Ayuthaya...มนต์ขลังที่พ้นผ่านกับอดีตกาลที่ผ่านพ้น (CR)

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ไม่ได้พาไปเที่ยวแต่อยากพาเพื่อนๆ ไปทำบุญไหว้พระสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองเก่า..พระนครศรีอยุธยา.. ช่วงระยะหลังมานี้รู้สึกตัวเองว่าเข้าวัดเข้าวาน้อยครั้งลงไปมาก รู้สึกว่าตัวเองบาปหนาขึ้น หลายครั้งหลายคราที่ผลัดผ่อนความตั้งใจของตัวเองในการเข้าวัดเข้าวาโดยอ้างเหตุผลว่าไม่มีเวลา ทั้งๆ ที่"เวลา"นั่นมันก็ไม่ได้หนีหายเราไปไหนแต่พวกเรานี่แหละที่เอา"เวลา"ไปใช้แบบไม่มีประโยชน์แถมบางครั้งยังก่อให้เกิดโทษด้วย

แล้ววันหยุดที่ผ่านมาก็ได้ฤกษ์เข้าวัดเข้าวาทำบุญกันสักที โดยเลือก...อยุธยา..เป็นจุดหมายปลายทาง ด้วยเหตุที่จังหวัดนี้มีวัดวาอารามเป็นจำนวนมาก แถมตั้งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก กะว่าทำบุญทั้งทีก็จัดหนักไปเลยจะได้สบายใจกันสักที

ความคิดเห็นที่ 1
ทริปนี้ไม่มีการวางแผนแต่อย่างใด แค่ไปถึง..อยุธยา..แล้วก็ขับรถไปเรื่อยๆ เห็นวัดไหนน่าสนใจเข้าไปกราบไหว้ทำบุญก็เข้าไปเลยไม่ต้องคิดมาก ผมเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ในเวลาเกือบเที่ยง ขับรถผ่านตัวเมืองปทุมธานีจากนั้นใช้เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ อ.บางปะอิน-บางปะหัน ไม่นานไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึง..อยุธยา..แล้วครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
พอถึง..อยุธยา..ก็แวะหาข้าวเที่ยงกินกันก่อนโดยเลือกที่จะไปกิน"ก๋วยเตี๋ยวผักหวาน"เจ้าเก่า ซึ่งตั้งอยู่ในซอยอู่ทอง 4 หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกับอาหารรสชาติดีที่"ร้านก๋วยเตี๋ยวผักหวาาน"กันแล้วก็ถึงเวลาเริ่มต้นทำภาระกิจบุญกันสักที

วัดแรกที่ได้เข้าไปทำบุญในครั้งนี้ก็อยู่ในซอยด้วยกับร้านก๋วยเตี๋ยวผักหวานนั่นเอง วัดนั้นมีชื่อว่า"วัดสุวรรณดาราราม"


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
"วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร" เป็นวัดพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร
สถานที่ตั้ง ซอยอู่ทอง 4 ตำบลหอรัตนไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
มารู้จักประวัติของ"วัดสุวรรณดาราราม" กันสักหน่อย (ข้อมูลต่างๆ นำมาจากเว็บไซต์ http://www.dhammathai.org ขอขอบคุณมากเลยนะครับ)

วัดสุวรรณดาราราม ตั้งอยู่ริมป้อมเพชร พระอัยกาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สร้างวัดนี้ตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาให้ชื่อว่า "วัดทอง" ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์และทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดนี้ทั้งหมด


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดทองขึ้นใหม่และพระราชนามว่า “วัดสุวรรณดาราราม” เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระบรมชนกนาถและพระบรมราชชนนี ตามพระนามเดิมของทั้งสองพระองค์คือ “ทองดี” และ “ดาวเรือง”


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ภายในพระวิหารของวัดนี้มีภาพเขียนแสดงพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นับเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่มีฝีมือยอดเยี่ยมงดงามมาก จนกรมศิลปากรได้ถ่ายแบบภาพเขียนนี้ไปไว้ที่อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ด้านนอกของพระวิหารเรียบง่ายและสวยงาม


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
ด้านหลังพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานของพระเจดีย์ประธาน


