สอบถามคนที่ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก

เราอยากสอบถามหน่อยคะ
ว่าพวกคุณไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกกันได้อย่างไร
คือหมายถึงว่า นอกจากไปเรียนนะคะ บางคนใช้ชีวิตต่ออยู่ที่โน่นเลย
ทำงาน ที่โน่นเลย
อยากจะถามว่าทำกันอย่างไรคะ

ความคิดเห็นที่ 1
รอฟังด้วยคนคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ไปวีซ่านักเรียน เปลี่ยนเป็นวีซ่าคู่สมรส แล้วก็ได้เป็นพลเมือง


นอกนั้นคงเป็นวีซ่าทำงานค่ะ หานายจ้างทำเรื่องให้ แล้วรอตามกฏหมายจนได้เป็นพลเมือง


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
สมัครงานที่ออส
ได้แล้วก็ขอ working visa ค่ะ
ได้แล้วก็บินไปออส หาบ้านเช่า
ทำงานได้ครบสองปีก็ขอ PR
แล้วก็ต่อด้วย citizenship ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้าเป็นผู้หญิง ส่วนใหญ่ (เน้นว่า ส่วนใหญ่ ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมด)

เพราะแต่งงานกับชายต่างชาติ

สมาชิกหญิงในห้องนี้ มีไม่กี่คนหรอก ที่โสด หรือมีสามีเป็นคนไทย จะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แบบอยู่อาศัยได้ตลอดชีพ หรือตราบเท่าที่ต้องการ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ความคิดเห็นที่ 4
สมมติฐานที่ว่า น่าเป็นจริง


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ว่าแต่ว่า....ผู้ชายก็มีเยอะน่ะที่แต่งงานกับสาวฝรั่ง

ได้เจอมากับตัว 3-4 คู่ตั้งแต่เรามาอยุ่ที่ออส มีคู่นึงผู้ชาย(ไทย) ขอเลิกหลังจากได้ PR ก่อนได้ PR ก็แอบคบสาวไทยระหว่างอยู่กินกับสาวออสด้วย แสบดี..

ปล สาวออสน่ะ เพื่อนของเพื่อนเราเอง ตอนนี้เขามีแฟนใหม่แล้วเป็นออสเหมือนกัน บอกว่าเข็ดเลยกับหนุ่มไทย

อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
นานๆจะว่างมาตอบ เราอยู่เมืองนอกยี่สิบกว่าปี มาเรียนแล้วได้งานทำเและก็ได้ซิติเซ่น เรายังโสดชื่ิิอและนามสกุลก็ยังใช้ของเดิมตั้งแต่เกิดเพราะไม่อยากแต่งงาน คงไม่มีใครอยากได้เราด้วย

ความคิดเห็นที่ 4 เขาถามก็ตอบตามที่เขาถามได้ไหม ไม่ต้องไปคาดไปเดาใครจะมาอยู่ยังไงก็เรื่องคนอื่นเขา ทำให้คนอื่นไม่อยากเข้ามาตอบน่าเสียดายไม่ได้อ่านความเห็นดีๆของท่านอื่นเสียหมด


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
กระทู้และการตอบแบบนี้ ทำให้ถูกลบไปอันนึงแล้ว H12405065 ที่มีการพาดพิงไปถึงเรื่องชีวิตส่วนตัวของผู้อื่น

อยากรู้ว่า คนมาเมืองนอกและอยู่ใช้ชีวิตอยูโน่นเลย ถามว่าทำกันอย่างไรค่ะ

คำตอบคือทำอย่างที่โอกาสและคุณสมบุติมีเปิดโอกาสให้ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการหาคู่สมรสแต่งงานกันถึงจะได้ไปอยู่เมืองนอกเมืองนา โอกาสทางอื่นก็มี เช่นจากการจ้างงาน จากการลงทุน (การลงทุนนี้ไม่ได้ต้องมีการลงทุนเป็นจำนวนมาก อยู่ที่ประเทศที่จะไป เช่นมีคนไทยไปลงทุนเปิดร้านอาหารในประเทศอัฟริกา ด้วยเงินลงทุนแค่ไม่ถึง 1 ล้านบาทเป็นต้น) จากการจับสลาก (ของเมกา) หากแม้นมีจิตแน่วแน่ว่าอยากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ก็ต้องรู้จักเสาะแสวงหาองค์ความรู้ในการที่จะสามารถทำให้ตนเองมีโอกาสได้ไป พร้อมๆกับสำรวจตัวเองถึงคุณสมบัติให้เข้ากับหลักเกณฑ์ตามกฏหมายเข้าเมืองของประเทศนั้นๆด้วย


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ทำงานค่ะ วีซ่าทำงานค่ะ อยู่มาตั้งแต่ปี 2006 แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่เมืองนอกแล้วมันสุด ๆ นะ กลับไทยปีละ 2 ครั้งเป็นอย่างต่ำ พาพ่อแม่ไปเที่ยว ตปท ทุกปีค่ะ รอเมื่อไหร่จะได้ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นเนี่ย เบื่อแล้ว


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
คห.4 คะ การได้มาอยู่เมืองนอกเพราะได้แต่งงานกับต่างชาติแล้วมันยังไงเหรอคะ บางทีเราอาจจะจมูกดีเกินไปก็ได้เลยได้กลิ่นอาย ironic โชยมาหน่อยๆ

เราชื่นชมนะกับคนที่ได้ทุนมาเรียน ได้มาฝึกงาน ได้มาทำงานที่ต่างประเทศ ชื่นชมกับความเก่งความมีมานะพยายามของเขา แต่ไม่ว่ามาโดยอย่างไรการมาใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ได้เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายสิบปี ทุกคนเป็นนักสู้ที่เก่งหมดค่ะ

จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ต้องไม่มองแค่เปลือก ตัดความคิดที่ว่าอยู่เมืองนอกมันสุขสบาย โก้หรู ออกไปซะก่อน คนที่มาอยู่ที่นี่ต้องเจอความยากลำบากเหมือนกันหมด ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเจอมากเจอน้อย ไม่ว่าจะเป็นความเหงา กำแพงภาษา สภาพอากาศ อาหาร วัฒนธรรมประเพณี สังคมที่แตกต่าง ฯลฯ เพราะฉะนั้นยิ่งคนที่ต้นทุนน้อยเรายิ่งชื่นชมค่ะ

ภรรยาฝรั่งเยอะนะคะที่ภาษาไม่ดี การศึกษาน้อย แต่ไม่งอมืองอเท้า มีงานทำมีเงินเดือน ทำงานใช้แรงงาน หนักเอาเบาสู้..... แต่ก็ไม่วายโดนดูแคลนเหมือนกันไปหมด เราชื่นชมคนกลุ่มนี้ไม่น้อยอีกเหมือนกัน และที่แน่ๆหลายคนมีความสุขกว่าตอนอยู่เมืองไทยมีสามีเป็นคนไทย (ภรรยาฝรั่งที่มีต้นทุนสูงไม่ขอพูดถึงก็แล้วกัน)

สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครจะมาเมืองนอกกันได้อย่างไร การที่อยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขเราว่าสำคัญที่สุด


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ที่คิดว่าไม่เข้าหูก็อย่าไปคิดมาก ไม่มีใครคิดจะมาดูถูกดูแคลนใครหรอก ถ้ามีจริงไม่ต้องแคร์ ผู้หญิงบางคนผมยังอิจฉาฝรั่งเลย แต่ผู้หญิงบางคนก็โชคดีและเขาก็ดีด้วย มีสามีร่ำรวยมากๆ เป็นผู้พิพากษา เป็นทนาย เป็นผู้ตรวจการกระทรวงกลาโหมก็มี ผมเห็นเป็นธรรมดาครับ คุยกันบ้างนิดๆหน่อยๆ นอกเรื่องไปบ้าง ไม่ใช่มานั่งทำข้อสอบ หรือมานินทาใครโดยเฉพาะ ไม่เป็นไร


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
จาก คห.4 ที่ฉันแสดงความเห็น มันเป็นการดูถูกอะไร ยังไง

พิลึกอีกล่ะ บางคนนี่ก็นะ ก็ จขกท.เขาอยากรู้ว่ามาอยู่กันได้ยังไง
ฉันตอบ ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นหญิง คือ เพราะแต่งงาน มันไม่จริงเหรอ

ฉันก็คนหนึ่งล่ะ งั้นฉันก็ดูถูกตัวเองด้วยสิ


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
คห. 10 โดนใจผมเต็มๆ เลยครับ เหมือนพูดแทนผมเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ยังไม่มีใครว่าอะไรคุณsuccessfully เลยนะคะ

ในคห.ที่ 4 มันเหมือนกับการแสดงความคิดเห็นล่อเป้าค่ะ (แค่ว่าเหมือนนะคะ) เราเองก็ไม่แน่ใจเราถึงได้ถามไปในบรรทัดแรกยังไงหล่ะว่าคนที่มาอยู่เมืองนอกได้โดยการแต่งงานมันเป็นยังไงเหรอ หรือเราอาจจะจมูกดีเกิน(จริงๆจะว่าจมูกไม่ดีก็ได้เพราะแสดงถึงการคิดลึกเกินไป) ส่วนข้อความอื่นๆในคห.ของเราเป็นการพูดโดยทั่วไปค่ะ ไม่ได้กล่าวถึงใครโดยเฉพาะ

ถ้าคุณลงท้ายในคห.4นั้นซักหน่อยว่าคุณก็เป็นหนึ่งในภรรยาต่างชาติก็คงจะไม่มีคห.อย่างคห.ที่ 7,8 และ 10 หรอกค่ะ เพราะคห.นั้นมันตีความได้หลายอย่าง (แต่ถ้าคุณจะบอกว่าคุณจะทิ้งท้ายหรือไม่ทิ้งท้ายก็ได้เป็นเรื่องของคุณ นั่นก็ไม่เป็นไรอีกเหมือนกันค่ะ)


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
เห็นด้วยกับ คห.14 อย่างเเร็งส์


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
เป็นอีกคนที่โสดและไม่ได้แต่งงานกับซิติเซ่นเพื่อได้มาซึ่งวีซ่าค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
เราว่าเรื่องการแต่งงาน ไม่เห็นจะสำคัญเลยนะ จะแต่งกับคนชาติไหนก็เหมือนกันแหละ บางคนอาจโยงว่าเป็นเรื่องเรสิสได้อีก ถ้ามองว่ามันต่างกันน่ะ

สำคัญว่าอยู่แล้ว ใช้ชีวิตยังไงมากกว่า

คิดว่าไม่ใช่ทุกคนที่ไม่ต้องทำไรเลย ไม่ต้องทำงาน สามีเลี้ยง ไม่งั้นนั่งงอมืองอเท้ารักสบายอย่างเดียวสามีคงไม่แต่งด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าสามีจะเป็นชาติอะไรอะนะ แล้วก็หมดสมัยแล้วว่าต้องเป็นเมียฝรั่งแล้วจะสบายแบบในหนังยุค 80-90ส์ น่ะ(อาจจะดู บุญรอด กันมากไป) นี่มัน 2012 แล้วอะ

- หน้าที่การงาน
- การใช้ชีวิตยังไงในต่างประเทศ
น่าจะเป็นประเด็นที่เจ้าของกระทู้พูดถึงและอยากทราบมากกว่าค่ะ

เราก็แต่งงานกับฝรั่งด้วยอีกคนนึง มีความสุขมาก


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
เราไปเรียน แล้วได้กรีนการ์ดล็อตโต้ แต่ไม่ได้ตามเรื่อง
พอเรียนจบก็กลับเมืองไทย แต่สุดท้ายแต่งงานกับซิติเซ่นก็เลยกลับมาอยู่อเมริกาเหมือนเดิม


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
จขกท ถามว่านอกจากไปเรียนพวกคุณไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกกันได้อย่างไรเราว่า คห 4 เขาก็ตอบคำถาม จขกท นะ ไม่ได้ไปเดาเอาเอง หรือ ต่อว่าเสียดสีใคร

การได้มาอยู่เมืองนอกเพราะได้แต่งงานกับต่างชาติเนี่ยะ มันทำให้เสีย self ขนาดว่าแตะไม่ได้เลยหรือ มันไม่น่าจะดูเสียหายอะไรขนาดนั้นนะ

เรามองว่าการได้มาอยู่เมืองนอกเพราะได้แต่งงานกับต่างชาติเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ถึงมากที่สุด

ส่วนเรา มาเรียนแล้วได้งานก็เลยอยู่มาเรื่อยๆ ต่อไปในอนาคตก็อาจต้องแต่งงานกับต่างชาติเหมือนกัน


ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
เข้าใจว่าคนตั้งกระทู้เค้าถามประสบการณ์ไม่ได้ถามเอาสถิติ ไม่ต้องตอบแทนคนอื่นก็ได้นะคะ ดิฉันอ่านแล้วยังเข้าใจไปอย่างที่หลายคนเข้าใจเลย

มาตอบ จขกท บ้าง ก็ได้ visa ทำงาน แล้วต่อมาก็มี green card ตามมาก็เลยอยู่มาเรื่อยๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
มาวีซ่าคู่หมั้นกับแฟนชาวเมกัน แล้วก็มาแต่งงานที่นี้ ตอนนี้ถือกรีนการ์ดสิบปี กำลังคิดจะสอบซิติเซ่นต์เพราะจำเป็นต่ออนาคตการเรียนและการทำงาน

