ประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่านักเรียน อเมริกา ไม่ยากอย่างที่คิด ;)

ตั้งแต่เด็กจนโต มีแต่คนบอกเราว่า จะไปเรียนเมืองนอก โดยเฉพาะที่อเมริกาอ่ะ ยากจะตาย ต้องมีเงินโชว์เป็นล้านเลยนะ และไม่ใช่ว่า มีเงินเป็นล้านแล้วจะไปได้อีก แหนะ....

แล้วลูกข้าราชการอย่างเราจะได้ไปเรียนต่อไหมล่ะ ชาตินี้.... เราก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะคิดว่าคงไม่มีวันที่เราจะได้ไปหรอก ได้แต่ตื่นเต้นที่เห็นเพื่อนๆ ที่มีพ่อแม่รวยๆ ทำธุรกิจส่วนตัว ส่งลูกไปเมืองนอกทุกปิดเทอมเป็นว่าเล่น ซึ่งตอนนั้นเราก็มีแต่เพื่อนๆ รวยๆ แบบนั้นเยอะด้วยสิ จนรู้สึกน้อยใจครอบครัวตัวเองเหมือนกัน

วันเวลาผ่านไป 10 กว่าปีเห็นจะได้ ก็มาถึงวันที่เราจะได้ลองทำเอกสารไปสัมภาษณ์วีซ่านักเรียน ของอเมริกากับเค้าบ้าง เงินโชว์ก็ไม่ถึงล้าน.... การเงินของที่บ้านก็แค่โอเคเฉยๆ ไม่ได้หวือหวาอะไรเลย โชคดีแค่พ่อกับแม่รับราชการ มีเงินสะสมในรูปของหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเท่านั้น แถมมีรวมๆ กันยังไม่ถึงล้านอีกแหนะ.... จะรอดไหมเรา แอบคิดในใจ

แล้ววันสัมภาษณ์ก็มาถึง.... เค้าประกาศให้เราเดินไปต่อแถว เพื่อรอสัมภาษณ์ วันนั้นมีแถวเดียวแต่รอสัมภาษณ์ 2 ช่อง ช่องแรกเป็นชายอเมริกัน ผิวขาว หน้าตาใจดี สัมภาษณ์เร็วมาก ใครสัมภาษณ์ช่องนี้ เห็นยิ้มออกมาแทบจะทุกคน แสดงว่าต้องผ่านชัวร์ กับอีกช่องเป็นหญิงชาวอเมริกัน ผิวขาว หน้าตาสวย แต่ดูดุนะ หน้าตาจริงจังมาก ใครสัมภาษณ์กับเธอแล้วล่ะก็นานเลยล่ะ อีกช่องผ่านไป 3-4 คนแล้ว ช่องของเธอยังแค่คนเดียวอยู่เลย แถมไม่ผ่านอีกอือ! ภาวนาเลยแล้วกันว่าอย่าได้ช่องนั้นเลย..... แล้วคำภาวนาก็เป็นจริง!!!! ได้ช่องนั้นเฉยเลย

เมื่อเธอสัมภาษณ์คนก่อนหน้าเราเสร็จแล้ว เธอก็หันมายิ้มให้เรา แล้วก็ทำหน้าเหมือนจะบอกให้รู้ว่า "มาทางนี้เลย หึหึ แกตายแน่!!!!" เราเห็นก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับไป แล้วเดินอย่างช้าๆ ตรงไปที่ช่องของเธออย่างจำใจ -*-

เจ้าหน้าที่: Good morning
เรา: แหะๆ Good morning (อันนี้เราหัวเราะ แหะๆ จริงๆ เลยนะ 5555)

ต่อไปนี้จะเป็นการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ แต่เราขอแปลเป็นไทยเลยนะคะ ^^

เจ้าหน้าที่: จะไปทำอะไรที่อเมริกาค่ะ
เรา: ลงเรียนคอร์สสั้น เรียนภาษาค่ะ (อะไรก็ไม่รู้ เรียงมัวไปหมด ที่ท่องจำมาสองสามวัน ลืมหมดดดด จริง! -*-)
---- หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ตรวจเอกสารของเรา -----
ก่อนจะถามต่อว่า....