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
อีกฝั่งเป็น"พระอุโบสถวัดสุวรรณดารามราม" ซึ่งถูกสร้างเป็นแบบสมัยอยุธยาตอนปลาย คือทำส่วนฐานโค้งอ่อนลงตรงกลางคล้ายปากเรือสำเภา หน้าบันอุโบสถสลักลายเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเทพชุมนุมที่ผนังอุโบสถตอนบน ตอนล่างเขียนเรื่องเวสสันดรชาดก เตมีย์ชาดกและสุวรรณสามชาดก ผนังด้านหน้าพระประธานเขียนภาพมารวิชัย มีแม่พระธรณีบีบมวยผมอยู่ตรงกลาง


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ต้นศรีมหาโพธิ์ต้นใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
หลังจากไหว้พระทำบุญที่วัดสุวรรณดารามรามเป็นแห่งแรกแล้ว ผมก็ขับรถไปเรื่อยๆ ตามถนนในคูเมือง อ่านป้ายวัดต่างๆ ที่ตั้งอยู่เรียงรายตามท้องถนน แล้วก็ไปสะดุดตากับป้าย"พระมงคลบพิตร"เข้าอย่างจัง แล้วก็เลยตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปตามป้ายบอกทางจนถึงที่หมายนั่นก็คือ "วิหารพระมงคลบพิตร" ซึ่ง"วิหารพระมงคลบพิตร" นั้นตั้งอยู่ทางด้านใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์

ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
"พระมงคลบพิตร" ไม่ปรากฏหลักฐานชัดว่าสร้างในรัชกาลใดแห่งกรุงศรีอยุธยาแต่สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น เพราะพระพักตร์แม้จะมีลักษณะค่อนข้างเป็นวงรีแต่ก็ยังคงเห็นเค้าพระพักตร์เป็นเหลี่ยมอยู่ ซึ่งเป็นพุทธลักษณะแบบอยุธยาตอนต้น เมื่อพิจารณาถึงเส้นพระขนงที่โค้งก็จะพบว่าเป็นศิลปที่ผสมผสานกับศิลปะสุโขทัยอีกด้วย องค์พระก่อด้วยอิฐแล้วหุ้มสำริดแผ่น นับเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของไทย


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
จากหลักฐานมีอยู่ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2146 พระเจ้าทรงธรรมได้โปรดเกล้าฯ ให้ชะลอ"หลวงพ่อวัดมงคลบพิตร" จากด้านตะวันออกของวังหลวงมาไว้ทางด้านตะวันตก ณ ทีประดิษฐานปัจจุบัน และยังได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมณฑปที่มีลักษณะเช่นเดียวกับมณฑปพระพุทธบาทสระบุรีสวมไว้ด้วย

ในสมัยพระพุทธเจ้าเสือ เกิดอสุนีบาตต้องยอดพระมณฑป เกิดไฟไหม้พังลงมาต้องพระศอของพระมงคลบพิตรหัก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อเครื่องบนออกแล้วสร้างใหม่เป็นพระวิหาร แต่คงทำเครื่องยอดอย่างมณฑปของเดิม ต่อมาในสมัยพระเจ้าบรมโกศ ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศน์เป็นแม่กองบูรณะปฏิสังขรณ์ และได้รื้อยอดมณฑปเดิมเปลี่ยนเป็นพระวิหาร วิหารพระมงคลบพิตรถูกไฟเผาผลาญในครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2310 จนเครื่องบนของพระวิหารพังลงมาถูกพระเมาฬีและพระกรขวาขององค์พระชำรุด พระยาโบราณราชธานินทรเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาได้บูรณะซ่อมแซมให้คืนดี สำหรับพระวิหารที่ชำรุดหักพังเกือบจะโดยสิ้นเชิงนั้นได้บูรณะขึ้นใหม่อย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบันเมื่อปี พ.ศ. 2499 โดย นายอูนุ นายกรัฐมนตรีสหภาพพม่าในขณะนั้นได้บริจาคเงินจำนวนสองแสนบาทร่วมกับฝ่ายรัฐบาลไทยอีกสองแสนห้าหมื่นบาท (ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://th.wikipedia.org ขอบคุณมากนะครับ)


