดสิน แต่ให้มองและตัดสินเป็นคนๆ ไป


*** แก้ไขคำที่สะกดผิดค่ะ ***

ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
อ่านผ่านๆ นึกถึง ชาเย็นไทย - ไทยไอซ์ทีน่ะ 555+


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
คนที่เราไม่รู้จักนั่นละมั้งที่เราคิดว่าเขาเย็นชา..เพราะคนที่ได้รู้จักสนิทสนมด้วยแล้ว ไม่ว่าชาติไหนก็เห็นว่าน่ารักใช้ได้ต่างคนต่างแบบกันไป

แต่กลุ่มเรา(ที่ส่วนใหญ่เป็นคนGerman)มักจะสุมหัวป้องปากว่าคน Swiss นะ ว่าเส้นลึกเย็นชา เพราะเล่าอะไรให้ฟังก็ไม่เห็นขำด้วย พิลึกคน!

:)


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
เห็นด้วยกับคุณเจ้าของกระทู้นะว่าคนสวีเดนเป็นคนเย็นชา แต่ที่สุดในโลกหรือเปล่า เราไม่ทราบ

ดิฉันอยู่สวีเดนมาเป็นสิบปี ก็รู้สึกว่าคนสวีเดนเป็นคนเย็น ๆ ชา ๆ เมื่อเทียบมาตรฐานกับคนไทย หรือไม่ต้องไกลแค่กับคนเดนมาร์ก

สามีดิฉันเป็นสวิดิช เธอเป็นคนเปิดเผย ร่าเริงและสามารถพูดคุยกับคนแปลกหน้าไปได้เรื่อยเปื่อย น้องสาวของสามีก็เป็นคนแบบนี้ ดิฉันเลยหลงผิดไปตั้งแต่แรกว่าคนสวีเดนเป็นคนเปิดเผย

พอมาอยู่เข้าจริง ๆ ทำไมผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยยอมสนิทกับใครง่าย ๆ เจอสามีของเพื่อนสนิทคุยกันก็ถามคำตอบคำ แต่ตอนนี้รู้จักกันดีแล้ว ก็รู้ว่าเขาเป็นคนแบบนั้น ถ้าอยากคุยกับเขายาว ๆ ก็ต้องคุยเรื่องที่เขาสนใจ ไม่งั้นก็ต้องนั่งกินอาหารกินไวน์กันไปเงียบ ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า

คุณครูสอนภาษาก็ยังบอกว่าคนสวีเดนไม่ค่อยชอบพูดกับคนแปลกหน้า พอดิฉันเล่าสามีดิฉันเริ่มบทสนทนากับคนแปลกหน้าได้ตลอดเวลา ครูบอกว่าสามีดิฉันเป็นชนหมู่น้อยของสวีเดน ก็ขำ ๆ กันไป

เพื่อนสาวคนสนิทชาวสวีเดนของดิฉันก็ไม่ค่อยพูด วัน ๆ ก็เอาแต่นั่งเงียบ ๆ แต่เราก็มีเรื่องคุยกัน และคุยกันได้สารพัดเรื่องเหมือนเพื่อนสนิทชาวไทย

คุณยายเพื่อนบ้านของดิฉันคุยเก่งมาก เธออายุ 92 ปีแล้วหูก็ไม่ค่อยดี ต้องตะโกนคุยกัน เจอดิฉันแถวบ้านเมื่อไรต้องยึดแขนดิฉันเอาไว้ไม่ยอมให้หนีไปไหน แล้วเธอก็เล่าเรื่องกิจกรรมรายวันของเธอให้ฟัง วันสุดสัปดาห์ว่าง ๆ เธอก็จะชวนดิฉันไปนั่งดื่มชาฟังเพลงคลาสสิคในอพาร์ทเม้นท์ของเธอ

นอกจากนั้นก็มีกลุ่มคนเลี้ยงหมา เราไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันเลย เจอกันแต่ไกลก็ตะโกนเรียกชื่อหมา แล้วก็ยืนคุยกันได้เป็นนานสองนาน คนสวีเดนทั้งนั้นเลยค่ะ : )


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
โดยส่วนตัวแอบเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 7 นะคะ เท่าที่สัมผัสมาคนสวีเดน
เป็นคนเฟรนรี่พอสมควรเลยทีเดียว น่ารัก <3
อาจเปนเพราะเราเปนประเทศเฟรนรี่(มากๆ))ไปเจอกับประเทศที่เข้าหายากมันเลยเปนกำแพงที่สูงโดยอัตโนมัติ.. ก็เปนได้


