อยากทราบว่าพี่ๆไปอยู่ตปทกันได้ยังไงบ้าง เล่าให้ฟังทีค่ะ

ทั้งเรียนต่อ ทำงาน ท่องเที่ยว แต่งงาน
หรือไปใช้ชีวิตที่นั่นเลย อยู่เมืองไหน นานกี่ปี จุดเริ่มต้นของการได้ไป
เล่าให้ฟังทีค่ะ

ความคิดเห็นที่ 1
อยากเห็นโลกกว้่างกว่าเดิมครับ
ก้เลยสมัครเรียน แล้วก็ลุย

เรื่องไปไหน ก็หลายที่เลยครับ แต่หลักๆก็เมกาที่ NY, Hawaii
แล้วก็ข้ามไปเลี้ยงแกะเมือง Queenstown แดนกีวี่ครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
มารอฟังด้วยคนครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
โอ้ว คำถามหลายข้อเชียวหนู แต่เจ๊ตอบให้ ^__^
-- อยู่เมืองไหน นานกี่ปี จุดเริ่มต้นของการได้ไป เล่าให้ฟังทีค่ะ

เรียนต่อ - (นานมากกกกกมาแล้ว)
-อยู่ลอนดอน ปีนึง ต่อโทจ๊ะ
-เริ่มต้นคือ ตั้งใจต่อโท ที่ ตปท. อยู่แล้ว เล็งไว้ที่อเมริกา ใครๆ ก็ไปกันเนอะ
-แต่พอจบตรี ก็ทำงานที่เมืองไทยแป๊บนึง แล้วเพื่อนสนิทสมัครที่อังกฤษ มาชวน ก็เลยเอาด้วย ไปเรียนด้วยกัน ^^

ทำงาน
-ไม่เคยทำงานตอนเรียนที่โน่นอ่ะ ที่บ้านไม่อนุญาต กลัวผิดกฎหมาย กลัวลูกเรียนไม่จบ ^^"
-ปัจจุบัน ทำงานแล้ว ก็ได้ไปบ้างเพราะงาน นานๆๆๆๆที -- ก็แบบว่า ไปประชุม ไรเงี้ย
-นานสุด คือ อบรม 4 อาทิตย์ ที่อังกฤษ -- ส้้นสุดคือ มาเลเซีย 2 วัน 1 คืน ประชุมนัดเดียว
-เชื่อหรือไม่ ในชีวิตกลับไปอังกฤษเยอะสุด ทั้งงานทั้งเที่ยว-- สงสัยชาติที่แล้วเคยทำบุญที่นั่น 555+


ท่องเที่ยว
-ก็พยายามเก็บตังค์ อยากไปดูที่โน่นที่นี่เหมือนคนอื่นๆน่ะจ่ะ
-ไม่ค่อยได้ไปไหนหรอก ก็นะตังค์ไม่มี เก็บเงินไม่เก่ง เห้อออออ



แต่งงานหรือไปใช้ชีวิตที่นั่นเลย
-อันนี้พี่ไม่เข้าข่ายจร้า


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
งานอาชีพพาไป

รู้จักองค์กรเหล่านี้ไหมเอ่ย
สมัยหนึ่งในไทย
การเรียนระดับโทและเอก ยังไม่มี
เป็นสามองค์กร จากหลายองค์กร ที่มีส่วนสนับสนุนให้คนไทย
ได้ไปเรียนต่างประเทศ เป็นจำนวนไม่น้อย

USAID หรือ United States Agency for International Development
Ford Foundation และ
AIDAB หรือ Australian International Development Assistance Bureau


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
พี่มาอยู่ได้โดยการนั่งเครื่องบินมา (ว้าย พูดเล่นค๊า)
แรกเลยย้อนอดีตหน่อย ปี 2002 รู้จักกับหนุ่มวัยกลางคนชาวเมกัน
ก็คุยกันรู้จักกันสองปีผ่านไป ปี 2004 ก็แต่งงานและมาอยู่ทีนี่ค๊า
ทุกวันนี้ปี 2012 ก็ยังอยู่ค๊า มีลุกจะสองคนแย้ว

จุดเริ่มต้นคือรู้จักหนุ่มคนนี้แหละค๊า โดยบังเอิญไม่งั้นก็คงไม่ได้มา
คงยังทำงาน ราชการ รพ รัฐบาลที่เมืองไทยจนได้หลายซีแย้ว อิอิ


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ญาติๆและครอบครัวมีร้านอาหารไทยและทำงานเป็นพยาบาลที่ชิคาโก้และเมืองใกล้เคียงอยู่ก่อนหลายสิบปีแล้ว ส่วนเรามาเรียนต่อ พอจบแล้วก็ได้งานทำตั้งแต่ปี 2005ค่ะ

ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ทำงานโรงแรม เสริฟ์อาหารอยู่ในล็อบบี้ ปี 1998 เจ้านายท่านไปเที่ยวเมืองไทย

แล้วไปเที่ยวหาเพื่อนที่พักอยู่โรงแรมที่เราทำงาน เหล่กันไปมาสักพักเจ้านาย

ท่านเลยสอยเรามาอยู่ด้วย งานนี้เลยยาวหนาวเพลินไปเลยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
อยู่ต่างประเทศยังไง?
= เรียน - ผมเรียนต่อที่อเมริกา เนื่องจากมีญาติอยู่ที่นั่นและสิ่งที่เลือกเรียนตอนนั้น อเมริกาเป็นผู้นำอยู่ ที่บ้านเลยบอกให้ไปที่นั่น ตอนนั้นทำหลายอย่างไปด้วยพร้อม ๆ กับเรียนครับ ทำ network admin เป็น part time ให้ บริษัทไฟแนนซ์ เป็น พ่อครัว ผู้ช่วยพ่อครัว เด็กเสริฟ เด็กล้างแก้ว เอาง่าย ๆ ว่าทำหมดยกเว้นเป็นเจ้าของให้ร้านอาหารญี่ปุ่น อยู่ไป 2 ปี กลับบ้าน

= ทำงาน1 - บริษัทส่งไปประชุมกับลูกค้า ไป set ระบบ ไปทำ sourcing ไปอบรม ไป trade fair ที่ถี่สุดก็เดินทางเดือนละครั้งเป็นอย่างต่ำประมาณ เกือบ ๆ ปี เพราะตอนนั้นทำโปรเจ็กเกี่ยวกับแบรนด์ใหม่ให้บริษัท ต้องตามกับ supplier เพื่อให้ได้สินค้าตามเวลา

= ทำงาน2 - สมัครวีซ่าผู้อยู่อาศัยเองจากเมืองไทยเรื่องของเรื่องคือเบื่อครับ เบื่อทุกอย่าง ดันได้ซะงั้น ก็เลยลองมาดูเพราะตอนสมัครวีซ่านั่นไม่เคยเดินทางมาประเทศนี้เลย ประมาณว่าถ้ามาแล้วหางานได้ ก็อยู่ไปเลย ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ค่อยเวริคก็กลับไทย
ติดต่อเพื่อนคนท้องถิ่นที่เคยร่วมงานกันสมัยอยู่ไทย เขาก็หาโอกาสให้ได้ ตอนนี้เลยมาทำอยู่ที่เมืองนอกครับ ตอนนี้ก็ทำงานสบาย ๆ เลิกงานตรงเวลา รถไม่ค่อยติด อากาศดี อยู่มาเกือบ ๆ จะ 3 ปีละครับ ถ้าไม่มีอะไรจริง ๆ ที่บ้าน ก็คงอยู่ที่นี่ไปเรื่อย ๆ ครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ผมอยู่แถวๆ San Francisco มาใกล้ๆจะ 6 ปีแล้วครับ เริ่มมาจากที่เห็นประกาศรับสมัครงานโดยบังเอิญก็เลยลองสมัครไปซึ่งก็บังเอิญว่านายจ้างก็สนใจแล้วก็ผ่านกระบวนการสัมภาษณ์และทำวีซ่าทำงานจนกระทั่งบินมา ทั้งหมดนี้ผมไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆแม้กระทั่งค่าทำวีซ่าก็สามารถเบิกคืนได้ทั้งหมด จริงๆก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่นานขนาดนี้แต่ปัจจุบัน green card ก็ได้แล้วบ้านก็ซื้อแล้ว คิดว่าก็คงจะอยู่ไปเรื่อยๆนั่นแหละครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
- ครั้งแรกสุดเรียนภาษา 2 เดือนที่อังกฤษ

- ต่อมามีไปฝึกงาน 2-4 เดือน ช่วงเรียนมหาลัย หลายประเทศ

- ครั้งที่นานสุดเลยคือมาเรียนต่อ 7 ปีที่อเมริกา มีทุน TA/RA ที่นี่เลยอยู่ได้ยาว

- รอบนี้แต่งงาน แล้วตัดสินใจย้ายกลับมาอเมริกาอีกรอบเพราะอยากทำงานเท่ๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ปี 2006 ได้ทุนจากกระทรวงศึกษาธิการของไทย ไปศึกษาดูงานที่เมือง Auckland, New Zealand เป็นเวลา 1 เดือน
ปี 2008 ไปดูงานที่สิงคโปร์กับเพื่อนๆ และอาจารย์ในหลักสูตร ป โท ที่เมืองไทย ระยะเวลาประมาณ 5 วัน
ปี 2010 หนีตามผู้ชายมา แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ที่นิวยอร์ก 2 ปีครึ่งแล้วค่ะ มีตัวเล็กแล้ว 1 คน