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
หลังจากไหว้"พระมงคลบพิตร"แล้ว ก็ขับรถไปเรื่อยๆ จนถึง"วัดธรรมิกราช" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก"วิหารพระมงคลบิตร"


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
"วัดธรรมิกราช" เดิมชื่อ "วัดมุขราช" ตั้งอยู่ใน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดกับพระราชวังโบราณและวัดพระศรีสรรเพชญ์ ปัจจุบันยังเป็นวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาและปฏิบัติธรรมอยู่ โดยมีพระครูสมุห์ธรรมภณเป็นเจ้าอาวาส


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
พระเศียรของพระธรรมิกราชจำลอง ตั้งอยู่ลานนอกด้านหน้าพระวิหารพระนอน ส่วนพระเศียรองค์จริงถูกเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
ถัดจากพระเศียรของพระธรรมิกราชเป็น"อนุสาวรีย์ขององค์พระนเรศวรมหาราช"


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
ถีดจากพระอนุสาวรีย์ขององค์พระนเรศวรมหาราชก็เป็น"พระวิหารทรงธรรม" เป็นพระวิหารใหญ่ขนาด 9 ห้อง มีมุขโถงด้านหน้า สร้างขึ้นรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เพื่อเป็นสถานที่ฟังธรรมในวันพระ ภายในเคยเป็นที่ประดิษฐานพระธรรมิกราช แต่ปัจจุบันพระวิหารทรงธรรมแห่งนี้ได้พังเสียหายไปตามกาลเวลา คงเหลือแต่ผนังและเสาของพระวิหารบางส่วนไว้ได้เห็นเป็นอนุสรณ์


ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
พระธรรมิกราชจำลององค์เล็ก ตั้งอยู่ด้านหน้าของ"วิหารทรงธรรม"


ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
ด้านในพระวิหารทรงธรรม ซึ่งเหลือเพียงแต่เสาปูนและผนังอิฐแดง


ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
พระธรรมิกราชจำลองภายในพระวิหาร


ตอบกลับความเห็นที่ 22
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 23
เสาอิฐแดงเข้ากันได้ดีกับท้องฟ้าสีสวยจัง แต่ดูแล้วก็อดหดหู่ใจยังงัยไม่รู้


ตอบกลับความเห็นที่ 23
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 24
ผนังด้านหลังพระวิหารทรงธรรม


ตอบกลับความเห็นที่ 24
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 25
พระพุทธชินราชองค์เล็กตั้งอยู่บนกองหินด้านหลังพระธรรมิกราช


ตอบกลับความเห็นที่ 25
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 26
ความเชื่อ


ตอบกลับความเห็นที่ 26
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 27
รูปสวยจัง ขอบคุณนะคะ ไม่ได้ไปอยุธยานานมากแล้ว


ตอบกลับความเห็นที่ 27
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 28
ยินดีต้อนรับครับคุณ หาอะไรก็เจอ ขอบคุณนะครับ
................................................................................................................
ตรงข้าม"วิหารทรงธรรม"เป็นที่ตั้งของ"เจดีย์สิงห์ล้อม"


ตอบกลับความเห็นที่ 28
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 29
"เจดีย์สิงห์ล้อม" หรือ "เจดีย์ประธาน" เป็นเจดีย์ทรงระฆังที่ตั้งอยู่บนฐานรูปแปดเหลี่ยม ส่วนล่างเป็นฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยม รอบฐานเจดีย์ประดับด้วยสิงห์ปูนปั้นที่สร้างขึ้นราวรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง


ตอบกลับความเห็นที่ 29
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 30
ถ้าไม่เสียหายไปตามกาลเวลา เจดีย์แห่งนี้น่าจะสวยงามน่าดูเลยครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 30
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 31
ถัดจาก"วิหารทรงธรรม"ก็เป็นพระอุโบสถของวัดธรรมิกราช


ตอบกลับความเห็นที่ 31
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 32
ภายในพระอุโบสถ


ตอบกลับความเห็นที่ 32
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 33
ตามไปเที่ยวอยุธยาด้วยคนครับบบ.........


