ชีวิตในต่างแดน เอา(เรื่องคนอื่น)มาเล่าสู่กันฟัง

อ่านข่าวชิ้นนี้แล้วคิดว่าเป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับคนที่อยากไปทำงานหาเงินในต่างแดน

บทเรียนจาก “เอ๋-พัชรา แวงวรรณ” โศกนาฏกรรมคนไทยในต่างแดน
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000126968

เวลาอ่านคู่สร้างคู่สม จะเห็นผู้หญิงที่ไปแต่งงานกับผู้ชายต่างแดน หรือไปทำงานต่างแดนก็เขียนมาบอกเล่าประสบการณ์การอยู่ที่นั่นให้ฟังบ่อยๆ ว่ามันโหดร้ายขนาดไหน แน่นอนว่าด้านดีก็มีเยอะ แต่ใช่ว่าเราจะโชคดีเสมอไป

เพื่อนเราคนหนึ่งก็เคยไป work and travel ตอนอยู่ไทยเป็นคนที่มีไฟแรงสูงมาก รักการทำกิจกรรม พบเจอเพื่อนฝูง มองโลกในแง่ดี ฯลฯ แต่พอไปทำงานที่นั่นแล้วรู้เลยว่าการอยู่กับฝรั่งเนี่ยเครียดมาก ทำงานคือทำงานไม่มีการพูดคุยกัน เวลากินข้าวคือแค่พอสำหรับกินแซนวิซกับน้ำ จะมานั่งกินๆเม้าท์ๆ ไม่มีซะล่ะ แล้วเพื่อนทำรีสอร์ตอยู่แผนกซักล้าง วันๆต้องขนผ้าไปซักที่ตู้ร้อนๆ (ใช้ระบบน้ำร้อนในการซักล้าง) พอตกเย็นต้องไปขายของที่ร้านเบอเกอรี่ เงินเกินครึ่งหมดไปกับค่าที่พักที่ต้องไปแชร์กับคนต่างชาติ ซึ่งนิสัยไม่มีการเอื้ออาทรต่อกันเลย

ดีว่าได้เที่ยวอเมริกาต่ออีกเดือนก่อนวีซ่าหมด นั่นแหล่ะ ถึงได้ผ่อนคลายหน่อย กลับมาก็โคตรดีใจ อยู่นี่แม้เงินจะน้อยแต่ก็มีกินมีใช้มีเพื่อนฝูงสบายๆ

ส่วนอีกคนไปทำงานที่ฟาร์มดอกไม้ (ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว) อันนี้อย่างเครียดเพราะว่ากู้เงินไป ไปโน่นก็ผิดกม. จะไปไหนก็ไม่ได้ไกลและกลัวโดนจับ ตื่นตี 4 ไปตัดดอกไม้ จากนั้นก็ไปคัดแยกดอกไม้ ห่อแพ็ค ฯลฯ ยืนทั้งวันจนเท้าปูด มือนี่ลอกแล้วลอกอีก อาหารนี่ประหยัดสุดๆ บ้านเรากินมาม่าว่าประหยัดแล้วนะ อยู่นั่นได้แต่กินน้ำปลากับข้าว อย่างมากก็น้ำพริกแบ่งๆ กับเพื่อน ไม่อย่างนั้นได้เงินมาไม่พอที่กู้เขาไป ... สุดท้ายทำจนครบสามเดือน กลับมาบ้านใช้หนี้ที่กู้ไป เหลือเงินเกือบแสน จากการอดออมทั้งหมด ... เขาว่ามันเหมือนจะคุ้มเพราะอยู่ไทยไม่เคยเก็บเงินแสนได้ แต่ถ้าคิดมุมกลับ เกิดเขาป่วย เกิดอุบัติเหตุ หรือโดนจับมา จะคุ้มไหมเนี่ย จะกลายเป็นกลับบ้านมือเปล่า (ไม่มีเงินใช้หนี้ด้วย) แล้วยังโดน blacklist ไปที่นั่นอีกไม่ได้

อันนี้ก็แล้วแต่คนเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองแล้วล่ะ

ความคิดเห็นที่ 1
อยู่ต่างแดนมาตั้งแต่อายุ 17 ไม่ต้องลำบากแบบที่จขกท. นำมาลง


มีความประทับใจกับการใช้ชีวิตต่างแดนมาตลอด


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
เกิดมาจน พ่อแม่ไม่มีทุนทรัพย์ให้ อยู่ไหนก็ลำบากทั้งนั้นล่ะ

อยู่เมืองไทยก็เคยกินข้าวต้มกับน้ำปลาเหมือนกัน

แต่ถามว่า กินข้าวต้มกับน้ำปลาอยู่เมืองไทย มีวันเก็บเงินได้เป็นแสนมั๊ย

ยอมลำบาก แต่มีความหวังว่า วันหนึ่งจะสบาย

กับทนลำบากไปจนตาย โดยไม่มีความหวัง

ถามหน่อยเหอะ ว่าจะเลือกทางไหน


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
อย่าเอาเรื่องการเลือกทางเดินชีวิตของคนอื่นมาวิจารณ์เลย