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
เล่าละเอียดเลยนะคะ เผื่อเป็นแรงใจให้คิดให้เริ่มอยากลองดูเนอะ
เราโชคดีหน่อยที่มีแม่เป็นคนผลักดันอย่างรุนแรง


ของเรานี่มึนๆนะคะ ไม่ได้คิดอยากจะมาต่างประเทศเลย เพราะเด็กๆเวลาแม่พาไปเที่ยวงอแงตลอด
เพราะว่าช่วงปิดเทอมก็อยากจะไปห้างกับเพื่อน อยากเรียนพิเศษงี้ (ตลกเนอะ) แต่แม่ชอบเที่ยวเราก็ไปเที่ยวแบบหน้าบูดๆ

แม่เคยเรียนที่อังกฤษ แม่เลยแพลนให้ตั้งแต่มัธยมแล้วว่าจบมหาลัยต้องไปต่อนอก ถ้าไม่ต่อก็ทำงานเลย
แต่ก็ขู่เราตลอดเลยว่าคิดว่าจะเก่งเหมือนแม่เหรอ (แหน๊ะ โม้ด้วยแม่เรา) คิดว่าจะโชคดีเหมือนแม่เหรออะไรแบบนี้
เราก็กลัวๆเน๊าะว่าจะได้งานไม่ดี เพราะเรียนก็ไม่ได้เก่งมาก แม่ก็บอกว่าไปเมืองนอกอะได้ภาษานี่เริ่มต้นง่าย
(สมัยนี้ต่อให้จบโทเมืองนอกก็หางานยากเนอะ เพราะทุกคนก็เก่งภาษาแล้วก็กล้าขึ้นเยอะเลย)
ส่วนเราแม่ให้เรียนโรงเรียนภาษาแต่เด็ก เลยไม่ค่อยกลัวฝรั่งเพราะมีครูเป็นฝรั่งตั้งแต่ประถมเลย

แม่ก็เริ่มส่งไปซัมเมอร์ก่อนตอนปี 1 ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นะคะ เพราะอยู่นอกเมืองสุดๆ เงียบเหงาสุดๆ
จนพอจบแม่ก็ให้เลือกมหาลัย ตอนแรกได้ที่ไกลมาก แต่ rank ดีเลย มาเปลี่ยนใจเอาวินาทีสุดท้ายอยู่ London
เลือกอังกฤษเพราะว่าเคยไปตอนซัมเมอร์ อย่างน้อยก็รู้จักรถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้า และรถใต้ดิน

เราจบที่ไทยช่วงกุมภาเนอะ เปิดเทอมของอังกฤษมันกรกฎา ละพอดีมีคนชวนไป WAT ซึ่งแม่ไม่เคยให้ไปเลยตั้งแต่ปี 2-4
แม่บอกว่าลอยแพเยอะ ฯลฯ แต่พอดีอันนี้ไม่มีค่านายหน้า รู้จักกับเจ้าของโครงการ แม่เลยยอมให้ไปแก้เบื่อ

พอได้มาอเมริกาก็ชอบค่ะ เพราะบังเอิญมากมาเจอเพื่อนสมัยมัธยมมาโครงการเดียวกัน
เลยสนิทกันมาก แล้วโครงการก็ค่อนข้างดี เปิดโอกาสเราเยอะแยะ รวมถึงมาเจอแฟนที่นี่ด้วยก็ช้อบบบชอบ
แต่ก่อนที่แฟนจะจีบ แม่ถามเป็นครั้งสุดท้ายว่าอยากเรียนเมกามั้ย เราบอกว่าไม่
เพราะเราไม่ชอบเดินทางลำบาก รถเมล์ก็ช้า รถไฟฟ้าก็ไม่มี (เราอยู่ Florida ค่ะ)
ช่วงมาแรกๆเบื่อมากค่ะ เพราะทำงานคนละที่กับเพื่อน

