มีใครตามแฟนไปอยู่เมืองนอกบ้างครับ

แฟนผมเป็นผู้หญิงนะครับ ใครเคยมีประสบการบ้างครับ ผมทิ้งงานที่เมืองไทยเพื่อไปหางานที่นู้นครับ
ดูเป็นการกระทำที่คิดน้อยมากๆครับ แต่ผมอยากอยู่ใกล้เธอ เธอก็สนับสนุนนะ แต่ผมไม่อยากรบกวนเธอครับ

ขอคำแนะนำหน่อยครับ

ความคิดเห็นที่ 1
ผมก็เหมือนกันครับ ภรรยาเป็นข้าราชการที่่บ้านไม่ยอมให้ลาออกไปอยู่กับผมที่่ไทย
ผมก็จำยอมมาที่่นี่ไม่งั้นที่่บ้านแฟนไม่ให้แต่ง ช่วงแรกเหนื่อยตอนนี้อยู่ตัวแล้วตามอัตภาพครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ผมเป็นหนึ่งในนั้น ตอนอยู่ที่เมืองไทยผมมีหน้าที่การงานดีมาก เงินเดือนเกือบสองแสนบาทเมื่อประมาณสิบหกปีก่อน เยอะนะครับ มีรถประจำตำแหน่ง คนขับรถ มีสังคมเพื่อนฝูงเยอะแยะ เรียกว่าในแต่ละวันแทบไม่มีเวลาว่างเลย

แฟน(ภรรยา)ได้รับการเสนองานที่ดีมากในต่างประเทศ เป็นงานที่เธอใฝ่ฝันมานานและไม่มีงานประเภทนี้ในเมืองไทย เพราะความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจสาขานี้ในเมืองไทยยังล้าหลังมาก จริงๆเธอก็มีเงินเดือนที่สูงอยู่แล้ว แต่ผมว่าเป็นที่ชะตาฟ้าลิขิต จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ชีวิตมักมีเหตุให้เป็นไปตามนั้น เอาเป็นว่าเราไปที่ประเทศนั้นประมาณสามสี่ปีแล้วก็ย้ายมาอยู่อเมริกาอีกสิบสองปี ทุกวันนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว เป็นคนอเมริกันมาพักใหญ่ๆแล้ว นิสัยและทัศนคติ ค่านิยมมองเหมือนคนอเมริกันชั้นกลางที่นี่แล้ว กลับไปเมืองไทยอยู่ไม่ค่อยได้ ญาติไม่ค่อยชอบเพราะไม่ให้เขายืมเงิน(ขอเงิน) ซึ่งญาติประเภทนี้มีมากเหลือเกิน เฮ้อ คนสมัยนี้ เขาขอเงินกันไม่มียางอายเลย

ถ้าได้มาจริงๆ ช่วงสองสามปีแรกคนเป็นเรื่องใหญ่ ต้องตั้งหลักปักฐานให้ได้ อย่าคิดว่าจะมาแล้วสบาย ตัวผมเองอะไรไม่เคยทำ แต่ได้ทำหมดแล้วที่นี่ ล้างส้วม ถูบ้านเช็ดรถ ซ่อมบ้านทำกับข้าว ซ่อมไฟซ่อมน้ำ โอ๊ย จิปาถะ แต่เชื่อเถอะ ชีวิตมันมีความสุขมากมายเลย มานั่งดีใจว่ามัดีกว่าอยู่ในโลกของสังคมจอมปลอมที่เมืองไทย ทำตัวหรูหราใช้ของแบรนด์เนม เป็นมาหมดแล้ว คุณค่าเทียบกันไม่ได้กับการหั่นหมูหั่นผัก ทำกับข้าว กินข้าวกุ๊บกิ๊บกับภรรยาและลูกๆทุกๆวัน ไม่เคยทำไม่รู้ เงินซื้อไม่ได้ครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
เห็นด้วยกับคห 2 ค่ะ สังคมไทยตอนมีแต่ค่านิยมการใช่ของฟุ่มเฟือย ใช้ของแบรนด์เนม เป็นหนึ้เป็นสิน มีอะไรใหม่ๆมา คนไทยพร้อมที่จะรับเข้ามาใช้หมด


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
ไม่เป็นการกระทำที่คิดน้อยเกินไป หรอกค่ะ คุณจขกท.

ขอยืมคำพูดคนใกล้ตัวมาสนับสนุนความคิดคุณแล้วกันว่า อะไรๆที่สมองสั่งให้ทำ มักต้องมีเหตุผลที่ดีมารองรับเสมอ ส่วนอะไรๆที่หัวใจสั่งให้ทำ ไม่จำเป็นต้องหาเหตุและผล (ประโยคอาจไม่สละสลวยแปลมาอีกที)


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ถ้าแฟนคุณแค่ไปเรียน
ถ้าคุณทำงานที่ชอบ มีความก้าวหน้าอยู่เมืองไทย
ก็ควรไปเรียนต่อ
หรือไปทำงานสายเดิมที่ประเทศนั้น
หรือทำงานที่เมืองไทยรอแฟนคุณกลับมา

ไม่ควรไปทำงานblue-collar เพราะหากเลิกกันคุณจะลำบาก

ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ยินดีด้วยกับ คห.2 นะ น้อยนักจะได้อ่านความคิดเห็นแบบนี้จากผู้ชาย(ไทย)สักคน

.


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ยังไม่ได้เดินทางไปใช่มั้ยคะ?