อาชีพหลักคือนักเรียน อาชีพรองคือชาวเกาะ ไม่ทำงานเพราะอยากจะทุ่มเทเวลาให้กับการเรียน แต่ว่าตอนนี้กำลังมองหางานทำความสะอาดบ้าน เพราะรายได้น่าสนใจและทำวีคและวันเท่านั้น คิดว่าคงจะพอลุ้น

เวลาว่างจากการเรียน ทำความสะอาดบ้าน ก็อ่านเวปต่างๆ ดูยูทูป ดูหนังเพื่อฝึกภาษา ไปซ็อปปี้ง สังสรรค์กับเพื่อนๆ (น้อยมากจะได้ออกไปเพราะมีสอบเยอะ) ออกไปคุยกับเพื่อนบ้าน นอกจากนั้นก็พาหมาไปเดินออกกำลังกาย ทำสวน ปลูกต้นไม้

จะพยายามนอนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะหลายช่วงต้องอดนอนต่อๆกันหลายวัน นอกจากนั้นก็สวดมนต์ ไหว้พระ สมาธิ

นั้นคือกิจกรรมของดิฉันไม่มีอะไรน่าสนใจเพราะกิจกรรมที่น่าสนใจ ตื่นเต้นจะอยู่ที่โรงเรียนเป็นส่วนใหญ่


ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
สีบทอดมาจากบรรพบุรุษค่ะ
บรรพบุรุษเป็นฮู๊ตมาก่อน แล้วได้อภัยโทษมั้ง ไม่แน่ใจ ><
แล้วก็ขอต่อๆกันมา ลูกๆหลานๆ ได้มาเรียนต่อเมืองนอกกันถ้วนหน้า
โดยที่ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยอะไร
บางคนก็เรียนจบ บางคนก็ไม่จบ
บางคนกลับไทยปล่อยใบเขียวขาด
บางคนอยู่ต่อ มีครอบครัว

ต้องขอบคุณบรรพบุรุษที่เป็นโรบินฮู๊ตในครั้งโน้น

ตอบกลับความเห็นที่ 22
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 23
เป็นคนหนึ่งที่ แต่งงาน แล้วมาอยู่ ต่างประเทศ ค่ะ

แต่ไม่ได้ แต่งงาน เพื่อที่จะได้มาอยู่ ต่างประเทศ นะคะ

แต่งงาน เพราะรักคนที่อยู่ ต่างประเทศ ค่ะ ^___^

ถ้าเจ้าของกระทู้อยากลองมาอยู่ต่างประเทศ (แนะนำว่าให้ลองก่อนก็ดีนะคะ จะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ) ถ้าตัดตัวเลือก มาเรียน ออกไป ก็น่าจะลองดู การทำงาน

มีเพื่อนเราคนหนึ่ง ตอนอยู่ไทย เขาเข้าไปสมัครในบริษัทที่หาพนักงานที่พอพูดภาษาอังกฤษได้ไปเป็นลูกเรือเรือสำราญอเมริกา งานหนัก แต่ก็ได้ฝึกภาษาตลอด รายได้ก็...ถ้าเทียบกับเมืองไทยละก็ ดีมากๆ

หรือไม่ก็ลองหางานแบบอื่นๆดู (เอา agency ที่น่าไว้ใจนะคะ) ^___^




ตอบกลับความเห็นที่ 23
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 24
มาเรียนค่ะ มาเรียนได้ 2 ปีแล้วมามีแฟนที่นี่
พอใกล้จะจบคือเหลืออีกแค่ครึ่งปีจะกลับ
แฟนแอบโทรไปหาคุณแม่เราที่ไทยแล้วขอเราแต่งงานกับแม่เราค่ะ

เราแต่งเพราะรักกันนะคะไม่ใช่แต่งเพราะอยากมาอยู่
สามีเป็นชาวเอเชียนะคะ แต่เกิดและโตที่นี่ ครอบครัวมาตั้งรกรากตั้งแต่
รุ่นตา-ยายน่ะค่ะ

เพราะทุกวันนี้ก็อยู่แต่บ้านเป็นแม่บ้าน เราไม่มีเพื่อนที่ไหนแล้ว
เพื่อนของสามีก็คือเพื่อนเรา ไม่มีสังคมเลยแอบเหงาเหมือนกัน


ตอบกลับความเห็นที่ 24
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 25
รู้จักกะลุงตั้งแต่ยังเรียนหนังสือชั้นมัธยม ตอนหลังลุงย้ายมาอเมริกา เงียบหายไปหลายปี
ตอนหลัง ลุงไปตามหาที่ฝรั่งเศส แล้วชวนแต่งงาน ลุงบอกจะขอวีซ่าให้ก็ว่า เออ ดี
ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับใบขงใบเขียวอะไรเลย

พอมาถึงไม่กี่สัปดาห์ เจ้าหน้าที่เขาส่งใบเขียวมาให้ เขียนกำกับว่า Permanent Resident
ฮุ แปลกใจ


ตอบกลับความเห็นที่ 25
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 26
เพราะรักจึงมา เพราะรักจึงทนอยู่


