ก่อยที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เค้าจะพัฒนา เค้าเคยเป็นประเทศกำลังพัฒนาแบบบ้านเราป่าวครับ แล้วค่าครองชีพเค

ไม่ดูอื่นไกลเอาแค่ในเอเซีย อย่างเกาหลี แต่ก่อนเค้าก็ยังไม่พัฒนา จนทุกวันนี้ ไปไกลไม่รู้เท่าไหร่ สมัยที่เค้ายังเป็นประเทศกำลังพัฒนา หรือเพิ่งเปิดประเทศ ค่าครองชีพเค้าสูงแบบนั้นเลยรึเปล่าคับ หรือ สมัยก่อนข้าวเค้าก้ชามนึง 30-40แบบเรา คืออย่างตอนนี้ 30บ้านเค้าซื้อลูกชิ้นได้ไม้เดียว

ความคิดเห็นที่ 1
รู้แต่ว่าตอนนั้น เคาอาศัยอยู่กรุงเทพ ข้าวจาน 15 บาท พิเศษ ยี่สิบ

สองปีที่ผ่านมา กลับไทย กินข้าวมันไ่ นิด เดียว 35 พิเศษ สี่สิบ โอววววว

บ้าน เราเจริญจริง เจริญด้านราคา อาหาร จนเราตกใจ คิดว่าแม่ค้าโกงเห็นเราเป็นกีะเหรี่ยงำูดไทยไม่ชัดหรือเปล่า


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ครับ ตกลง ความเจริญนี่ มันทำให้ของแพงขึ้นด้วยรึเปล่า เป็นไปได้มั้ยถึงจุดๆนึง เราเจริญถึงขนาดรายได้เท่า อเมริกา เงินเดือนขั้นต่ำเป็นแสน แต่ข้าวยัง30เท่าเดิมแบบทุกวันนี้


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
^
^

ความเจริญ ทำให้ของแพงขึ้นครับ แต่เป็นแค่ตัวแปรเดียว

มันยังมีเรื่องของการผูกขาด กฏหมาย และการบริหาร

ยกตัวอย่างเช่น ราคาอินเตอร์เน็ทในเมืองไทย นี่ถือว่าแพงมากเมื่อเทียบกับความเสถียรและความเร็ว

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมายังดีหน่อย

10 ปีก่อนหน้านั้นไปอีก อินเตอร์เน็ทชั่วโมงละ 20 บาทนะ เออ

ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
## ความเห็นนี้ถูกลบ ##
ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ผมมองว่าปัจจัยหลักของการพัฒนามันอยู่ที่ "ตัวคน" มากกว่านะครับ อย่างเรื่องของวินัย ความรับผิดชอบ ในส่วนของเรื่องค่าครองชีพ น่าจะเป็นอีกส่วนมากกว่า และทั้งสองอย่างนี้ต้อง balance กัน เพื่อนเศรษฐกิจจะได้ขับเคลื่อนไปอย่างสมดุล

ประเทศที่เค้าพัฒนาได้เร็ว เป็นเพราะว่า "คน" เค้ามีระเบียบ มีวินัยครับ พอ "คน" ส่วนใหญ่มีศักยภาพที่ดีแล้ว รัฐหยอดเงินไปนิดหน่อย เศรษฐกิจมันก็เดินได้ด้วยตัวของมันเอง ยิ่งหยอดเยอะ ด้วยประสิทธิภาพของคน (เฟือง) แล้ว มันยิ่งทำให้เศรษฐกิจรุดหน้าเค้าไปได้อีก ทำให้อัตราเงินเดือน + ค่าครองชีพ มันสมดุล