แต่พอเริ่มสนิทกับคนที่ทำงาน เริ่มรู้จักแฟน ออกเดทกัน เอ้ยย สุขอะ (แต่ไม่ทันแล้ว แม่จ่ายค่าเทอมไปซะแล้ว)
แม่ไม่ยอมบอกด้วยน๊าา ว่าจ่ายมัดจำ มาว่าเราทีหลังว่าถ้าอยากอยู่เมกาจริงๆแม่ก็ย้ายให้ได้
แม่ว่าไปงั้นแหละค่ะ อยากให้เราไปอังกฤษมากกว่า


ก็แอบเสียใจนิดๆที่ไม่ได้เลือกอเมริกา เพราะต้องกลับไทย แล้วก็ไปเรียนต่ออังกฤษ
แม่ก็ปลอบใจว่าอเมริกาใช้เวลาตั้ง 2 ปี อังกฤษปีเดียว แป๊บๆ

พอไปอังกฤษ(ลอนดอนนะ)ก็อีกประสบการณ์นึงค่ะ อากาศเย็นๆ แต่งตัวเก๋ๆ มีที่ให้เดินเล่นให้เที่ยว (เสียเงินมหาศาล)
พอได้ทำงานไปด้วยยิ่งสนุกค่ะ เพราะมีแก๊งค์เพื่อนทั้งที่โรงเรียน ทั้งที่ทำงาน
แต่สนิทกะที่ทำงานมากกว่าเพราะทำแทบทุกวัน ทำเพราะติดเพื่อนค่ะยอมรับเลย
ส่วนแฟนเราเค้าไม่จุกจิกค่ะ เวลาเราห่างกันพอควร (จำไม่ได้ละ ลืม)
เราใช้ชีวิตคุ้มมาก สนุกมากจริงๆที่อังกฤษ อาหารการกินก็ดีมาก จนน้ำหนักขึ้นมา 20 กิโลจ้า

พอก่อนจะเรียนจบก็เริ่มทำเรื่องวีซ่าคู่หมั้นไปอเมริกา เพราะช่วงนั้นแฟนได้โปรโมท
ก็ไม่มีแฟนซีหวือหวาหรอกค่ะ คบกันไปเรื่อยๆ ตามสภาพ มีก็มี ไม่มีก็รอก่อนอะไรแบบนี้
แต่จังหวะมันได้พอดี แม่เราก็ช่วยอยู่ด้วย ก็กลับมาไทยได้ 6 เดือนก็มาอเมริกามาแต่งงานค่ะ


ตอนนี้อยู่ๆไปก็เบื่อละค่ะ ที่เคยชอบเมื่อสองปีก่อนหายไปหม๊ด เพราะเริ่มหน่ายกับฟาสฟู้ดและอาหารแบบนิวยอร์คสไตล์
คิดถึงลอนดอนบ้างเป็นครั้งคราวเพราะอยากกินติ่มซำก็ติ่มซำจริงๆ อาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี อาหารไทย
ที่ florida นี้ร้านจีนยังออกแนวปลอมๆเลย(สำหรับเราเราเรียกว่าปลอมค่ะ) ผัดไก่สารพัดซอส ติ่มซำก็ฟรีส
แต่ตอนนี้ก็ชินละค่ะ เพราะหัดทำอาหาร ก็ทำเองกินเอง น้ำหนักขึ้นมาอีก 5-10กิโล โอ้มายก้อด

แต่ก็สนุกดีค่ะชีวิตเรา ได้รู้อะไรเยอะขึ้นหลังจากออกมาจากประเทศไทยเลยนะคะ ได้เห็นอะไรใหม่ๆ เจออะไรสนุกๆ
แต่มันก็วูบวาบชั่วคราวอยู่เหมือนกัน

เรากับแฟนเด็กทั้งคู่ค่ะ เริ่มต้นอะไรใหม่ๆด้วยกันหมดเช่น ซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อหมา (ยังไม่มีลูก)
มีแม่ช่วยหนุนหลังอีกแรง จนตอนนี้เราก็เริ่มทำงานแล้ว แต่งานแรงงานนะคะ ไม่ใช่งานออฟฟิศตามที่จบมา T_T
แต่ก็อดทนค่ะ เรายอมรับตรงที่ว่าเราไม่มีประสบการณ์ ต่างชาติ และอายุน้อย
เราก็ทำงานกับที่เดิมที่มา WAT เนี่ยหละค่ะ ไต่ไปเรื่อยๆเอา ทำเรื่องย้ายนู่นย้ายนี่ สนุกดีค่ะ
ได้ทำมาหลายอาชีพก็เป็นประสบการณ์ที่ดีนะเราว่า งานอะไรเราก็ทำหมด แหะๆ
ที่ทำงานเรามีหลายตำแหน่งสุดๆ เราก็หวังว่าซักวันเราจะได้ทำงานในออฟฟิศอยู่จ๊า