ตอบกลับความเห็นที่ 26
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 27
มาวีซ่า F2 ผู้ติดตามสามีเป็นคนไทย ตอนนั้นเค้ายังเป็นนักเรียนอยู่เลยตั้งแต่ปี 2000 เรากับสามีก็อยู่นี่ทำงานมาตลอดเพิ่งมาได้ใบเขียวไม่นานจากสปอนเซอร์ แต่ก่อนไม่มีใบอะไรเลยจนกระทั่งได้ใบทำงานก็ทำงานร้านอาหารไทย ตอนนี้มีโอกาสก็ลองไปลุยหางานออฟฟิศ คงด้วยโชคเลยได้งานทำ แต่ก็ไม่วายยังต้องทำงานร้านอาหารอยู่ เพราะว่าได้เงินเยอะกว่านะ เราทำงาน 7 วันเลย นานๆ ถึงจะได้มีวันหยุดสักที เลิกลากับสามี แต่ก็ไหว มีลูกเป็นแรงจูงใจ ตอนอยู่นี่แรกๆ ก็ไม่ชอบอยากกลับไทยทุกวัน แต่อยู่นานๆ แล้วก็ชินอยู่ไปเรื่อยๆ ไม่รู้อายุแก่แบบนี้แล้วจะไปทำอะไรได้ที่ไทย ภาษาเราก็ไม่ได้เลิศเลอนะ พูดรู้เรื่องอยู่แต่ไม่ได้ปร๋อแบบฝรั่งนะ เราคนไทยหัวใจไทยอ่ะ ไม่เคยไปเรียนหนังสือกับเค้าหรอกที่นี่ มีแต่สามีเค้าไปเรียน เพราะค่าเรียนคนเดียวก็มากโขอยู่ ทำงานสองคนช่วยกันจ่ายค่า รร. ตอนนั้นยังไม่มีใบเขียวนะ ทุกอย่างก็ลำบากมาก ไม่มีสบายเลยที่นี่ ปัญหาเรื่องภาษา เราจำได้ตอนทำงานร้านอาหารไทยปีที่สอง โดนคนไทยด้วยกันเค้าดูถูกว่าเราพูดไม่เก่งไม่เข้าใจเหมือนเค้า เค้าไม่พูดกับเรา แม้แต่เคยโดนหลานสาวเจ้าของร้านไทยแกล้งด้วย เราทนไม่ไหวก็ต้องลาออกมาหางานใหม่ เป็นอะไรแบบนี้หลายครั้ง เคยโดนเจ้าของร้านโกงเงินทิปก็มี ยังมีอีกเด็กคนไทยด้วยกันเพิ่งมาเราเห็นใจไม่มี ssn ไม่มีเครดิตซื้อของอะไรแบบผ่อนไม่ได้ เช่าบ้านไม่ได้ เราช่วยทุกอย่าง สุดท้ายเค้าหนีไปต่างรัฐทั้งคอมพ์ที่เราซื้อด้วยเครดิตเราให้ก็ไม่จ่าย ห้องเช่าอยู่ด้วยกันเชร์คนละครึ่งก็โดนเรากับสามีเต็มๆ สารพัดเลย แต่เราอดทนมาก ทั้งร้องไห้ทั้งอยากกลับบ้าน แต่ใจนึกต้องสู้ต้องการให้สามีเรียนจบได้ปริญญาอย่างที่เค้าตั้งใจ ในที่สุดก็ทำได้ เวลาล่วงเลยมาหลายปีก็ยังอยู่ที่นี่แต่ย้ายเมือง ทุกอย่างดีขึ่น มีคนเปิดโอกาสและช่วยเหลือมากขึ้น จนได้ใบทำงานและใบเขียว แม้วันนี้จะเลิกรากับสามีไปแต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกัน เราช่วยเหลือเค้าตลอดเวลาที่มีปัญหา เราเลี้ยงลูกเองไม่ได้แต่งงานใหม่ และเราก็ทำงานเกือบทุกวัน โชคดีมีคนรู้จักช่วยเราดูลูก เหนื่อยมาก แต่นี่คือชีวิตไม่คิดเสียดายเวลาเลย เสียดายอย่างเดียวไม่ได้อยู่ดูแลพ่อแม่ที่เมืองไทย แต่มีโอกาสเราก็กลับไป เราโทรหาพ่อแม่พี่น้องตลอด อย่าท้อถอยค่ะ เราเจอมาเยอะ ทั้งคนปิดโอกาส ดูถูก หลอกลวง ทั้งจากคนไทยและคนต่างชาติ แต่ต้องสู้และอดทนค่ะ คุณไม่มีทางจะได้อะไรมาง่าย ถ้าคุณไม่ได้เกิดบนกองเงินกองทอง จงภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำ และทำได้ ผิดพลาดคือประสบการณ์นะ :)


ตอบกลับความเห็นที่ 27
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 28
มีนักเรียนทุนของรัฐบาลประเทศนั้นๆจำนวนมากที่ได้ทุนไปเรียนแล้วทำงานอยู่อาศัยที่นั่นแล้วค่อยแต่งงาน

รอบๆข้างที่ดิฉันรู้จักมีเกินสิบคน...แน่นอนว่าอาจจะไม่ใช่จำนวนมาก

แต่สำหรับดิฉันแล้วกลุ่มนี้เป็นหญิงไทยในต่างประเทศ "ส่วนใหญ่" ที่ดิฉันรู้จัก

อย่างไรก็ตาม"ผู้ชายฝรั่ง" ที่ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตในเมืองนอกอย่างประเทศไทย "ส่วนใหญ่"ก็ได้ไปอยู่ยาวๆเพราะแต่งงานกับผู้หญิงไทย

ดังนั้นมันจะแปลกอะไร ที่หากผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ได้ไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศเพราะแต่งงานกับผู้ชายของประเทศนั้นๆ

คนที่ไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานแบบนี้แสดงว่า ยังไม่เข้าใจคำว่าความรักและการสร้างครอบครัวร่วมกับคนที่รัก


ตอบกลับความเห็นที่ 28
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 29
แต่งกับฝรั่ง (ด้วยความรักคัฟฟฟฟ)


ตอบกลับความเห็นที่ 29
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 30
เมื่อมีการหยิบเรื่องการแต่งงานแล้วได้มาอยู่เมืองนอกขึ้นมาพูดในคห.4 แล้วในข้อความนั้นสามารถแปลไปได้หลายความหมายอย่างที่หลายคนอ่านแล้วรู้สึกกัน แล้วมีคนออกมาแสดงความคิดเห็นด้วยเหตุผลเป็นการแสดงการเสียเซลฟ์หรือ ไม่เห็นมีใครออกมาเถียงข้างๆคูๆเลย

เรื่องนี้ใครจะแตะจะต้องจะแสดงความเห็นก็ได้ หรือแม้แต่แสดงอคติออกมาก็ได้ แต่ในเมื่อตัวเองแสดงความคิดเห็นได้ คนอื่นเขาก็มาแสดงความคิดเห็นกลับได้เหมือนกัน นึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปรกติธรรมดาในเว็บบอร์ดซะอีก

ตอบกลับความเห็นที่ 30
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 31
จังหวะชีวิตของแต่ละคนน่าสนใจทั้งนั้น เชื่อว่าหลายๆคนไม่ได้วางแผนแต่โอกาสมันเข้ามาเอง บางคนมีดวงเดินทาง ย้ายไปไหนมาไหนหลายประเทศ ส่วนบางคนก็ไม่มีเลย อยู่ที่เดิมซอยเดิมตั้งแต่เด็กจนสูงอายุ
บางคนก็แสวงหาเหลือเกิน เช่น พยายามเข้าเวปหาคู่เพื่อให้ได้แฟนต่างชาติ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล

ปล.เห็นด้วยที่คห4 ทำให้หลายคนไม่อยากแชร์ ประสบการณ์ของตัวเอง
ตอบกลับความเห็นที่ 31
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 32
ขอแชร์ด้วยคนค่ะ มาเรียนแล้วเจอกับแฟน
พอจบก็กลับไปทำงานที่เมืองไทยและยังติดต่อคบหากันกับแฟนร่วมปี
ตัวเขาเดินทางมาเยี่ยมเราแต่ไม่เคยขอแต่งงานเลยยื้อไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดเราก็คุยกันและได้ข้อสรุปว่าเราควรเป็นฝ่ายย้ายถิ่นฐาน
กว่าจะตัดสินใจได้ก็คิดหนักและเตรียมการเยอะ
เพราะรู้ว่าการมาเรียนกับใช้ชีวิตทำงานนั้นต่างกันมาก

ปัจจุบันทำงานอิสระมีรายได้พอเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาแฟน
ตั้งหน้าตั้งตาเรียนภาษาใหม่และสอบใบรับรองทางวิชาชีพให้ผ่าน
ขอยืนยันอีกครั้งว่าการมาใช้ชีวิตในต่างแดนไม่ใช่เรื่องง่าย
พวกที่สุขสบายจริงๆ มีอยู่แค่ร้อยละสิบนอกนั้นสร้างภาพทั้งเพ


ตอบกลับความเห็นที่ 32
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 33
พวกคุณไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกกันได้อย่างไร
คือหมายถึงว่า นอกจากไปเรียนนะคะ บางคนใช้ชีวิตต่ออยู่ที่โน่นเลย
ทำงาน ที่โน่นเลย อยากจะถามว่าทำกันอย่างไรคะ ????