ตอบกลับความเห็นที่ 33
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 34
เผลอแป๊ปเดียวผมได้เข้าไปไหว้พระได้ 3 วัดแล้ว อิ่มบุญจริงๆ ครับ หลังจากที่ออกจาก"วัดธรรมิกราช" ก็ขับรถไปอีกนิดเดียวก็ได้เห็น"วัดราชบูรณะ" ซึ่งมี"พระปรางค์"องค์ใหญ่ตั้งเด่นเป็นที่สะดุดตายิ่ง จอดรถแล้วก็เดินไปชมกัน


ตอบกลับความเห็นที่ 34
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 35
แปะไว้ก่อน พรุ่งนี้มาชมใหม่


ตอบกลับความเห็นที่ 35
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 36
ยินดีต้อนรับครับคุณ สายลมแห่งวิงค์
................................................................................................................
ที่"วัดราชบูรณะ"เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกอุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา มีการเก็บเงินค่าเข้าชมสถานที่คนละ 10 บาท


ตอบกลับความเห็นที่ 36
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 37
-คุณ หาอะไรก็เจอ ยินดีครับ
................................................................................................................
"วัดราชบูรณะ" ตั้งอยู่ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณเชิงสะพานป่าถ่าน ติดกับวัดมหาธาตุทางบริเวณทิศตะวันออก ห่างจากพระราชวังโบราณเพียงเล็กน้อย จัดเป็นหนึ่งในวัดที่ใหญ่และมีความเก่าแก่มากที่สุดในพระนครศรีอยุธยา


ตอบกลับความเห็นที่ 37
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 38
ไม่ได้ไปอยุธยามานานมากแล้ว

อยากไปจริงๆ หวังว่าปีนี้น้ำจะไม่ท่วม


ตอบกลับความเห็นที่ 38
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 39
จากด้านในพระวิหารซึ่งคงเหลือแต่ฐานรากจะสามารถมองเห็นพระปรางค์ได้อย่างชัดเจน


ตอบกลับความเห็นที่ 39
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 40
ยินดีต้อนรับครับคุณ นางมารชุดส้ม คิดเหมือนกันเลยครับ ไปครั้งนี้ยังได้เห็นร่องรอยน้ำตามกำแพงวัดต่างๆ เห็นแล้วก็อดสงสารชาวกรุงเก่าไม่ได้ที่ประสบกับปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่นี้
................................................................................................................
เดินทะลุพระวิหารออกมาก็จะได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ขององค์พระปรางค์วัดราชบูรณะแล้วครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 40
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 41
"พระปรางค์วัดราชบูรณะ" สร้างโดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา ในปี พ.ศ. 1967 วัดราชบูรณะมีชื่อเสียงและความโด่งดังมากในเรื่องการถูกกลุ่มคนร้ายจำนวนหนึ่งลักลอบขุดกรุภายในพระปรางค์ประธานในปี พ.ศ. 2499 และช่วงชิงทรัพย์สมบัติจำนวนมากมายมหาศาลหลบหนีไป ต่อมากรมศิลปากรเข้าทำการบูรณะขุดแต่งต่อและได้พบทรัพย์สมบัติที่หลงเหลือและเครื่องทองจำนวนมากมาย ปัจจุบันทรัพย์สมบัติภายในกรุถูกเก็บรักษาไว้ที่ห้องราชบูรณะ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา


ตอบกลับความเห็นที่ 41
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 42
ก่อนจะขึ้นไปชมภายในของพระปรางค์เดินสำรวจพื้นที่โดยรอบก่อน เห็นซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวัดราชบูรณะ และสถานที่อื่นๆ ใน..อยุธยา..แล้วก็อดรันทดใจไม่ได้ นี่แหละที่เค้าบอกว่า..สงครามไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีแต่อย่างใด มีแต่ความสูญเสียและน้ำตา...


ตอบกลับความเห็นที่ 42
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 43
ความเสื่อม


ตอบกลับความเห็นที่ 43
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 44
เศร้า


ตอบกลับความเห็นที่ 44
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 45
หลังจากเดินสำรวจหนึ่งรอบได้เวลาขึ้นไปชมพระปรางค์กันแล้ว


ตอบกลับความเห็นที่ 45
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 46
ภายในพระปรางค์ไม่ได้ใหญ่โตตามขนาดขององค์พระปรางค์


ตอบกลับความเห็นที่ 46
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 47
มีทางลงไปยังด้านล่างซึ่งเป็นที่เก็บทรัพย์สมบัติในสมัยโบราณ ซึ่งบางส่วนได้ถูกโจรกรรมไปและอีกบางส่วนได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์