ความจำเป็น หรือความต้องการของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน

แต่เหมือนกัน คือ ทุกคนอยากสบาย

การฆ่าตัวตาย มัันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับ คนบางคน

ชีวิต ไม่มีใครเป็นเจ้าของ นอกจากตัวเอง


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
เราเคยเป็นอดีตเด็กโครงการ work and travel คนหนึ่ง ไม่เห็นว่าจะโหดร้ายตรงไหน ฝึกให้เรารู้จักอดทน เรียนรู้กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
อ่านแล้วนึกถึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน สภาพชีวิตของเขาในประเทศเราไม่ต่างจากเรื่องที่คุณเอามาเล่า ยอมสละผ้าห่ม เพื่อเดินท่ามกลางลมหนาว เพราะคิดว่าผ้าห่มหนาๆ มันหนัก ถ้าทิ้งไปก็จะไปถึงจุดหมายเร็วขึ้น

บางคนวางจุดหมายเหมาะกับตัวเอง เอาแค่ทนหนาวไหว ถึงจุดที่ตั้งไว้ หยิบของที่ปลายทางแล้วเดินกลับมาหาผ้าห่ม (แต่บางครั้งกลับมาไม่เจอผ้าห่มแล้ว)

บางคนวางจุดหมายไว้ไกล เพราะคิดว่าของที่รออยู่ที่จุดหมายอันไกลโพ้นมันตอบโจทย์ได้ดีกว่า ก็พยายามกัดฟันเดินไป แต่บางทีจนหัวใจหยุดเต้นก็ยังเดินไม่ถึง ลืมไปว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์เหล็กไหลที่ทนได้ไม่มีขีดจำกัด

ยังไม่พูดถึงบางคนที่ไม่เคยมีผ้าห่มมาตั้งแต่ต้น และได้เปรียบที่ร่างกายเคยชินกับความหนาว ต่อสู้จนถึงจุดหมายยาวไกลได้ ให้ดูคนจีนโพ้นทะเลที่กลายมาเป็นเจ้าสัว
และไม่พูดถึงบางคนที่มีห่มผ้าหลายชั้น แค่สละไปชั้นเดียวก็บ่นว่าหนาวแล้ว ให้ดูคนที่อยู่สุขสบายจนเคยชิน
และไม่พูดถึงคนที่สมัครใจเดินห่มผ้าไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน ไม่ต้องถึงจุดหมายยิ่งใหญ่ก็ได้ สบายๆ ก็พอ ให้ดูคนทั่วไปในสังคมเรา
สุดท้ายไม่พูดถึงคนที่บ่นว่าหนาว แต่ก็ยังเดินต่อไปแบบไร้ผ้าห่ม ให้ดูคนที่ขึ้นความเห็นแนะนำในลิงค์ที่คุณแปะมา

คนธรรมดาที่ถึงจุดหมายที่ตัวเองต้องการได้ก็หนาวกันมาทุกคน บางคนแค่อยากแข่งกับคนมีผ้าห่มที่เดินทางไปยังจุดหมายด้วยราชรถทุ่นแรง แม้จะถึงที่หมายเดียวกันในสภาพที่ต่างกัน แต่มันก็ยังเป็นความพอใจภูมิใจที่เอาชนะโชคชะตาได้

ชีวิตก็เป็นอย่างนี้..


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ชีวิตเกิดมา ต้องสู้กันทุกคน แต่ละบุคคล ย่อมมีแนวทางต่อสู้ การเอาตัวรอด และจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ถ้าเราย่ำอยู่กับที่ ก็คงไม่พบความก้าวหน้าในชีวิต


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ถ้าคนเราคิดแต่ว่ากลัวจะลำบาก ก้อคงได้แต่ย่ำอยู่กับที่ สำหรับเราเกิดมาแล้วชีวิตนึง ต้องเอาให้คุ้มค่ะ เรียนรู้ที่จะเผชิญให้ได้ในทุกๆด้าน


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
เราเป็นคนนึงที่รู้สึกว่ามาอยู่เมืองนอกแล้ว เหมือนจะลำบาก เพราะความไม่ชินกับสภาพแวดล้อม ทั้งอากาศ งาน และผู้คน แต่ทุกอย่างอยู่ที่ความคิดเท่านั้นเองค่ะ แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน ถ้าคิดว่าเราได้ประสบการณ์ใหม่ๆ คือเราคิดในแง่บวก แต่ถ้าเราคิดว่ารู้งี้ไม่มาดีกว่า นั่นคือเรากำลังคิดในแง่ลบ สุดแล้วแต่เราจะคิดค่ะ ชีวิตก็เป็นแบบนี้ มีทุกรูปแบบ หลากหลาย แล้วแต่ใครจะพบเจอกับเหตุการ์ณแบบไหน มาให้กำลังใจคนอยู่ต่างแดนด้วยกันค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ความกตัญญูเป็นสิ่งน่ายกย่อง แต่ทั้งนึ้เราต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนช่วยผู้อื่น
ถ้าเราเองว่ายน้ำยังไม่แข็ง จะช่วยคนจมน้ำต้องส่งไม้ให้เค้าเกาะ
ไม่ใช่ว่ายลงไปช่วยแล้วตัวเองจมน้ำตาย