จขกท ถามว่าทำกันอย่างไรจึงได้มาใช้ชีวิตเมืองนอก ......

ของตนเองเริ่มจากมาเรียนค่ะ เรียนเสร็จก็ได้รับการชักชวนให้ทำงานต่อจากคน 2กลุ่ม กลุ่มแรกตอนนั้นทางผู้บริหารองค์กรเสนอดำเนินเรื่องให้สมัคร visa ทำงานยาวเพื่อที่จะได้สมัคร PR ควบคู่ไปเลย แต่ตนเองเลือกทำงานกับกลุ่มที่ 2 ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อดึงดูดที่น่าสนใจเท่ากลุ่มแรกเนื่องจากสนใจในตัวงานที่2 มากกว่า หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้เปลี่ยนประเทศ แล้วก็ทำยาวมาถึงปัจจุบันค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 33
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 34
ดิฉันว่าเป็นเรื่องของชะตาลิขิตมากกว่า..

สมัยละอ่อน..เป็นนักเรียนมัธยม...ก็กาแดะตามพื่อน มีแฟน**เป็นนักเรียนตรียมทหาร

**แบบว่าแอบๆ แค่สบตากันตามร้านไอสครีม..หรือแบบเดิมตามกันไปป็นพรวนพร้อมหมู่พื่อนในงานวันพวงมาลา...มีเซ็นสมุดเฟรนด์ชิปแบบหวานๆ แค่นั้นก็เรียกว่าแฟนแล้วนะ..

พอเรียนจบม. แปด..ก็ต้องไปชุบตัวตามสมัยนิยม (ในขณะนั้น) คือไปเรียน
คอร์สสั้นๆที่อเมริกา..กลับมาจะได้มีงานทำดีๆ เพราะมีดีกรีว่าเป็นนักเรียนนอก (ฮา)

กลับมาเมืองไทย..หางานทำ และได้งานหลากหลาย ชื่อตำแหน่งหรูว่าเป็นเลขาฯ
ผู้บริหาร...แต่ในความเป็นจริง ต้องเอารองเท้าเมียนายไปซ่อมให้ ต้องไปเอาเสืิ้อผ้าที่หล่อนตัดเอาไว้..และอีกจิปาถะ...
เลยแต่งงานกับคนที่แม่เลือกให้...มีลูกเล็กๆคนหนึ่งฝากคุณแม่เลี้ยง..และพากันบินไปเรียนต่อ..
(หมายใจว่าจะอาดีกรีแรงๆกลับมา...เข็ดแล้วกับงานเลขาหน้าห้อง)

ไปอยู่อเมริกากับสามีไทย..ปรากฏว่า..เจอกับความจริงว่า..คุณเธอไม่ยอมเลิกกับแฟนเก่า ยังติดต่อกันหวานแหว๋ว...สมัยที่อยู่มืองไทย ก็กลับบ้านดึกๆดื่นๆแทบทุกวัน อ้างว่ามีลูกค้า..ปรากฏว่า..ที่จริงแล้วไปอยู่กับแฟนเก่า
อีกทั้งมีแผนว่า..กำลังจะหาทางให้เจ้าหล่อนมาอเมริกาอีกด้วย..

เลิกซิคะ..ถามได้...

เรียนจบกลับมาเมืองไทย..ตอนนั้นบ้านเรามีรัฐประหารบ่อยมาก..บริษัทที่ทำอยู่ก็อิงกับการค้าขายกับราชการ..ต้องวิ่งเข้าเส้นนอกออกเส้นใน..
ไม่ไหวแล้ว...คิดถึงอเมริกา..เลยกลับ..

กลับมาคราวนี้..ถึงได้เจอกับชายฝรั่งเศส-อเมริกัน..ที่มีน้ำใจงาม และ มั่นคง..
เลยตกลงแต่งงานกัน..แต่งงานได้เจ็ดปี..สามีเกิดอาการอยากจะเป็น "อาร์ติสต์" ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล...คือชอบไปงานแสดงศิลป เสวนากับเหล่าช่างศิลป ในขณะที่เราต้องวิ่งหัวฟู เพราะมีกิจการร้านอาหาร..
มารู้ทีหลังว่า..เขาเกิดไป"ติดใจ" หญิงชาติเดียวกัน ที่เป็นอาร์ติสต์คนหนึ่งในกลุ่ม..

ก็หลีกทางให้ค่ะ..เพราะไม่ได้โกรธ..ไม่ได้ขึ้ง..ทุกวันนี้ยังป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ชีวิตก็ไม่ได้ขาดอะไร มีคุณแม่และลูกชายอยู่เคียงข้าง..

จากนั้น...ก็ใช้ชีวิตว่างๆ แบบไม่เป็นเรื่องเป็นราวนัก มีอาชีพทำร้านอาหาร ตีกอล์ฟ กินไวน์ เหนื่อยตัวแต่ไม่เหนื่อยใจ...นานถึงยี่สิบปี...

คุณแม่และลูกชายกลับไปอยู่เมืองไทยแล้ว..เพราะชีวิตที่นั่นอบอุ่นและสบายกว่ามาก
ตัวเองก็ไปลงหลักปลูกบ้านไว้ติดๆ..รอวันที่จะเกษียณในไม่นานข้างหน้า..
จะไปนอนฟังเสียงลมทะเลด้วยกัน

แต่เมื่อหลายปีที่ผ่านมา..เดินทางบ่อย ชอบเที่ยวยุโรป..ชอบฝรั่งเศส..รักความสวยงามและมีระเบียบของบ้านเมือง..มี penfriend (ชายฝรั่งเศส) กะเขาคนหนึ่ง คุยกันมาตั้งแต่เขียนอีเมล์ ไปมีโอกาสได้พบปะ แวะทักทายกัน..
ต่อมา..ก็พัฒนามาเป็นเพื่อนคุยทาง Skype แบบเรื่องจิปาถะทั่วไป..