เจ้าหน้าที่: แล้วจะไปนานแค่ไหนค่ะ
เรา: เราลงไป 3 เดือน แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ดูก่อนว่าชอบไหม ถ้าชอบอาจจะอยู่ต่อ
(อาววว.... ตอบอะไรของกรูเนี่ยยย >> ขอใช้คำหยาบเลยนะคะ เพราะตอนนั้นคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะที่เราอ่านเตรียมไปเนี่ย ให้ตอบสั้นๆ อย่าตอบอย่างลังเล อะไรแบบนั้น) หลังจากตอบแบบนั้นไป เราก็ได้ทำหน้ามึนๆ ไปเลย ในขณะที่เจ้าหน้าที่สวยพิฆาตยิ้มออกมาอย่างพอใจ พอใจยังไงก็ไม่รู้นะคะ ตอนนั้น เดาไม่ถูกเลย เครียด -*-

เจ้าหน้าที่: แล้วมีแผนในอนาคตว่าอย่างไงบ้าง ต่อไปจะทำอะไร
เรา: วางแผนกับที่บ้านว่าจะเปิดโรงเรียนสอนภาษาเล็กๆ ที่บ้านเกิด หลังจากกลับมาแล้วค่ะ

เจ้าหน้าที่: เมื่อก่อนทำงานอะไรค่ะ
เรา: เจ้าหน้าที่มาร์เก็ตติ้ง ของ.....
เจ้าหน้าที่: โอวว... ทำมานานแล้วหรือยังค่ะ
เรา: 10 เดือนค่ะ
แล้วเจ้าหน้าที่ก็หาใบรับรองการทำงานของเรา เจอที่หน้าสุดท้าย แล้วก็อุทานขึ้นมาว่า "อ่าา เจอแล้ว อืมม...."

เจ้าหน้าที่: แล้วใครเป็นสปอนเซอร์ค่ะ
อันนี้เราลืมยื่นเอกสารของสปอนเซอร์ค่ะ เราก็เลยยื่นผ่านช่อง พร้อมบอกว่า....
เรา: พ่อกับแม่ค่ะ
เจ้าหน้าที่: แล้วพวกท่านทำงานอะไรค่ะ
เรา: รับราชการค่ะ
เจ้าหน้าที่: เป็นครูหรอ
เรา: พ่อเป็น ผอ. โรงเรียนค่ะ ส่วนแม่เป็นรองฯ ผอ. แต่ทำงานกันคนละโรงเรียนนะคะ
เจ้าหน้าที่: อ่าาา โอเคค่ะ สแกนนิ้วโป้งขวามือนะคะ
เราก็สแกนตามที่บอก เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็ยื่นใบสีฟ้าให้เราแล้วพูดว่า....
เอาใบนี้ไปจ่ายที่ไปรษณีย์นะคะ (พร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ ให้เราอีกครั้ง)
เรา: ว้าว.... ขอบคุณมากเลยคะ (อันนี้เราพูดไทยเลย)
เจ้าหน้าที่ฟังก็ยิ้ม และพยักหน้าตอบรับ ส่วนเราก็ไหว้งามๆ อีกครั้งก่อนเดินออกมาค่ะ

สรุปว่า.... ก็ผ่านไปได้ด้วยดี กำลังรอลุ้นว่าจะได้วีซ่านานเท่าไหร่อยู่ค่ะ โดยที่เราเองก็ยังมึนๆ งงๆ เหมือนกัน มารู้สึกตัวว่าดีใจก็ตอนเย็นวันนั้นแหละค่ะ (ความรู้สึกช้ามาก สัมภาษณ์เสร็จ 9 โมงเช้า แต่มารู้สึกดีใจตอนนั่งอยู่คนเดียว หลังเที่ยงคืน 5555)