ตอบกลับความเห็นที่ 47
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 48
รูปภาพทรัพย์สมบัติที่ถูกขุดพบได้ภายในพระปรางค์วัดราชบูรณะแห่งนี้


ตอบกลับความเห็นที่ 48
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 49
จากนั้นผมก็ลงไปยังด้านล่างซึ่งค่อนข้างแคบและชัน แถมอากาศยังน้อยหายใจไม่ค่อยออกด้วย


ตอบกลับความเห็นที่ 49
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 50
ลงไปจนสุดจะเจอห้องเล็กมากเพียงคนยืนได้คนเดียว ผนังทั้ง 4 ด้านน่าจะมีจิตกรรมฝาผนังเมื่อครั้งในอดีตและห้องนี้น่าจะเป็นห้องเก็บทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่ขุดค้นพบได้


ตอบกลับความเห็นที่ 50
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 51
เข้ามาชมกระทู้ทำบุญไหว้พระด้วยค่ะ ^_^


ตอบกลับความเห็นที่ 51
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 52
เดินขึ้นมาอย่างเร่งรีบเพราะต้องการอากาศบริสุทธิ์หายใจอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะเป็นลมเป็นแร้งไปเสียก่อน ออกมาพักด้านนอกได้เห็นศิลปะในสมัยกรุงศรีอยุธยาบนยอดพระปรางค์ที่น่าจะได้รับการซ่อมแซมจากกรมศิลปากรแล้วบางส่วน งดงามและอ่อนช้อยมาก ถ้าไม่เกิดสงครามและไม่ถูกทำลาย พระปรางค์แห่งนี้คงจะสวยอย่างหาที่ติมิได้


ตอบกลับความเห็นที่ 52
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 53
ยินดีต้อนรับครับคุณ ชอบกินชอบเที่ยว
................................................................................................................
จากนั้นผมก็ออกจาก"วัดราชบูรณะ" แล้วขับรถข้ามแยกไปอีกนิดเดียว ก็จะเจอกับอีกหนึ่งสถานที่ที่สำคัญของอุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาแห่งนี้แล้วนั่นก็คือ "วัดมหาธาตุ"


ตอบกลับความเห็นที่ 53
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 54
เสียค่าเข้าชมสถานที่คนละ 10 บาทเช่นเคย จากนั้นก็เข้าไปชมสถานที่ได้ตามสบายครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 54
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 55
"วัดมหาธาตุ" จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในวัดในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา วัดมหาธาตุเป็นวัดที่มีความสำคัญยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุุใจกลางพระนคร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นที่พำนักของ สมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสีอีกด้วย วัดแห่งนี้จึงได้รับการก่อสร้างและดูแลตลอดเวลาจวบจนถูกทำลายลงหลังเสียกรุงครั้งที่ 2


ตอบกลับความเห็นที่ 55
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 56
ไฮไลต์ของที่นี่ "เศียรพระที่ฝังอยู่ในต้นไม้"


ตอบกลับความเห็นที่ 56
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 57
ขอตามไปเที่ยวด้วยคนนะคะ

ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 57
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 58
เฉกเช่นเดียวกับที่อื่นๆ ซากปรักหักพังที่มีให้เห็นทั่วไป


ตอบกลับความเห็นที่ 58
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 59
ยินดีต้อนรับครับคุณ เด็กดอย เจ้าแม่ปาเงิน
................................................................................................................
บริเวณโดยรอบ"วัดมหาธาตุ"


ตอบกลับความเห็นที่ 59
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 60
ขอตัวไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวกลับมารีวิวต่อนะครับ ขอจบช่วงนี้ด้วยอีกมุมหนึ่งของ"พระปรางค์วัดมหาธาตุ"


ตอบกลับความเห็นที่ 60
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 61
ตามมาไหว้พระด้วยคนครับ ดูรีวิวนี้แล้วรู้สึกสงบบอกไม่ถูก