จากนั้น..เขาก็ชวนไปเป็นแขก (แบบพักที่บ้าน) เพื่อที่จะพาเที่ยวชมเมืองของการผลิตแชมเปญ..ผสมกับเล่นกอล์ฟด้วย..เพราะเป็นกีฬาโปรดของเราทั้งคู่

ปีที่แล้ว..เขาขอแต่งงาน...เพราะมันเป็นการเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของเราสองคน...อีกทั้งการที่มีคนคอยอาทรอยู่ข้างกาย...ไม่ว่าเราจะหัวเราะหรือร้องไห้...สิ่งที่แถมมาคือหลักประกันในอนาคต (ของดิฉัน) ที่ค่อนข้างแน่นหนาพอสมควร..

สมัยที่ยังเอ๊าะๆ สาวๆ สดๆ...หาแทบตายเลยแบบนี้น่ะ..(ไม่ยักกะเจอ)
นี่ไงคะ...ถึงได้บอกว่า..มันเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตมากกว่า...

ตอบกลับความเห็นที่ 34
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 35
อ่านได้เรื่องของ คุณ : WIWANDA ตั้งสองหน!
ขอแสดงความยินดีและขอให้เป็นเช่นนั้นตลอดไปครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 35
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 36
สวัสดีค่ะคุณอิสวาสุ

ขอบพระคุณมากค่ะ..อยากจะกราบสวัสดีผ่านหลังไมค์ก็ทำไม่ได้..ขอพื้นที่ตรงนี้เลยละกัน
ชีวิตของดิฉันคงไม่เปลี่ยนอะไรไปจากแนวที่วางไว้แล้วละค่ะ เพราะแก่เกินแกง ล้าเกินคิดไปแล้ว..
แต่อยากจะบอกน้องๆหลานๆเอาไว้เป็นแนวทางกันเอาไว้บ้าง..บางทีเราวิ่งตามอยากจะทำโน่นทำนี่
ทำให้ได้อย่างใจคิดนั้น..มันเหนื่อยและบั่นทอนมาก

แต่มาลองใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ยึดติด กินอยู่พอเพียง..ลดละเลิกอะไรที่มันไม่จำเป็นไปบ้าง
ชีวิตสบายขึ้นเยอะเลย..
จะว่าไปเดี๋ยวนี้ดิฉันก็กลายเป็นสิงห์อีเบย์กะเขาเหมือนกันนะ..ซื้อดะไปหมดเลยค่ะ ติดใจมากซื้อได้ของดีในราคาที่แสนถูก..ภาษีและค่าส่งก็ไม่ต้องเสียแล้วด้วย..


ตอบกลับความเห็นที่ 36
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 37
สวัสดีค่ะ อยากแบ่งปันความคิดเห็นและข้อมูลให้ตามที่ถามมา


ก่อนอื่น ขอทักทายสวัสดีพี่หวาน วิวันดา ดีใจที่ได้อ่านบทสรุปของชีวิต

ในตอนแรกเห็นกระทู้นี้ ไม่ค่อยแน่ใจว่า ถ้าเล่าแล้วจะมีผลกระทบอะไร
เพราะชีวิตจริง ยิ่งกว่านิยาย ยิ่งกว่าความฝัน และไม่ใช่ทุกคนจะสมหวัง

พอเห็นชื่อวิวันดา ซึ่งแน่ใจในระดับหนึ่งว่า เห็นโลกในอเมริกามาครบถ้วน
และข้อสำคัญ เห็นกันมาในช่วงหนึ่งของการเริ่มต้นชีวิตนักเรียนนอกที่นี่


ดิฉันจึงอยากจะร่วมแบ่งปัน และตอบคำถามไปในตัว ว่า

ทำอย่างไร ได้ไปอยู่เมืองนอก แบ่งออกเป็นสามลักษณะ ก่อนจะมา

๑. วาดฝันและวางโครงการของชีวิต ให้ไปในทิศทางที่เหมาะแก่ตนเอง

๒. มีแรงบันดาลใจ แรงผลักดัน แรงสนับสนุน จากครอบครัวและแวดวง

๓. เตรียมพร้อมในทุกด้าน กาย ใจ ผลการเรียนและการติดต่อเครือข่าย


ใช่ค่ะ ดวงชะตา เป็นหนึ่งในคำตอบ แต่ประกอบด้วยเครือข่ายด้วย
นอกเหนือจากนี้ คือความมุ่งมั่น การตัดสินใจที่เด็ดขาด การต่อสู้ยาวนาน


สังคมมีอิทธิพลต่อการวางกรอบให้กับชีวิต พื้นฐานการศึกษาส่งเสริมด้วย

แรกเริ่มที่เดินทางมา ปีกอ่อนๆ ต้องบินตามผู้นำ มีคนสอน มีนกใหญ่พยุง
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มาเมืองนอก ด้วยความทะเยอทะยาน มาด้วยสติปัญญา

และพบโชคชะตา ที่พาขึ้นสูงสุด สู่จุดที่คนน้อยคน ที่จะทำได้ ไปได้ถึง

การเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยท็อปเท็นในยุค ๓๐ ปีที่แล้ว เป็นจุดสูงสุด
เครือข่ายทางสังคมผลักดันอย่างมาก คือครอบครัว สถาบัน และมิตรสหาย

ด้านครอบครัว ผู้ใหญ่มีประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศ ทางทูตทหาร
ด้านสังคม ครูอาจารย์ส่งเสริมสนับสนุน และมีผู้ใหญ่ในต่างประเทศดูแล
มิตรสหาย มีเพื่อนรักที่ย้ายมาอยู่ต่างแดน ให้ความรู้ ชี้แนะ เกี่ยวกับชีวิต
และความเป็นอยู่ในต่างแดน มีผู้ใหญ่ทั้งไทยและชาวอเมริกันสนับสนุน

ขั้นตอนการศึกษา ไปตามกระแสนิยม และได้มิตรต่างประเทศเป็นแรงใจ

เพื่อนใหม่ในต่างแดน นักศึกษานานาชาติ ครูต่างชาติ และผู้ดูแลคุ้มครอง

ระดับผู้ให้ความกรุณา ซูปรีมคอร์ทของมลรัฐ ซึ่งเป็นผู้ดูแลพี่ชายมาก่อน
ทุกทางผลักดัน ส่งเสริม อุ้มชู และส่งต่อ เข้าไปในระบบที่สมควรจะอยู่

เครือข่ายรอบล้อม เป็นมิตรสหายในวัยเดียวกัน สังคมเดียวกัน มากกว่า
๔๐ หรือ ๕๐ คน ที่ออกมาแสวงหาวิชาการ เพราะแนวทางอย่างเดียวกัน

การชักนำของเพื่อนที่ดี ทำให้เดินเส้นทางที่ตรงไปยังจุดหมายที่ชัดเจน

โชคชะตาหักเห ประสบอุบัติเหตุ ญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต และป่วยหนัก ๒คน