ส่วนประเทศที่ยังไม่พัฒนา ถ้า "คน" ยังต้องมานั่งแบมือขอตังค์จากรัฐบาล โดยที่ตัวเองไม่คิดทำอะไรเลย ตังค์หมด ก็ขอรัฐบาล อย่างงี้ต่อใหญ่หยอดเงินลงไปมากแค่ไหน มันก็เหมือนกับซึมหายไปกับตัวเฟืองแหล่ะครับ ไม่มี output อะไรออกมาเลย มีแต่จะทำให้เม็ดเงินที่หยอดลงไป (ซึ่งมันก็คือภาษีของพวกเรา) เสียทิ้งเปล่าๆ อีกทั้งยังสร้างความเคยชินให้ "คน" พวกนั้นอีก เพราะคนที่เป็นผู้หยอดนั้น ก็ไม่อยากหลุดจากเก้าอี้ อยากเป็นคนคุมการเงินของประเทศ ก็เลยหยอดเรื่อยมา โดยที่ไม่ได้สนใจว่าผลที่ตามมาเป็นยังไง

ผมไม่โทษคนนะ ผมว่า ประเทศที่ดี / ไม่ดี มันอยู่ที่นักการเมืองมากกว่า เพื่อนผมที่เป็นคนต่างชาติยังบอกเลยว่า ก่อนหน้านี้ เค้ามองประเทศไทยเป็นประเทศด้อยพัฒนามาก ย้ำว่ามากนะครับ เพราะภาพที่เค้าเห็น เค้ามองเห็นการทะเลาะเบาะแว้ง (เหลืองแดงตีกัน) นักการเมืองโกงกินจนติดอันดับ การดื่นสุรา การละเมิดลิขสิทธิ์ แต่พอเข้าได้เข้ามาเห็นกลุ่มคนที่เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว เค้ายังบอกเลยว่าฝีมือดีกว่าคนในประเทศเค้าอีก สิ่งเหล่านี้เค้าไม่เห็นเพราะภาพที่เค้ามองเค้ามองได้แต่เลเยอร์บนสุด ซึ่งก็คือ นักการเมือง เค้าเลยตัดสินประเทศจากตัวนักการเมืองเอง

ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ใช่แล้วครับ คุณ : Leviosa นักการเมืองนั่นแหละเป็นตัวสำคัญ ถ้านักการเมืองเลวประเทศชาติเดินหน้าไปยาก
ผมเพิ่งอ่านเมื่อเช้านี้เอง (จะกลับไปหาอีกไม่เจอว่าอยู่ไหน) ว่า สิงคโปร์จะร่ำรวยที่สุดและประเทศที่มาแรงได้แก่ ฮ่องกง เกาหลี อินโดเนเชีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน อินเดีย มาเลย์ ส่วนไทยเขาไม่พูดถึง


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
นึกไม่ออก มีทีไหนบ้าง
พอตั้งเป็นประเทศ รวยหรือมั่งคั่งทันที เหมือนลูกเศรษฐีได้รับมรดก
กว่าเขาจะอยู่กันอย่างสะบายอย่างที่เห็น ต้องฝ่าฟันกันมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า
บางประเทศ พัฒนาและก้าวหน้าไปอย่างพรวดๆ
ขณะที่บางประเทศ ไม่มีอะไรดีขึ้น ทำท่าจะถอยหลังเสียด้วย

ว่ากันว่า ตัวการที่ยื้อยึดฉุดกระชาก ความเจริญ หรือ พัฒนาการของประเทศ
คือ คอรัปชั่น ความขัดแย้งภายใน ภัยธรรมชาติ
และโครงสร้างพื้นฐานที่ด้อยคุณภาพ และประสิทธิภาพ
ผมว่า จริงอย่างที่เขาพูด

เห็นด้วยกับ ความคิดเห็นที่ 4 คุณอิสวาสุ
ว่า คนจนจะขาดแคลนอาหาร
ซึ่งก็จริงอีก ถ้าไม่มีเงินแล้ว จะไปซื้อหาอะไรมากินได้
แต่ถ้ามีเงิน ซื้อล็อบสเตอร์มากินเสียบ้าง จะเป็นอะไรไป