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
ตอนแรกว่าจะไม่แสดงความเห็น แต่อ่านความเห็นคุณ chilla #10 แล้วเห็นด้วย เลยขอแจมแสดงความเห็นหน่อย คือสำหรับดิฉันมองอีกมุม คือมองในมุมบทเรียนในเรื่องของคนที่อยู่ฝั่งไทย ควรจะมีขอบเขตบ้างในการคาดหวังความช่วยเหลือจากคนที่ยอมเสียสละมาทำงานต่างแดนเพื่อจุนเจือครอบครัวที่อยู่ฝั่งไทย ให้เค้าได้มีชีวิตเป็นตัวของเค้าเองบ้าง หลาย ๆ เคสที่เห็นคือคนที่ทำงานอยู่ต่างแดนทำงานสายตัวแทบขาดเพื่อส่งเงินกลับบ้าน แต่คนที่อยู่ฝั่งไทยก็ใช้จ่ายแบบไม่อั้นเช่นกัน เพราะมองแค่ว่าเงินหนึ่งเหรียญจากต่างแดนนั้นสามารถแลกเงินไทยได้ตั้งหลายบาท คือมองแค่จำนวนเงินแต่ไม่ได้มองถึงการทำงานหนักที่เค้าต้องแลกกับเงินเพื่อส่งกลับบ้าน

ดิฉันมองว่าความกตัญญูมันก็เป็นดาบสองคมได้เหมือนกัน หลาย ๆ ครอบครัวก็ใช้คำว่า "กตัญญู" เป็นตัวกดดันลูก ๆ ก็มี(บ้างก็เรื่องเงิน บ้างก็เรื่องหน้าตา) ส่วนคนที่อยู่ต่างแดนก็ต้องมีขอบเขตกับคำนี้เช่นกัน ต้องมีขอบเขตในการให้ความช่วยเหลือเท่าที่ความสามารถที่ตัวเองทำได้ ไม่ใช่ได้มาเท่าไหร่ก็ส่งกลับเมืองไทยหมดเลยโดยลืมนึกถึงตัวเอง บางครั้งก็ต้องหัดใจแข็งเพื่อปกป้องตัวเองและคนใกล้ตัว ไม่อย่างงั้นคำว่า "กตัญญู" ก็สามารถเป็นตัวทำลายชีวิตคุณหรือชีวิตครอบครัวย่อยส่วนตัวของคุณได้เช่นกัน


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ฉันเคยทำงานโรงงานปลาแซลมอนกับโรงงานทอมส์ช๊อกโกแลต

คนหัวดำอย่างพวกเราจะถูกแกล้งและรังเกียจจากพวกหัวแดงบางคน

ก็มีแต่คนไทยเท่านั้นที่เก็บมาคิดอย่างนั้นอย่างนี้ หัวดำชาติอื่นๆเขา

ไม่แคร์อะไร เรียกว่าไม่สะทกสะท้านเขานิ่งเฉย ได้ผลดีนะถ้าเราคน

ไทยไม่ยึดนั้นยึดนี้คิดว่าเราแค่มาทำงานแลกเงิน


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ผมก็เป้นคนหนึ่งที่เลือกมาอยู่ต่างแดน เบื่อบการทำงานของคนไทยในประเทศไทย แต่เมื่อทำงานครั้งแรก ต่างแดนครั้งแรก มีทุกรูปแบบ ไม่ต่างกลับการทำงานในเมื่องไทย มันเลยเป็นการโชคดีที่เรา เจอประสบการณ์ที่เลวร้ายจากไทยมาก่อน ทำให้รับมือกับการทำงานในต่างแดนได้ ยอมรับว่าทำงานที่นี้เหนื่อยมาก แต่มันก็คุ้มนะครับ เลิก ออกงาน ตรงเวลา เกินเวลาก็คิดเงินให้เรา แต่ต้องยอมรับว่า ที่เมืองนอกเขาก็มองหัวดำอย่างเราว่าโง่อยู่ดี
ทั้งๆๆที่เราเรียนมากว่าเขา ไม่ได้โง่อย่างที่เขาคิด แค่ภาษาเราไม่เท่าเขาเอง ตอนนี้ไม่สนใจครับไม่แคร์ใครแรงมา ก็แรงกลับ ฝรั่งชอบว่าตรงๆๆ แต่ถึงต่างเราว่าเขาบ้าง กลับรับไม่ได้ สังคมทำงานเมืองนอก ไม่ได้ต่างจากเมืองไทยเลยแม้แต่น้อย :-) นินทาลับหลัง เลียเข้งเลียขา

ผมมั่นใจคนไทยมาทำงานเมืองนอก(แต่ไม่ได้ ทำงานกับคนไทยกันเอง ) รับมือได้สบายครับ ขอบคุณการทำงานที่เมืองไทย ที่ทำให้ผมได้แกร่งรับมือกับพวกรังเกียจ คนหัวดำ


ตอบกลับความเห็นที่ 12