ไม่มีอะไรที่เหมือนฝันไปได้ตลอด เดินทางกลับไทยและเป็นคุณหนู

ดิฉันเป็นคนที่มีชีวิตเหมือนอย่างนิยาย มีทุกสิ่ง ได้ทุกอย่าง ไม่ต้องดิ้นรน
เป็นคนที่มีความอบอุ่นในครอบครัว มีเพื่อนรอบล้อม มีบริวารบ้านรถฯ

มีสังคมที่ดี และมีเครือข่ายซึ่งจริงใจต่อกันมาโดยตลอด ในทุกๆทาง


โชคชะตา นำพาให้เดินทางมาท่องเที่ยว และมองหาเส้นทางที่เหมาะสม

พบคู่ชีวิต (คนไทย) สมรส และอยู่ถาวร มีชีวิตอย่างที่คนต่างแดนต่อสู้

ถ้ามองว่า ไปได้สู่จุดที่ฝันหรือเปล่า สำหรับตัวเอง คำตอบคือใช่แน่นอน
เพราะการมองชีวิตของดิฉัน ไม่ใช่ในสายตาของคนที่ลงทุนเพื่อกำไรอื่น
แต่เป็นการแสวงหาผู้ร่วมทาง ที่จะแบ่งปันและไม่ทอดทิ้งกันตลอดทาง

ยากไหม ที่จะพบ และยากไหม ที่จะรักษาสิ่งดีที่สุด ในชีวิตที่เราได้มา

ดิฉันมีความฝันของตนเอง และต้องการมากกว่าอย่างอื่น คือดูแลพ่อแม่

สำหรับคุณพ่อ ดิฉันได้กลับไปใกล้ชิดในช่วงสุดท้าย ๒ ปีที่ท่านป่วยชรา
สำหรับคุณแม่ ดิฉันและสามี ได้ช่วยกันดูแลอยู่ ๘ ปี ที่ท่านเดินเองไม่ได้

ชีวิตคือการเดินทางไกล และเมื่อเราเลือกแล้ว เราต้องไปให้สุดขอบฝัน

อาจต่างจากหลายๆคน ที่พบคู่แล้วเลิก เพราะไม่มีใครอยากเป็น ๑ หรือ ๒

แต่ดิฉันโชคดีทางด้านคู่ครอง และมีเครือข่ายกัลยาณมิตร ของสามี ที่นี่

ในสายตาคนสมัยใหม่ ทุกคนต้องทำงานและต้องเป็นคนออกไปหาเงิน
แต่ในโลกที่ดิฉันเติบโตมา ตั้งแต่ทวด ยาย และสมัยของแม่ สามีดูแล

ดิฉันอาจจะไม่ใช่แบบอย่างที่จะตอบคำถามนี้ ได้ดีนัก แต่นี่คือสิ่งที่ทำ

ทำให้วันเวลาของเรา มีสิ่งที่เราต้องการ และเป็นสิ่งที่เราสมควรจะมีสิทธิ์
เครือข่ายยังสำคัญอยู่เสมอ เพราะทุกคนต้องการกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต

แต่เราไม่ทราบอยู่ดี ว่า โชคชะตาจะพาขึ้นลงอย่างไร ไม่มีใครบอกได้

อยู่ที่ว่า กำลังใจของเรามั่นคงพอหรือเปล่า เรารู้ว่าเรามี หรือไม่มีสิ่งไหน

จากที่กล่าวมา ใแง่วัตถุ เพราะดิฉันได้รับมาทั้งชีวิต จึงอยากค้นพบตัวเอง
ถ้าไม่มาต่างแดนนานและไกล ดิฉันอาจไม่เคยรู้เลยว่า ชีวิตต้องการอะไร
เพราะสังคมจัดสรรให้ตั้งแต่ก่อนเกิด มีฐานรองรับ มีสรรพสิ่งเกื้อกูลเสมอ

ดวงอุปถัมภ์ เป็นสิ่งที่ทุกคนคิดว่า ตรงกับสิ่งที่เล่ามา มีผู้เกื้อกูลทั้งชีวิต

ที่จริงแล้ว เมืองนอกก็คือที่ที่หนึ่ง ที่ลงตัวสำหรับเรา คืออยู่แล้วสมหวัง
ไม่เคยคิดว่า การมีชีวิตเมืองนอกจะเป็นอะไรที่มีความสุขกว่าคนที่ไทย

แต่ดวงชะตาของเรา เป็นเช่นนี้เอง ครอบครัวมีความสุขกว่าจะอยู่ในที่อื่นๆ

ก่อนที่จะพบกับสามี แน่หละ เรามีสิทธิ์เรียนรู้และเลือกหาคนที่ใช่จริงๆ
สำหรับคนประเภทดิฉัน ชีวิตคู่สำคัญ ต้องยืนยาว ต้องรักษาคำมั่นสัญญา

ต้องผ่านความยอมรับของสังคม มีการจัดการตามขั้นตอนตามประเพณี
และมีกฎหมายรับรอง มีคอมมิทเม้นท์ ที่จะสร้างอนาคตฝ่าฟันอุปสรรค

ในเครือข่ายที่พบ คนไทยรุ่นก่อนๆ แต่งงานกับสามีไทย หลายร้อยคู่ค่ะ
เพิ่งจะมารุ่นกลางๆและหลังๆ (หลังมีเว็บหาคู่) ที่หญิงไทยสมรสต่างชาติ

เพื่อนรักคนไทยของดิฉัน (ซึ่งคุณวิวันดารู้จักนับถือทั้งครอบครัวเช่นกัน)
สมรสกับชาวอเมริกัน ครอบครัวอบอุ่นมาก ตอนนี้ลูกคนโตเข้ายูซีแล้ว

มาอย่างไร มาเพราะการโยกย้าย ของข้าราชการไทยรุ่น ๔๕ ปีก่อนนี้ค่ะ

ชีวิตของคนที่เรารู้จัก ในยุคหลัง มีลูกหลานเติบโตแต่งงานเจเนเรชั่นที่ ๔

คนไทยที่ย้ายมาใหม่ในยุคหลังนี้ มีเครือข่ายของชุมชนไทยรองรับงาน
มาเพราะเพื่อนชักจูง มาเพราะต้องการทำงาน หรือมาเพราะตามคู่สมรส

แต่ดิฉันขอยืนยัน ว่า การเริ่มต้นชีวิตของตนเอง เกิดจากอยากเรียนวิชา
ถ้าไม่ได้สมรส กับสามี ดิฉันคงเลือกที่จะไปอยู่ทางฝั่งตะวันออกสหรัฐฯ

แน้ใจว่าตัวเอง เป็นคนที่อยู่ลำพังได้ในต่างประเทศ คิดเอง ทำเองได้ครบ

นั่นแหละค่ะ สำคัญที่สุด คือความเชื่อมั่น ถ้ามีใครสักคนที่รักเราถาวรได้
ก็จะยิ่งเป็นแรงส่งเสริมให้อยู่อย่างเติมเต็มให้กับกันได้อย่างยาวนานที่สุด