..........................................................................
จริงๆ แล้วจะว่ายาก ก็ยากนะคะ จะว่าง่ายก็ง่ายเหมือนกัน
แต่เรื่องนี้ เราผ่านมาได้ ส่วนหนึ่ง ถือว่าเป็นส่วนใหญ่เลยก็คือ พ่อกับแม่ค่ะ เป็นเพราะว่าพ่อกับแม่รับราชการ เรื่องเงินเจ้าหน้าที่ก็แค่ดูผ่านๆ นะ แต่ก็คงตรวจสอบดูแล้วล่ะว่า มันน่าจะพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่นู้น (เดี๋ยวอันนี้เราจะมาแจงอีกทีค่ะ)

แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราสามารถลบปมด้อยสมัยเด็กที่แอบน้อยใจที่พ่อกับแม่รับราชการ ทำให้ไม่รวยเหมือนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ไหนได้ล่ะ สิ่งที่เราแอบน้อยใจนั้นกลับเป็นตัวช่วยให้เราผ่านวีซ่าสุดหินนี้มาได้ ในขณะที่คนอื่นๆ ก่อนหน้าเราที่บ้านเค้าทำธุรกิจส่วนตัวกัน และดูรวยจริงนะคะ กลับต้องนั่งอธิบาย ยื่นเอกสารมากมาย ให้เจ้าหน้าที่ดู แต่เรื่องนี้นะ ลูกข้าราชการอย่างเราผ่านฉลุยเลย เย้!!!!

ภูมิใจที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่ และภูมิใจที่พวกท่านรับราชการค่ะ

ความคิดเห็นที่ 1
การเตรียมตัวก่อนสัมภาษณ์....
อันนี้เราอ่านๆ มา แล้วทำตาม แล้วเราคิดว่า มันจริงอย่างที่ท่านอื่น ได้กล่าวเอาไว้นะคะ ในเรื่องการเตรียมตัวสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา

1. เรื่องการแต่งกาย เราใส่สูท จัดเต็ม เหมือนตอนที่ต้องออกไปทำงานกับสื่อ คือ ต้องดูดีตั้งแต่ทรงผม หน้าตา เครื่องแต่งกาย ยันรองเท้าเลยค่ะ แล้วทั้งแถวเรา เค้าใส่กางเกงยีนส์กันไปส่วนใหญ่นะ เราจะเห็นได้เลยว่า เค้าจะมองเราแตกต่างเลย อันนี้เรื่องจริง คือ เราสังเกตเห็นของคนอื่น เจ้าหน้าที่เค้าก็คุยเฉยๆ ส่วนของเราเค้ายิ้มให้ด้วยท่าทางที่เป็นมิตรมากกว่า และการแต่งกายที่ดูดี ก็ย่อมมีความคาดหวังว่าเราต้องพร้อมเหมือนกัน อย่างคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่จะเริ่มพูดด้วยภาษาไทย ยิ่งบางคนเจ้าหน้าที่ถามเลยว่า นี่พูดภาษาอังกฤษสักนิดก็ไม่ได้หรอ จะไปเรียนได้ยังไง ส่วนของเราคำแรกก็ภาษาอังกฤษเลยคะ เราไม่รู้ว่ามีส่วนมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่สังเกตเราว่ามันมีผลจริงๆ นะ

อันนี้บางคนอาจจะไม่เป็นก็ได้ แต่สำหรับเรา ถ้าเราได้แต่งตัว แบบจัดเต็ม เรามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น มาก เลยล่ะคะ ^^

แต่บางท่านแนะนำเราว่า แต่งไปยังไงก็ได้ ที่ไม่ทำให้เค้าคิดว่าหน้าอย่างเราจะกล้าไปทำงานร้านอาหารไทยอ่ะนะ