ตอบกลับความเห็นที่ 61
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 62
ชอบครับ ตามชมอยู่นะครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 62
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 63
กลับมารีวิวต่อแล้วครับ
-ยินดีต้อนรับนะครับคุณ ชานมชงเอง
-ยินดีต้อนรับนะครับคุณ สมหมาย09
................................................................................................................ขับรถออกจาก"วัดมหาธาตุ" แล้วผมก็มุ่งหน้าออกนอกเกาะเมืองกรุงศรีอยุธยา จุดหมายปลายทางอยู่ที่วัดอีกหนึ่งแห่งที่ผมอยากไปมานานแต่ยังไม่เคยสบโอกาสสักทีนั่นก็คือ "วัดไชยวัฒนาราม"


ตอบกลับความเห็นที่ 63
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 64
วัดไชยวัฒนาราม คือ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกนอกเกาะเมือง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดที่พระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาองค์ที่ 24 (พ.ศ. 2173-2198) โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.2173 ได้ชื่อว่าเป็นโบราณสถานที่มีความงดงามมากแห่งหนึ่ง (ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://travel.thaiza.com ขอบคุณมากครับ)


ตอบกลับความเห็นที่ 64
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 65
สิ่งที่น่าชมภายในวัดได้แก่ พระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ เป็นปรางค์ประธานของวัดตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสและที่มุมฐานมีปรางค์ทิศประจำอยู่ทั้งสี่มุม การที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองซึ่งเป็นกษัตริย์สมัยอยุธยาตอนปลายทรงสร้างปรางค์ขนาดใหญ่เป็นประธานของวัด เท่ากับเป็นการรื้อฟื้นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้นที่นิยมสร้างปรางค์เป็นประธานของวัดเช่น การสร้างปรางค์ที่วัดมหาธาตุและวัดราชบูรณะ เนื่องจากพระองค์ทรงได้เขมรมาอยู่ใต้อำนาจจึงมีการนำรูปแบบสถาปัตยกรรมเขมรเข้ามาใช้ในการก่อสร้างปรางค์อีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีพระระเบียงรอบปรางค์ประธาน


ตอบกลับความเห็นที่ 65
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 66
ภายในพระระเบียงมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ผนังระเบียงก่อด้วยอิฐถือปูน มีลูกกรงหลอกเป็นรูปลายกุดั่น พระอุโบสถ อยู่ด้านหน้าของวัดภายในมีซากพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสร้างด้วยหินทราย ใบเสมาของพระอุโบสถทำด้วยหินสีค่อนข้างเขียว จำหลักเป็นลายประจำยามและลายก้านขด และเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ทางด้านหน้าพระอุโบสถมีเจดีย์ 2 องค์ ฐานกว้าง 12 เมตร สูง 12 เมตร ซึ่งถือเป็นศิลปะที่เริ่มมีแพร่หลายตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง


ตอบกลับความเห็นที่ 66
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 67
ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ วัดนี้เป็นที่ฝังพระศพของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์(เจ้าฟ้ากุ้ง) กวีเอกสมัยอยุธยาตอนปลายกับเจ้าฟ้าสังวาลย์ซึ่งต้องพระราชอาญาโบยจนสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ


ตอบกลับความเห็นที่ 67
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 68
"วัดไชยวัฒนาราม"ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 และกรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะตลอดมาจนปัจจุบันไม่มีสภาพรกร้างอยู่ในป่าอีกแล้ว และยังคงมองเห็นเค้าแห่งความสวยงามยิ่งใหญ่ตระการตา


ตอบกลับความเห็นที่ 68
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 69
ผมไปถึงที่"วัดไชยวัฒนาราม" ในเวลาประมาณเกือบห้าโมงเย็น และอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ดูพระอาทิตย์ตกดินที่"วัดไชยวัฒนาราม"ก็สวยใช่เล่นแต่เสียดายท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจ มีเมฆหมอกลอยต่ำปกคลุมท้องฟ้าไปทั่ว


ตอบกลับความเห็นที่ 69
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 70
มีนักท่องเที่ยวต่างชาติได้นั่งเรือมาลงหน้าวัดด้วยนะครับ หลายๆ คนพอขึ้นจะเรือได้มาเห็นพระปรางค์วัดไชยวัฒนารามก็ตื่นเต้นถ่ายรูปกันใหญ่