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
กลับมาอีกที เรื่องชาไม่ชานี่น่าจะขึ้นกับตัวเรามากกว่าคนอื่น การเปิดฉากการสนทนา การฟัง การหาเรื่องที่จะสนทนาให้เหมาะกับคู่สนทนา ไม่ใช่พูดแต่เรื่องตัวเองหรือเรื่องที่ตัวเองรู้และชำนาญ
ที่คุณ : A-Chee บอกว่าเขาเรียกชื่อหมามาแต่ไกล เพราะอะไร ลองคิดดู
จริงๆในหนังสือของคาร์เนกีและของคนอื่นหลายๆคนเขามีสอนวิธีเปิดฉากการสนทนานะครับ ลองคุยกับคุณ : Smilla ดู อาจจะช่วยคุณได้ และการตั้งใจที่จะหาคนคุยด้วยคงไม่ยาก รอจังหวะและเรียนรู้ฝ่ายตรงกันข้ามนิดหน่อยก็สนุกแล้ว


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
คุณ songjaree ใช่ค่ะ คนชาติอื่นในยุโรปที่เรารู้จักเขาก็ชอบพูดทำนองนั้น แต่ก็จริงอย่างที่คุณว่าค่ะ คนที่นี่ไม่เหยียดผิว ไม่ดูถูก โดยพื้นฐานเป็นคนจิตใจดีค่ะ (เอาที่เราเจอมานะคะ) เรามีเพื่อนจากบอสวาน่า เป็นสาวดำ แต่คนที่นี่เค้าจะพยายามเลี่ยงการพูดเรื่องผิวมาก แต่เพื่อนเรามันพูดเองว่ามัน black girl คนที่นี่เค้าก็ตาโตว่าทำไมพูดอย่างนั้น ดูเป็นเรื่องใหญ่มาก เพื่อนเราว่าทำไม ก็จริง มันไม่แคร์ไม่โกรธถ้าใครมาเรียกมันแบบนี้ หรือบางทีมันก็เรียกน้องผู้ชายที่เป็นคนไทยว่า Thai boy คนที่นี่เค้าก็ตกใจกันอีก ว่าเรียกอย่างนั้นได้ยังไง ดูเค้าจะระมัดระวังมากๆ ค่ะ ออกแนวเป็นทางการ

----------------------------------------------------------------------

คุณ Smilla ขอบคุณค่ะสำหรับคำแนะนำและประสบการณ์ เรื่องขี้อายเคยเห็นเหมือนกันค่ะ มีคนนึงทั้งภาควิชาบอกว่าเขาเป็นคนดีมาก แต่คุยกับเรานับคำได้ และจริงๆ คือเค้าเป็นคนขี้อายนั่นแหละค่ะ ตอนนี้เค้าจบไปแล้ว วันที่เค้าสอบจบเรายังไม่ว่างอีกต่างหาก เลยไม่ได้พูดกันอีกจนได้ อิอิ

----------------------------------------------------------------------

คุณ lovelypriest ช่วยให้กระทู้ลดความตึงเครียดไปได้โขทีเดียว ฮี่ๆ

----------------------------------------------------------------------

คุณ PatPDX อ่า...ไม่เคยเจอคนสวิส แต่ที่เคยเจอมา เยอรมัน สเปน อิตาลี และพวกทางเมกาใต้ มักจะขำมุขคล้ายๆ คนไทย แต่สวิสอาจจะแตกต่าง และสวีดิชนี่เขาก็เส้นลึก (เท่าที่เราเจอ) และมุกของเขาเราจะต้องคิดแป็บนึงก่อนถึงจะขำ แล้วคนที่นี่นอกจาก Prof เราแล้ว เรายังไม่เคยเจอใครหัวเราะฮ่าๆ เลย อย่างมากก็ยิ้มกว้าง แต่ไม่มีเสียง แต่ Prof นี่หัวเราะฮ่าๆ เลยทีเดียว

------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะคุณ A-Chee ถ้าจำไม่ผิดเราเคยรู้จักกันผ่าน bloggang เมื่อ 4-5 ปีมาแล้ว ช่วงที่เรามาสวีเดนครั้งที่แล้วค่ะ รู้สึกว่าจะอยู่เมืองเดียวกันด้วยนะคะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับเรื่องเล่าและประสบการณ์

------------------------------------------------------------------------

คุณ lasunanta ใช่ค่ะอาจเป็นไปได้ แต่เหมือนที่ตอบท่านอื่นๆ ไปนั่นแหละค่ะ เล่าแค่จากคนที่เคยเจอ ซึ่งก็มีทั้งเฟรนลี่และไม่เฟรนลี่ แต่ถือว่าได้เรียนรู้ค่ะ อาจจะยังมีคนสวีดิชอีกมากที่เราไม่มีโอกาสเจอและเขาก็เฟรนลี่เนอะ