2. การแสดงให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่า คุณจะกลับมาจริงๆ อย่างการที่ให้พ่อแม่เป็นสปอนเซอร์ ก็ช่วยให้ดูว่า เรามีความผูกพันธ์กับครอบครัวของเรานะ ยังไงก็คงกลับมาแน่นอน เรามีเขียนแผนอนาคตด้วยว่า จะกลับมาทำอะไร นอกจากนี้เราก็ได้เขียนเหมือนกันว่า ได้ออกจากงานมาอยู่กับที่บ้าน เพราะคิดว่าต่อจากนี้จะหางานทำที่บ้านเกิด ไม่อยากอยู่ห่างพ่อแม่แล้ว อยากดูแลท่าน (ก็เรื่องจริงส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งคือ อยู่กับพ่อแม่แล้ว สบายทั้งเรื่องที่กินที่อยู่ด้วยนั้นเอง 5555)

3. เรื่องของค่าใช้จ่าย เรามีทั้งส่วนของเงินโชว์ ก็โชว์อย่างเดียว เงินที่จะเตรียมตัวไป ก็อีกก้อนหนึ่ง แยกกันเลย ซึ่งนั้นทำให้เราพอที่จะอยู่อเมริกาจนจบคอร์สและได้ใช้เงินประมาณเดือนละ หนึ่งแสนบาท ซึ่งคิดว่าน่าจะพอ เจ้าหน้าที่ก็เลยไม่ได้ถามหรือติดใจอะไร ซึ่งของเรา เจ้าหน้าที่ไม่ถามเรื่องเงินเลยคะ ^^

4. ความมั่นใจและภาษา ถึงแม้คำตอบที่เราเตรียมไป มันจะไม่ได้ใช้ก็ตาม เพราะตื่นเต้น แต่คำตอบของเราก็ตอบมาด้วยความมั่นใจ บวกกับแววตาและรอยยิ้มด้วย อันนี้สำคัญนะคะ เวลาตอบคำถาม อย่าลืมมองหน้าเจ้าหน้าที่ด้วย ยิ้มพอเป็นพิธี ไม่ใช่ยิ้มเหมือนคนบ้านะ ส่วนของเรา โชคดีที่เราพูดภาษาอังกฤษได้ เราไม่ได้เรียนจากไหนนะคะ ฝีกเองจากดูหนังอเมริกันซีรี่ย์ กับมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติทั้งอังกฤษและอเมริกา แต่ถ้าถามว่า งี้คนที่ไม่มีเพื่อนเป็นฝรั่งก็แย่สิ ไม่แย่นะ!!!! เราอ่ะ ดูหนังซีรี่ย์เยอะมาก ดูจนพูดได้ จากนั้นเราก็เลยได้เพื่อนฝรั่งมา เพื่อนฝรั่งเรายังถามเลยว่าทำไมภาษาดี เรียนมาหรอ เราบอกว่าเปล่า 5555 เราแค่บ้าดูซีรี่ย์เท่านั้นเอง

5. ความพร้อมของเอกสาร ต้องครบ และถ้าถามถึงที่มาที่ไป ต้องตอบได้ อันนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องการเตรียมเอกสารนะ เพราะคิดว่าสามารถหาได้จากเพื่อนๆ หลายท่านที่ได้ทำตัวอย่างเอาไว้ดีแล้ว ส่วนที่บอกว่าต้องสามารถตอบคำถามในเอกสารที่ยื่นไปได้นั้น เรามีตัวอย่างของเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่สามารถตอบได้ว่า ทำไมเงินจำนวนนี้คืออะไร มาจากไหน ยังไง ซึ่งเพื่อนเราก็ตอบไม่ได้ เพราะบัญชีเป็นของพ่อแม่ และไม่ได้เตรียมตัวมา เห็นแค่ว่าเงินน่าจะมากพอ ก็เลยไม่ได้คิดอะไร กลายเป็นว่า เจ้าหน้าที่ขอนัดดูเอกสารเพิ่มเลย ดังนั้น เราเห็นว่า เอกสารที่เพื่อนๆ จะเตรียมตัวนำไปสัมภาษณ์นั้น เพื่อนๆ อย่าลืมทำความเข้าใจกับตัวเอกสารกันด้วยนะคะ

