TOEFL 80-90 GMAT 650+ within 3 Months

TOEFL คิดว่า น่าจะไม่มีปัญหา ฝึกทำโจทย์แต่ละพาร์ทให้คุ้นข้อสอบแนวนั้นมากกว่า เราได้ TOEIC 855 เมื่อปี 2009 (ไม่ได้เตรียมตัวเลย ตัดสินใจเที่ยงแล้วนั่งรถไปสอบรอบบ่ายเลย ยังไม่รู้ว่าข้อสอบมีกี่พาร์ทยังไงบ้าง)
และ ได้ TOEFL 93 เมื่อปี 2011 (เปิดๆดูข้อสอบบ้างอยู่สามสี่เดือน ประมาณว่าเดือนละ 1-2 ชม. แต่มาเตรียมสอบจริงๆ ก่อนสอบ 5 วัน โดยอ่านพาร์ทละวัน และวันสุดท้ายทำ simulator และไปสอบวันรุ่งขึ้น)
เลยคิดว่า จขกท ไม่น่าจะมีปัญหามาก อาจจะให้เวลา TOEFL ซัก ครึ่งถึงหนึ่งเดือน แล้วเอาเวลาไป focus ที่ GMAT อีกซักสองเดือนถึงสองเดือนครึ่ง น่าจะดีกว่า
ส่วนตัวเราคิดว่า GMAT สำคัญกว่า เพราะผู้สมัครทุกคนต้องยื่น TOEFL ยื่นแค่นักเรียนต่างชาติ

ทำได้แน่นอนครับ ดูจากคะแนน IELTS กับ TOEIC แล้ว

GMAT ถ้าเป็นคนเก่งเลขอยู่แล้ว คะแนน quant รับประกันได้เยอะแน่นอน เน้นฝึกไม่ให้โดนโจทย์หลอก หรือป้องกันสะเพร่า ส่วน verbal ก็อ่านและ review โจทย์เยอะหน่อย ปริมาณโจทย์ที่ทำก็สำคัญ แต่ไม่สำคัญที่สุด อ่าน GMAT ให้ถึง 100 ชม. รับรอง มีสิทธิ์ได้ถึง 700+ (ถ้าไม่ตื่นห้องสอบ)
คะแนนออกมาซัก Quant 47 Verbal 30 ก็ได้แล้ว 650 ซึ่งจริงๆ quant สามารถทำให้ถึง 50 ได้แบบไม่ยากเลย

ส่วน TOEFL ถ้าได้ TOEIC ระดับนั้นแสดงว่า reading กับ listening พื้นฐานดี อาจจะต้องเน้นฝึก writing กับ speaking หน่อย ให้เน้น writing มากกว่า เพราะทำคะแนน 25+ สำหรับพาร์ทนี้ได้ไม่ยากเลย
คะแนนออกมาซัก R26 L24 W25 S20 ก็ได้อย่างน้อย 95 คะแนนแล้ว

ขอแค่จัดตารางอ่านหนังสือให้ดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ

ถ้าอยากเน้นชัวร์ผมแนะนำว่า ให้สอบ GMAT 2 รอบ รอบแรกหลังจากผ่านไปเกือบสองเดือน ส่วนอีกรอบสมัครตอนเดือนที่สาม ส่วน TOEFL สอบรอบเดียวไม่น่ามีปัญหา ใช้การทำโจทย์จำลองเอาที่บ้าน แนะนำของ Cambridge http://www.amazon.com/Cambridge-Preparation-TOEFL%C2%AE-Test-CD-ROM/dp/0521755875/ref=sr_1_2?s=books&ie=UTF8&qid=1345399107&sr=1-2&keywords=cambridge+toefl มี test mode เหมือนจริงมาก ความยากใกล้เคียงกัน

อ่าน GMAT เอง 3 อาทิตย์ สอบครั้งแรก ได้ 680 ค่ะ แต่ full-time นะคะ
ถ้า จขกท. เก่งเลขอยู่แล้วไม่น่ามีปัญหาค่ะ :)
ทำแบบฝึกหัดเยอะ ๆ