-----------------------------------------------------------------------

คุณ อิสวาสุ คุณทำให้ดิฉันต้องย้อนกลับไปมองความสามารถในการเขียนของตนเอง ว่ามันแย่ขนาดสื่อสารให้คุณเข้าใจดิฉันไม่ได้เลย ดิฉันไม่ได้มีปัญหา หรือไม่มีความสุขกับการอยู่ที่ประเทศนี้ ตรงกันข้ามดิฉันมีความสุขในแบบที่เป็นอยู่มากๆ เลยค่ะ

เรื่องมารยาทในการสนทนาที่ว่าเราไม่ควรผูกขาดการสนทนาแต่เพียงผู้เดียว เราต้องเปิดโอกาสให้ผู้สนทนาได้คุยบ้าง ไม่ควรพูดเรื่องการเมืองศาสนาหรือความขัดแย้ง เลือกหัวข้อการสนทนาแบบกลางๆ ก่อนกับคนที่เราเพิ่งทำความรู้จัก อันนี้ทราบดีค่ะ ไม่ต้องไปอ่านหนังสือ...ตัวอย่างที่คุณยกมาว่าไม่ควรพูดแต่เรื่องตัวเองหรือเรื่องที่ตัวเองชำนาญ อันนี้ไม่ทราบค่ะ เพราะไม่เคยทำ

เรื่องที่คุณ A-Chee และ คุณ Smilla เล่ามาเป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ และดิฉันก็ขอบคุณสองท่านมากที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์กัน

สุดท้ายก็อยากจะบอกคุณ อิสวาสุ ว่าดิฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรเรื่องการคบหาเพื่อน ไม่ได้โหยหาอยากมีเพื่อนจนต้องมาตั้งกระทู้ถามเคล็ดลับ แค่ต้องการเอาความรู้สึกที่ได้สัมผัสคนประเทศนี้มาแชร์ให้เพื่อนๆ ในนี้ได้ฟัง และอยากให้เพื่อนๆ ที่มีประสบการณ์มาแชร์กัน หรือเห็นแย้งก็ได้ว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ เท่าที่เจอมาเขาดีนะ อันนี้ก็ไม่เกี่ยงค่ะ เพราะดิฉันเองยังไม่เคยเจอคนชาตินี้ทั้งประเทศ ดิฉันก็ตัดสินไม่ได้อยู่แล้ว


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ดีที่กลับมาอ่านอีก ไม่เช่นนั้นคุณ จขกท คงโกรธผมไปจนตาย

ที่ผมตอบในความเห็นที่ 12 มิได้มีเจตนาไปทางลบ และที่คุณเขียนนะชัดเจนดีแล้วครับ แต่คุณยังสงสัยว่าคนแถวที่คุณอยู่มักจะเย็นชา แต่ผมเห็นว่าไม่น่าจะเย็นชา จริงๆแล้วอาจจะไม่มีที่ไหนเย็นชาก็ได้เมื่อได้รู้จักคุ้นเคยกันมากขึ้น และวิธีการที่จะได้คุ้นเคยก็คือการเปิดฉากสนทนากันก่อน และวิธีการเปิดฉากสนทนาก็มีแนะนำไว้ในหนังสือที่ผมพูดถึง

ไม่ได้ตำหนิคุณแต่อย่างใดเพียงแต่เป็นการแนะนำโดยไม่ได้รับเชิญเท่านั้นเอง
ขออภัยที่อาจจะทำให้คุณเคืองขุ่น


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
จำเจ้าของกระทู้ได้ค่ะ มีทำงานที่ Kemi Centrum อีกแล้วเหรอคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
คุณ อิสวาสุ...ดิฉันไม่อยู่ในข่ายผู้หญิงแค้นแรงค่ะ ไม่ต้องกลัว ขอโทษด้วยค่ะที่แปลเจตนาคุณผิด แต่ก็ขอบคุณมากนะคะที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นและแนะนำ

----------------------------------------------------------------------

คุณ A-Chee...ค่ะ กลับมาทำที่ KC เหมือนเดิม แต่คราวนี้อยู่นานกว่าเดิมพอสมควรค่ะ ขอบคุณค่ะที่ยังจำได้ :D


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
ความคิดเห็นที่ 2 Detente

และที่สำคัญ ไม่ว่า แขก ไม่ว่ามืดแอฟริกัน ไม่ว่าจากยุโรปตะวันออก..........แทบทุกคนต่างเขี้ยวลากดิน หากิน หาได้ ในประเทศสวีเดน และยุโรปรวยๆ อื่นๆ( หลายคนสารพัดพิษ ) ......แบบ อะไร ๆ ก็เอา.....ขอให้ฉันได้ไว้ก่อน...ฉันไม่สนใจประเพณีวัฒนธรรมของเจ้าของบ้านแต่อย่างใด ฉันจะเอาแต่วัฒนธรรมประเพณีของบ้านฉันที่ฉันคุ้นเคยไปใช้ที่นั่น...ทำให้คนสวีเดนเบื่อ ระอา