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
เห็นด้วยกับความคิดเห็นของคุณอิวาสุนะคะ

เนื่องจากราคาน้ำมันแพง พื้นที่ปลูกพืชผักเพื่อเป็นอาหารกลายเป็นปลูกพืชเพื่อพลังงาน
คนจนที่ไม่สามารถปลูกกินเองได้จะลำบากรวมไปถึงคนชั้นกลางด้วย

ในขณะที่คนรวยจะรวยยิ่งขึ้น เพราะสามารถผูกขาดการค้า เก็งกำไร
หรือมีพลังต่อรองเพิ่มขึ้น ที่จะเพิ่มช่วงของกำไร ที่แน่ ๆ คือ
กลุ่มคนรวยกับกลุ่มนักการเมืองมักจะร่วมมือกัน หรือจะเรียกได้ว่าเอื้อประโยชน์กัน

สำหรับคำถาม ต้องตอบว่า เคยกันทั้งนั้น เพียงแต่สมัยที่เขายังไม่พัฒนา
คือ ยังใช้สัตว์เป็นพาหนะ ระบบการปกครองก็จะเป็นแบบทางดิ่ง ส่วนมากจะขวา อนุรักษ์นิยม
พอพัฒนาไปเรื่อย ๆ หมายถึงประดิษฐ์คิดค้นอะไรมาเพิ่ม ทำมาค้าขายจากในเป็นนอกประเทศ
การให้การศึกษาก็จะกระจายลงไปสู่คนในวงกว้างมากขึ้น ระบบการปกครองก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแนวระนาบขึ้น สิทธิความเสมอภาคก็จะเพิ่มขึ้น คนจากอนุรักษ์ก็จะค่อย ๆ มาทางเสรีนิยม มาทางซ้าย

ศิลปะที่เคยได้รับการเกื้อหนุนจากกลุ่มคนร่ำรวยหรือเรียกว่าชนชั้นสูงก็ขยายไปสู่ศิลปะมวลชน ที่เรียกว่า pop culture จากที่กฎหมายเคยลงโทษหนัก ๆ เช่น ประหารชีวิต ก็จะเหลือแค่จำคุกไม่เกินสิบสองปี ไม่มีโทษประหาร หรือจากที่คนลงโทษไม่เห็นใจคนทำผิด ก็จนพัฒนามาถึง เข้าอกเข้าใจอดีตปูมหลังและสภาพจิตใจของผู้กระทำความผิด

จากที่มองแต่ตัวเรา ก็จะมองออกไปถึงผู้อื่นที่อยู่ทวีปอื่น และไปไกลถึงสิ่งแวดล้อม และสัตว์อื่น ๆ ที่ใช้บ้านที่เป็นโลกใบเดียวกันกับเรา

เรื่องราคาสินค้า มันต้องสัมพันธ์กับราคาค่าจ้างขั้นต่ำ
ถ้าไม่สัมพันธ์กัน ปัญหาสังคมจะตามมามากมาย
ประเทศที่พัฒนาที่เขาจ่ายภาษีสูง ส่วนหนึ่งก็คือ
การจ่ายความช่วยเหลือคนอื่นที่ในที่สุดก็จะย้อนกลับมาช่วยเขาเอง
ไม่งั้นเวลาเขาเดินออกนอกบ้าน ก็จะต้องคอยระวังภัยทุกฝีก้าว
หรือไม่ ประตูหน้าต่างก็ต้องติดกรงเหล็ก ติดรั้วไฟฟ้า รถติดกระจกกันกระสุน
พูดง่าย ๆ ภาษีที่สูงส่วนหนึ่งคนเขาก็คิดว่าเหมือนเขาทำการบริจาคการกุศล
ซึ่งรัฐท้องถิ่นก็นำไปช่วยคนชรา คนจน คนพิการ ให้ท้องถิ่นมีโรงเรียน มีความสะอาด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนทำหน้าที่เป็นคนกลาง หรือที่เรียกว่ารัฐ ก็ต้องทำหน้าที่ได้โปร่งใส
ก่อนที่เขาจะพัฒนา เขาก็มีเหมือนกันที่เอาพรรคพวกเพื่อนฝูงคนรู้จัก มานั่งทำงาน
ในออฟฟิคกัน แต่ที่เขาพัฒนา เพราะเขาเห็นว่า มันไม่ดี มีปัญหา ... เขาก็เลิก