แนะนำให้หางานทางโน้นให้ได้ก่อนนะ เพราะถ้ายังหางานไม่ได้ แฟนคุณตามไปด้วยอีกคน แล้วไปตกงานกันทั้งคู่ จะลำบากมากมายเลย อย่างเรารู้จักคนไทยที่เขามาทำงานที่ออสฯ ขนาดจบโทจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของออสฯ เขาใช้เวลาสองปีในการหางานค่ะ ช่วงก่อนที่จะได้งานก็ลำบากอย่างมาก แม้จะมีเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพราะได้พีอาร์ แต่ความที่เขาเป็นคนทำงานมาตลอด นอกจากพยายามหางานแล้ว มันมีเวลาว่างจนจิตตก พาลจะทะเลาะกับแฟนด้วย เศรษฐกิจประจำครอบครัวไม่ดี มันทำให้ความรักโบยบินออกนอกหน้าต่างได้

อย่างน้อยถ้าคุณได้งานทำแน่นอนแล้ว เธอตามไป ยังโออยู่นะ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
แฟนผมไม่ใช่คนไทยครับ เธอมีงานทำแล้วที่นู้น ส่วนผมก็มีแผนของผม แต่แค่ผมกังวลว่าผมจะหางานทำที่นู้นไม่ได้หน่ะครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
เรื่องจะหางานได้หรือไม่ได้ ตอบยากค่ะ ต้องวัดดวงกันหน่อย

เอาเป็นว่าลองเข้าไปดูเว็บหางาน พอเป็นไอเดียแล้วกันว่าสาขาวิชาชีพของคุณพอจะมีงานมั้ย

www.mycareer.com

หรือไม่ก็ให้แฟนคุณแนะนำให้อีกที เพราะงานที่นี่ หลายบริษัทเวลาต้องการพนักงาน เขาจะประกาศเป็นการภายในก่อน พวกพนักงานที่ทำอยู่ข้างในก็จะแนะนำญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเข้ามาสมัคร ซึ่งโอกาสได้จะเยอะกว่าตอนที่บริษัทประกาศลงสื่อ ถ้าถึงขั้นนั้น คนสมัครจะเยอะมาก

แต่การใช้คอนเน็คชั่นที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยที่ว่าฝากแล้วได้เลยนะ ยังไงบริษัทเขาจะต้องดูคุณสมบัติอยู่ดีว่าตรงมั้ย ทำงานให้เขาได้จริงๆ เขาถึงจะรับ

ถ้าคุณได้พีอาร์อยู่แล้ว จะช่วยได้นิดค่ะ เพราะบริษัทส่วนใหญ่จะระบุไว้ท้ายใบสมัครว่า ต้องเป็นพีอาร์ หรือซิติเซ่น หรือมีวีซ่าที่ทำงานได้


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
are you married?


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ยังครับ แต่มีแผนว่าจะแต่งไม่รู้ว่าจะต้องฝ่าด่านพ่อแม่เธออีกมากแค่ไหน แฟนผมเพิ่งเริ่มทำงานครับเธอเป็นคนเกาหลีครับ ดูยากสุดๆเลยใช่ป่ะครับ? ผมพูดเกาหลีไม่ได้ แต่ภาษาอังกฤษก็ไม่ถือว่าแย่ครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ต้องผ่านอะไรอีกเยอะครับๆ ผมแต่งกับคนญี่ปุ่น ก็ย้ายมาอยู่ที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไม่มีปัญหาอะไรนะ ขึ้นอยู่กับตัวเรามากกว่าครับๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
ยิ่งแฟนเป็นต่างชาติจากประเทศที่พัฒนากว่าเรา อย่างเกาหลี
คุณมีเงินเดือนๆละ 1.5 แสนที่ไทยยังดูน้อยสำหรับคนเกาหลีเลยครับ

อย่าออกจากงานที่ไทยเด็ดขาด ถ้าคุณยังไม่ได้งาน white-collar ที่ประเทศนั้น


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
คุณต้องตอบคำถามตัวเองว่าทำใมถึงตามแฟนไปอยู่เมืองนอก

มันขึ้นอยู่กับคุณครับ เอาสมองคิด หรือ เอาตามความรู้สึกของหัวใจ
ผมไม่ได้มาโรแมนติกกับคุณหรอกครับ แต่มันคือเรื่องจริง

ถ้าคุณรักที่จะมองหาสิ่งใหม่ๆในชีวิต รับความทาทายใหม่ๆ เชิญเลยครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
เราจะทิ้งรายได้เดือนละเป็นแสนไปเหมือนกันค่ะ แต่เราเตรียมการมาเป็นปีแล้ว กำลังปลดเปลื้องภาระการเงินที่เมืองไทยอยู่
ระหว่างนี้ก็ไปๆมาๆ work remotely ให้เมืองไทยในช่วงที่ไปอยู่ที่โน่นระยะสั้น และเตรียมตัวเรียนภาษาที่ 3 เพื่อหาโอกาสในการหางานทำที่โน่น มีแผนสองแผนสามที่คิดไว้ เราตัดสินใจทำไปแบบมีสติค่ะ
แต่มีคนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับที่เราทำค่ะ
อยู่เมืองไทยเป็น somebody อยู่โน่นจะ nobody ไปเลย ซึ่งเราไม่ยึดติดตรงนี้ เราชอบการอยู่แบบสันโดษ ไม่มีคนมายุ่งกับชีวิตเรามาก
ที่เราห่วงเราห่วงแค่เรื่องการดูแลบุพการี และเรื่องรายได้ เพราะเราไม่ชอบพึ่งพาใคร ชอบยืนด้วยขาของตัวเอง

เราว่าทุกคนมีเหตุผลในการกระทำค่ะ แค่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ มีสติ และอยากแนะนำให้คุณจขกท.คิดหาทางหนีทีไล่ไว้ เผื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามแผนค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
คห 2 ถูกต้องที่ซู้ดดดดด


ตอบกลับความเห็นที่ 16