โดยรวมเราว่า น่าจะมีแค่นี้ ยังไง ใครสงสัยอะไร ยังไง สอบถามมาได้นะคะ
ถ้าสามารถตอบได้ เราก็จะช่วยตอบค่ะ

ขอให้เพื่อนๆ ทุกคนโชคดีมีชัย กับการสอบสัมภาษณ์วีซ่านักเรียนอเมริกานะคะ
ขอบคุณค่ะ

ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
เราก็ไปสัมภาษณ์วันนี้เหมือนกันจ้า ได้คนเดียวกันเลย ที่สวยๆโหดๆ ดูจริงจัง
แต่ก็ผ่านเหมือนกันจ้า ^_^


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
เข้ามาบอกว่า ขอแสดงความยินดีกับนายอีกครั้งน้า

ฮูเล่ ขอให้ได้ 5 ปี เหมือนกันนะจ๊ะ แล้วเจอกันที่โรงเรียนจ้า ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
ขอบคุณ จขกท ที่มาเล่าให้ฟัง
ช่วยบอกเพิ่มเตืมหน่อยนะ ว่าเรียนจบอะไร เมื่อไร แล้วทีบอกว่า ทำงาน ๑๐ เดือน มาร์เก็ตติ้ง เกี่ยวกับอะไร เงินเดือนประมาณเท่าไร ใช้ Bank Statement ของพ่อแม่หรือเปล่า ประมาณเท่าไร มีหนังสือรับรองเกี่ยวกับพ่อแม่หรือเปล่า พอได้หนังสือเดินทางคืนก็ช่วยบอกว่า ได้ วีซ่ากี่ปี
แบบนี้ คิดว่าคงมีประโยชน์มากขึ้น ขอบคุณนะ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
เห็นด้วยกับคุณ ธนิตา มากๆ เลยครับ

เพราะเห็นเกือบทุกท่านเลย ตรงข้อมูลสำคัญมักจะ "..." กัน

เช่น เคยทำงานที่ไหน - ถ้าบอกชื่อเลยได้ก็น่าจะบอก ถ้าบอกไม่ได้ก็อาจจะ ระบุไปว่าเป็นบริษัทข้ามชาติ, บริษัทไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์, บริษัทดำเนินธุรกิจประเภทไหน เงินเดือน จำนวน statements ที่ยื่น เป็นต้น

ถ้าทุกท่านให้ข้อมูลพวกนี้ (รวมทั้งคนที่สัมภาษณ์ไม่ผ่านด้วย) แล้วเอาไปทำเป็นสถิติดีๆ ทดสอบความสัมพันธ์เป็นเรื่องเป็นราว น่าจะมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นครับ


แต่ยังไงก็ขอขอบคุณ จขกท. และท่านอื่นๆ ที่เข้ามาแบ่งปันครับผม ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
@NuPriowKa ยินดีด้วยนะคะ ได้คนเดียวกันเลย ลุ้นๆๆ ขอให้ได้ 5 ปีนะ อิอิ

@Min Cheon~* 5555 ขอบใจมากจ๊ะ รอลุ้นให้ได้ 5 ปีเหมือน ลุ้น 5 ปี แต่อยู่ถึงหรือเปล่านิสิ อีกเรื่อง 5555 แล้วเจอกันที่โรงเรียนนะ

ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
@คุณ ธนิตา และ คุณ AlleluiA เรื่องบริษัทอาจจะบอกไม่ได้ แต่คิดว่าน่าจะเดากันได้ค่ะ

เราขอบอกรายละเอียดเพิ่มเติมนะคะ ไว้เป็นแนวทางให้คนที่กำลังจะทำเรื่องไปเรียนต่อได้ทราบค่ะ ^^