เรากลับไทยแน่นอนค่ะ เราจะทำงานเก็บเงิน แล้วก็เกษียณตัวเองไปอยู่ไทยที่บ้านเดิมกับพ่อแม่ค่ะ
เมืองไทยสำหรับเราไม่มีอะไรหรูหราวูบวาบ หาง่าย ใช้ง่ายแบบที่เราอยู่ก็จริง
แต่อยู่ง่ายกินง่ายค่ะ วันไหนไม่มีก็ทำเอง ตามสั่งก็ไม่ได้แพง ที่นี่ฟ้าดฟู้ดที่ว่าขยะแล้วก็ยังแพง
ช่วงไหนช๊อตเงิน บิลเยอะ ก็เหนื่อยใจคิดถึงบ้านมากเลยค่ะ แต่ก็เพราะมีสามีนะ เราก็เลยไม่ได้ถอย


ยาวดีมั้ยคะ ชีวิตการมาต่างประเทศของเรา
มาแบบมึนๆงงๆเหมือนกันดีค่ะ ไม่หักเหมาก ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แหะๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
มีแรงบันดาลใจเป็นหนังเรื่องพริกขี้หนูกับหมูแฮมค่ะ นานม๊าก ว๊ายรู้อายุเลยนะนี่ ฝันไว้ว่าต้องไปเรียนเมืองนอก ใช้ชีวิตแบบนักเรียนนอก สวยหรู ไฮโซยิ่งนัก ฮ่าฮ่า ช่วงที่เรียนอยู่เมืองไทย เก็บตังค์ได้เมื่อไรก็สะพายกระเป๋าไปเที่ยว 2 คนกับพี่สาว พาสปอร์ตมีวีซ่าแปะเต็มทุกหน้า พอเรียนจบตรีปุ๊บ ทำงานได้ 2 ปีกว่า มีเงินเก็บนิ๊ดนึง บวกกับที่บ้านสนับสนุนก็เลยได้มาเมืองนอกสมใจค่ะ

เรียนได้ 2 เดือน ก็สอบ IELTS เพราะต้องใช้ผลคะแนนไปสมัครเรียนต่อโท พอรู้ผลก็มีพี่คนไทยคนหนึ่งสามีพี่เค้าเป็นวิศวกรเหมือนเรา มีบริษัทรับเหมาและให้เช่าอุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่แนะนำว่า ให้เราสมัครขอวีซ่าถาวรก่อน ได้แล้วค่อยเรียนต่อ ค่าเรียนจะถูกมาก เราก็เลยลองดูค่ะ โดยมีบริษัทของสามีพี่คนนั้นรับรองงานให้ ระหว่างที่รอวีซ่า เราก็ทำงานที่บริษัทของพี่เค้า หนักไม่น้อยเลยล่ะ เค้าปฎิบัติกับเราเหมือนวิศวกร(ผู้ชาย)คนอื่นๆ แต่ก็ชอบค่ะ อดทนทำทุกอย่าง ตอนสอบใบอนุญาต ก็มีพี่ๆน้องๆมาติวให้ เราใช้เวลาทั้งหมด 10 เดือน ก็ได้วีซ่าถาวร โชคดีมากค่ะ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการเปลี่ยนระบบการนับคะแนนและวิธีการพิจารณาวีซ่าใหม่

พอได้วีซ่า เราก็สมัครเรียนเป็น Domestic student ค่าเรียนถูกจริงๆด้วย เรียนและทำงานให้พี่เค้าไปด้วย พอเรียนจบ พี่เค้าก็เป็น referee ให้ไปสมัครงานบริษัทใหญ่ขึ้น แล้วก็ได้ค่ะ เย้ ได้นั่งออฟฟิสบ้างแล้ว แต่ก็ต้องไปหน้างานอยู่บ้าง ไม่เป็นไรสนุกดี รวมเวลาอยู่ประเทศนี้มาก็เกือบ 14 ปีแล้วค่ะ อยากบอกว่าความสวยหรู ไฮโซที่หวังไว้ แทบจะไม่ได้เจอเลย สิ่งที่ได้คือความสุขใจ ได้เลือกได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เมืองไทยก็ยังเป็นบ้านเกิด ทุกครั้งที่ได้กลับเมืองไทย ก็จะพยายามหาโอกาสทำสิ่งดีๆไว้เสมอค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
อยากได้งาน IT ที่ต่างประเทศบ้างอ่ะครับ มีพี่ๆท่านไหนพอจะแนะนำได้บ้างม่ะครับ รบกวนหลังไมค์ได้ก็ดีครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 14