ปัญหาที่ประเทศพัฒนายาก ก็มีหลายปัจจัย ง่าย ๆ ก็คือ ความรู้ เป็นเบี้องต้น
ความรู้ที่ว่านี้ มิใช่ความรู้เพื่อทำมาหากินอย่างเดียว คือ รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
รู้ผิดชอบชั่วดี และสำคัญมาก ๆ ที่รู้ที่จะยอมรับผิด และปรับปรุง จึงจะเกิดการพัฒนา
ไม่อย่างงั้น ก็เถียงกัน ทะเลาะกัน ... จนเกิดการแย่งชิงกันแบบสงครามกลางเมือง


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
อิอิ
วันนี้ผมไปซื้อ Lobster มาอีก 10 lbs ราคาทั้งหมด $29.90 คงต้องกินไปอีกนานเพราะกินคนเดียว
คุณ : newcomer (gpvtu2009) ผมขอขยายความนิดหนึ่ง ที่ผมว่าคนจนขาดแคลนอาหาร หมายถึงราคาอาหารจะแพงขึ้นมากครับ คนที่ไม่สามารถจะซื้อได้มีมากขึ้นทั่วโลก ไม่ทราบว่าคุณทราบหรือไม่ รัฐบาลอเมริกาเขาจ้างเกษตกรไม่ปลูกพืช คือจ่ายเงินให้แต่ต้องปลูกพืชในจำนวนจำกัดเหลือที่ดินไว้ว่างเปล่าหรือปลูกได้เฉพาะหญ้า พื่อพยุงราคาไว้ให้ไม่ตกต่ำ ถ้าอยากอ่านเพิ่มเติมก็ลองหา Farm subsidiary ได้ครับ (ผมทราบมาจากฟาร์เมอร์โดยตรง)

คุณ : บีพี ที่ว่ากลุ่มคนรวยกับกลุ่มนักการเมืองมักจะร่วมมือกัน แน่นอนอยู่แล้วครับ แต่ยังขาดอยู่อีกกลุ่มหนึ่งคือศาสนาหรือพวกที่ใช้ศาสนาทำธุรกิจ ทั้งโลกมีสามกลุ่มใหญ่เท่านี้แหละครับที่ทำให้โลกปั่นป่วนในปัจจุบัน


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
ผมเคยคิดว่าไทยเราเจริญ


พอไปสิงค์เห็นคนที่นั่นทำงาน
ไปมาเลเห็นคนที่นั่นทำงาน
ไปจีนเห็นคนที่นั่นทำงาน

เห็นแล้วบอกได้เลยว่า
รัฐบาลล้วนๆ ครับ
คนจะมีการศึกษาหรือไม่มี ก็รัฐ
ระบบขนส่งมวลชน ก็รัฐ
เศรษฐกิจที่ดี ต้องมีการควบคุม ก็รัฐ
ถ้ารัฐไม่ดี โกงกิน ว่ากันง่ายๆ ว่า รัฐไม่มีการศึกษา
ประเทศก็ซวยทั้งประเทศครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
คนทุกประเทศเกลียด รัฐบาลทั้งนั้น แต่คนไทย รังเกียจ รัฐบาลไทย
ตอนนี้เห็นคนพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเมืองหนังสือโลก
ฟังแล้วมันคงต้องเป็นประเทศที่เจ๋งมากๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 11