ในกรณีนี้ดิฉันเข้าใจนะคะ เพราะว่าที่สวิสนี่ก็เจอปัญหาอย่างนี้เยอะมาก อย่างพวกผู้อพยพที่นี่ไม่พยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่นี่ เพราะต้องการเอาวัฒนธรรมของตัวมาใช้ ปัญหาขัดแย้งจึงมีตามมา

ระยะหลังๆจึงมีจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองขวาสุดๆเพิ่มขึ้นมากมาย ที่แอนตี้ชาวต่างชาติ หรือแม้กระทั่งเยาชนรุ่นใหม่เข้าร่วมสมาชิกนีโอนาซีเยอะพอควรค่ะ

ในขณะนี้ประชาชนเห็นด้วยกับพรรคเอสเฟาเพ (ขวาสุดๆ)ที่จะให้แก้กฏหมายที่ว่า หากผู้อพยพคนใดก็ตามก่อเหตุอาชญากรรมขึ้น ขอให้เนรเทศออกไปทันที

แรกๆทางรัฐบาลอ้างว่า ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ว่าปัจจุบันนี้มีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะปรับแก้กฎหมายให้ทันสมัยขึ้น

อาจเป็นกรณีคล้ายๆกันอย่างนี้ก็ได้นะคะ ที่ทำให้ชาวสวีเดน เริ่มระอา ต่อมาอาจเย็นชาก็ได้ค่ะ โธ่ คนสวิสก็เป็นอย่างนี้เยอะค่ะ ไม่ได้เป็นเฉพาะกับต่างชาติเท่านั้น คนชาติเดียวกันก็เป็นกันเอง

เห็นด้วยกับคุณ Smilla คห. 7


เล่าประสบการณ์ให้ฟังค่ะ เผื่อหลายคนจะได้เปลี่ยนมุมมองว่าคนต่างชาติที่เปิดเผยและน่ารักก็มีเยอะ อย่าเอา stereotype ที่คนอื่นเค้าว่ากันว่าชาตินั้นเป็นอย่างนั้น ชาตินี้เป็นอย่างนี้มาตัดสิน แต่ให้มองและตัดสินเป็นคนๆ ไป

คห. 9 คุณ PatPDX

แต่กลุ่มเรา(ที่ส่วนใหญ่เป็นคนGerman)มักจะสุมหัวป้องปากว่าคน Swiss นะ ว่าเส้นลึกเย็นชา เพราะเล่าอะไรให้ฟังก็ไม่เห็นขำด้วย พิลึกคน!

ฮ่าๆๆ อ่านแล้วขำกลิ้งเลยค่ะ ดิฉันว่าเป็นการเกทับระหว่างคนเยอรมันกะคนสวิสกัน เพราะว่าสองชาตินี้อยู่ใกล้กัน มักจะเกทับกัน มีเรื่องเหน็บแนมขำๆมาแซวกันเสมอ

เช่นการ์ตูนชาวเยอรมันล้อว่า ชาวสวิสน่ะ มีสตางค์เยอะ จนต้องอ๊อกออกมาเป็นสตางค์ หรือว่าถ่ายก็ยังเป็นทองออกมา ฮ่าๆๆ

เพื่อนสวิสคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า อย่าไปทักคนสวิสตอนเช้าๆนะ ฉันน่ะนั่งรถไฟมาทำงานตอนหกโมงเช้าทุกวัน ดูหน้าแต่ละคนดิ่ หน้าตาอย่างกะนาฬิกายังไม่ได้ปรับเวลาเล้ย ดูไม่เป็นผู้เป็นคนเลยล่ะ

จะว่าไปนะคะ การเย็นชานี่ยังดี เพราะว่าไม่ก้าวร้าว ไม่ชอบก็ถอยออกมา จบเรื่อง ส่วนคนบางคนน่ะ ยากที่จะคบค้าด้วย สร้างสัมพันธ์ไม่ขึ้น

คุยด้วยนิดหน่อยก็พร้อมที่จะขู่ฟ่อๆๆ เป็นเพราะว่าไม่สามารถคุมปัญหาของตัวได้ จึงแสดงออกและ มองผู้คนรอบข้างด้วยความขุ่นมัว

ดิฉันเห็นด้วยว่าน่ะจะอยู่ที่นิสัยและพื้นเพของแต่ละคนด้วยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
คนยุโรปเหนือไม่เย็นชานะคะ แต่จะตั้งกำแพงเอาไว้ก่อน ถ้ารู้จักสนิทกันถึงขนาดเขาออกปากชวนไปทานข้าวที่บ้านด้วยแล้ว รับรองว่าเป้นเพื่อนกันจนตายไปข้างนึงค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
culture shock แต่ละแบบมีลักษณะเป็นของตนเองค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 19