- เราเรียนจบ ตรีที่ ม.ธรรมศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 2 (ได้ข่าวว่ามีผลให้กับการยื่นขอวีซ่าเหมือนกันค่ะ)
- เรียนจบมาได้ 3 ปี แล้ว
- ทำงาน 3-4 ที่ เข้าออก สลับกับไปต่างประเทศบ้าง
- ประเทศที่เคยเดินทางไป มีญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอังกฤษ
- งานล่าสุดที่สัมภาษณ์ ว่า ทำงาน 10 เดือน มาร์เก็ตติ้ง ของ ศูนย์การค้าชื่อดัง มีหลายสาขา ทั่วประเทศค่ะ
- เงินเดือนประมาณ 15,000 ยังไม่รวมสวัสดิการพิเศษต่อเดือน และต่อปีค่ะ แต่ไม่ได้โชว์ของตัวเองค่ะ ใช้ของพ่อแม่อย่างเดียวเลย
- ใช้พ่อกับแม่เป็นสปอนเซอร์ รับราชการทั้งคู่ ต้องมีหนังสือรับรองอยู่แล้วค่ะ โชว์ตำแหน่ง เงินเดือน เงินพิเศษ รวมๆ แล้วตกที่ประมาณ แสนกว่าๆ ต่อเดือนค่ะ
- เงินโชว์ ใช้หุ้นสหกรณ์โชว์ค่ะ มีแค่ ห้าแสนบาท
- เงินอีกก้อนที่โชว์ว่าจะเอาไปใช้ที่นั้น สี่แสนบาทค่ะ

ส่วนได้วีซ่ากี่ปียังไม่ทราบค่ะ กำลังรอลุ้นอยู่

ประมาณนี้แหละค่ะ สอบถามมาอีกได้นะคะ จะได้เป็นข้อมูลและแนวทางให้คนที่กำลังเตรียมตัวจะไป ได้ไปกัน

ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
ขอบคุณ ที่บอกเพิ่มเติม
เห็นอบอกว่า วางแผนกับที่บ้านว่าจะเปิดโรงเรียนสอนภาษาเล็กๆ ที่บ้านเกิด หลังจากกลับมาแล้ว
ตกลง จบ ป ตรี สาขาอะไร และ ที่ทำงาน มาร์เก็ตติ้ง ของ ศูนย์การค้า หมายถึง หาลูกค้าให้เช่า หรืออะไร
ขอบคุณนะ


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
@คุณธนิตา ^^
เราจบสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ค่ะ แต่ที่บ้านเคยเปิดเป็นติวเตอร์เล็กๆ เมื่อก่อนแม่รับสอนภาษาอังกฤษค่ะ เราเลยได้ช่วยบ้าง เคยสอนด้วยเหมือนกัน แต่ทำที่กรุงเทพ เป็นสอนตัวต่อตัว คิดราคาเป็นชั่วโมงค่ะ

ส่วนเรื่องงาน เราทำมาร์เก็ตติ้งออนไลน์ค่ะ ดูแลทุกสาขาในเครือเลย ไม่ว่าจะในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่ในส่วนของหาลูกค้ามาเช่าพื้นที่ค่ะ ตรงนั้นไม่เกี่ยวกับของฝ่ายมาร์เก็ตติ้งเลย แต่ชอบมีคนมาถามเราเรื่องเช่าพื้นที่ประจำ 5555 เราทำในส่วนของสำนักงานใหญ่ โปรโมทงานอีเว้นท์และแคมเปญต่างๆ ของศูนย์ค่ะ เป็นรายละเอียดคราวๆ ของงานเรานะค่ะ

ขอบคุณค่ะ ^^

ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
ยินดีด้วยนะครับ :)


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
เงินเดือน 2 ท่านแสนกว่า ถ้าเทียบเป็นครอบครัวแล้วไม่เยอะเลยและมีเงินเก็บไม่ ถึงล้านแสดงว่ารายจ่ายเยอะมาก

เรียนจนให้เป็นครูสอนได้ไม่น่าจะพอ



ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ผมว่าบางคนก็วิจารณ์เกินไป ถามมากยิ่งกว่าเจ้าหน้าที่ถาณทูติถามซะอีก แต่ก็ความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละคนก็ว่ากันไป ยังไงก็ขอบคุณเจ้าของกะทู้ที่มาแชร์นะครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 12