ตอบกลับความเห็นที่ 70
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 71
เสียดายอีกอย่างตอนนี้ที่"วัดไชยวัฒนาราม"ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมภายในและรอบๆ อาณาบริเวณวัด เนื่องจากความเสียหายจากการถูกน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว มีป้ายห้ามเข้าตลอดรอบบริเวณวัด


ตอบกลับความเห็นที่ 71
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 72
ขอบคุณรีวิวสวยๆนะครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 72
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 73
คุณผู้หญิงนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกด้านหน้าพระปรางค์วัดไชยวัฒนาราม


ตอบกลับความเห็นที่ 73
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 74
ยินดีต้อนรับครับคุณ boy next door ขอบคุณครับ
................................................................................................................
พระอาทิตย์ใกล้ลาลับแล้ว


ตอบกลับความเห็นที่ 74
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 75
ภาพสุดท้ายของทริปอิ่มบุญในเมืองกรุงเก่าครั้งนี้ แล้วเจอกันใหม่ในทริปต่อไปนะครับ สำหรับวันนี้โชคดีราตรีสวัสดิ์ครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 75
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 76
...ตามมาเที่ยวอยุธยาด้วยคนนะคะ

มีแต่วัดสวยๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ ที่บ้านก็ชอบขับรถไปเที่ยวอยุธยาเหมือนกันเลยคะ ^-^


ตอบกลับความเห็นที่ 76
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 77
ไม่ได้ไปอยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน นานมากกกกแล้วครับ

อิ่มบุญจริงๆ คุณน้อยพาเข้าซะหลายวัดเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 77
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 78
อิ่มบุญกับรีวิวนี้เลยค่ะ ขอบคุณค่ะที่พาไปไหว้พระ


ตอบกลับความเห็นที่ 78
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 79
ตามคุณน้อยมาไหว้พระที่อยุธยาค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 79
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 80
อิ่มบุญด้วยคนค่ะ ภาพสวยมาก

ขอบคุณสำหรับภาพและข้อมูลค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 80
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 81
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ ออกจะร้อนนิดนึงอ่ะค่ะ(เพราะว่าเข้าหลายวัดเลย) ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 81
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 82
บ้านผมสวยจัง...


ตอบกลับความเห็นที่ 82
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 83
ขอบคุณครับสำหรับรีวิว


ตอบกลับความเห็นที่ 83
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 84
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับพี่น้อย เพิ่งไปมาเมื่อเดือนมีนานี้เอง ไปกินกุ้งแม่น้ำเผาในวัดด้วย ได้บาปเข้าไปเต็มๆเลยครับ 555+


ตอบกลับความเห็นที่ 84
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 85
กำลังเที่ยวชมวัด ชมวาอยู่เหมือนกันครับ เลยขอแวะอยุธยาด้วยแป๊บนึง


ตอบกลับความเห็นที่ 85
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 86
ตามมาเที่ยว อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
ไม่ได้ไปหลายปีมากๆละ
เห็นแล้วก็น่าจัดไปบ้างนะเนี่ย


ตอบกลับความเห็นที่ 86
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 87



ภายในอุโบสถวัดสุวรรณดารารามงดงามจังค่ะ

ที่วิหารพระมงคลบพิตรด้วย เห็นแล้วคิดถึงอยากไปกราบไหว้อีก หลังจากไม่ได้ไปนานแล้ว

ขอบคุณรีวิวนะคะ พี่น้อย




ตอบกลับความเห็นที่ 87
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 88
สวยทุกวัดเลยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 88
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 89
ภาพสุดท้ายสวยมากๆครับ

ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 89
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 90
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 90
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 91
กำลังอยากไปไหว้พระที่อยุธยาพอดีเลยค่า
ตอบกลับความเห็นที่ 91
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 92
เพิ่งกลับมาจากอยุธยาเหมือนกันค่ะ
มาคอมเฟิร์มว่าสวยจริง ๆ เราเดินไปก็รู้สึกรักชาติยิ่งขึ้น ๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 92
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 93
ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ ภาพสวยมากๆ ตอนไปถ่ายภาพวัดราชบูรณะเหมือนกัน แต่ฟ้าไม่เปิดเลย อดไปวัดมหาธาตุเพราะเวลาจำกัด

หวังว่าน้ำคงไม่ท่วมอยุธยาปีนี้อีกนะคะ



ตอบกลับความเห็นที่ 93