สามีของดิฉัน เป็นผู้ชายไทยนิสัยดี ขยัน อดทน ซื่อสัตย์
ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา ไม่แตะต้องอบายมุข หนักแน่นและไม่ไขว้เขว

ค่าครองชีพในแผ่นดินนี้ ในยุคนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จะออกหัวก้อยยังไม่รู้
แต่ดิฉันไม่ได้รู้สึกแตกต่าง ไปจากชีวิตในเมืองไทย ที่เคยมีทุกสิ่งพร้อม
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด ยังมีอยู่ในตัวเอง คือความมั่นใจว่าเรามีคนที่รักเรา
และเราอยู่เพื่อให้กำลังใจเขา เพราะเขาเป็นคนที่สมควรจะได้รางวัลชีวิต

สามีของดิฉัน เคยเป็นผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์มาก่อน และได้ลาสิกขา
ก่อนที่เราจะได้พบกันวันแรก นานถึง ๗ ปี วันแรกที่พบกัน คุณวิวันดา
ทำร้านอาหารไทยอยู่กลางหุบเขาคาร์เมล เราได้ไปทานอาหารกันที่นั่น

ดิฉันถือว่า คุณวิวันดา เป็นพยานบุคคล ปากเอกเลยทีเดียว ที่จะยืนยันได้
ว่า ความรักของดิฉัน เกิดขึ้นเพราะธรรมชาติงดงามและดวงชะตานำพา
ไม่ใช่การพบกันในวัด และไม่ใช่ในยุคที่เขาครองผ้าเหลืองอย่างแน่นอน
เพราะตอนนั้น ดิฉันยังเป็นนิสิตจุฬาฯ ยังไม่ได้มาเมืองนอกครั้งแรกเลย

ในยุคแรกที่มาอเมริกา ชีวิตของดิฉันคือดอกไม้สีชมพู อยู่อย่างหรูหรา
มีรถขับเอง มีเงินใช้ ไม่ต้องทำงาน และไม่เคยต้องรู้ว่าสังคมเป็นอย่างไร

แต่ทุกวันนี้ ดิฉันได้ทราบว่า มีคนที่ต้องต่อสู้ตั้งแต่ยังไม่มากว่าจะมาได้
มีคนที่มาแล้วอยู่ไม่ได้ ต้องหย่า ต้องเลี้ยงลูกอย่างลำบาก มีคนที่ดวงดี
ได้สามีที่ชุบชู ให้พ้นจากอดีต และมีคนที่โดนทำร้ายให้จิตใจชำรุดสลาย

ดวงชะตา และเครือข่าย มีอิทธิพลต่อวิถีทางที่อยู่ในต่างแดนอย่างมากค่ะ

แต่การได้อยู่เมืองนอก ไม่ได้แปลว่า ใครเหาะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ดุสิต
เราก็อยู่กันแบบไทยๆ บนดิน กินข้าวก้นบาตรพระ ในบางครั้งเช่นกัน

เป็นทางเลือกของปัจเจกบุคคล ดิฉันอยากอยู่กับคนที่สละตนเพื่อสังคม
และเป็นคู่คิดให้แนวทางทีไอดีลลิสติค อยากใช้ชีวิตที่เราเป็นผู้ให้บ้าง
เพราะเรารับมาทั้งชีวิต และในทางที่ทำได้ คืองานเขียน คืองานทางปัญญา

การได้แต่งงานกับคนที่มีความรู้ปรัชญา ส่งเสริมพื้นฐานทางอักษรศาสตร์
ดิฉันได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก ทำอย่างต่อเนื่องด้วยอุดมการณ์ ๒๕ ปีเต็ม
ไม่ได้มีคนไทยมากนัก ที่ทำงานวรรณศิลป์ให้กับสังคมไทยในประเทศนี้
เมื่อดิฉันมีในสิ่งที่ได้มาจากดวงชะตา จึงอยากเป็นคนที่ให้วิทยาทานต่อ
อาจไม่สำคัญเลย เป็นเศษกระดาษหรือของไร้ความหมายในสายตาใคร
แต่สำหรับคนที่รู้ค่า แม้เพียงหนึ่งคนหนึ่งครั้ง ก็ให้กำลังใจได้ทั้งชีวิตค่ะ

ที่สำคัญกว่านั้น การอยู่ในต่างประเทศ ในชุมชนที่แพร่พระพุทธศาสนา
เป็นเส้นทางที่สร้างความเจริญทางจิตวิญญาณ ดิฉันคิดว่าเป็นความสุข
และความสมหวัง เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง เป็นชีวิตที่เดินถูกทาง

อย่างหนึ่งที่ดิฉันสังเกต จากการทำบุญ และการแผ่อานิสงส์ในทุกครั้ง
คือสิ่งที่ดิฉันปรารถนา จะได้สมหวัง หากสิ่งนั้นได้มาโดยบริสุทธิ์ชอบธรรม

ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวนาน แม้พระพุทธศาสดายังต้องปรินิพพาน ๘๐ เท่านั้น

คุณแม่ของดิฉัน เมื่อฉลองอายุ ๘๐ ท่านบอกว่า แม่สมหวังแล้วนะลูกจ๋า
ได้อยู่จนอายุเท่านี้ และได้เห็นในสิ่งที่ท่านอยากจะเห็น คือลูกมีสามีที่ดี

สรุปตรงนี้ว่า ทำตนให้อยู่ในแนวทางที่พ่อแม่วางไว้ให้ จะอยู่ที่ไหนก็ได้ดี

ขอให้สมหวังนะคะ สำหรับทุกๆคนที่แสวงหาสิ่งที่ต้องการ

กตัญญูรู้คุณบิดามารดา ชีวิตย่อมพบความเจริญ


ตอบกลับความเห็นที่ 37
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 38
ที่จขกทถามคงจะหมายถึงว่าให้ได้มาทำอย่างไร ก่อนอื่นก็ต้องมาเรียนแหละครับน่าจะเป็นวิธีที่ง่ายกว่าวิธีอื่น ขั้นต่อไปเมื่อจบแล้วจะอยู่ต่อได้อย่างไร คำตอบข้อหลังก็ค่อยพยายามต่อไป ก็ไปลงที่ดวงชะตาอยู่ดีแหละครับ ตอนนีเตรียมตัวเรื่องภาษาให้พร้อมครับ

เมื่อเทียบกับคุณ : Idealist USA ผมเองซึ่งเป็นชาว"บ้านธรรมดา"ซึ่งผมภูมิใจ แล้วต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว แต่มีความพยายามมีชีวิตที่ดีมาตลอดและถ่ายทอดไปยังลูกได้เท่านั้นเอง
คุณ : WIWANDA คุณหยอดคำหวานเสียจนผมเขินแต่ขอบคุณครับ ตอนนี้ผมซื้อของไม่กี่แบบแต่ซื้อมากเพราะคิดว่าราคาถูก ที่เอามาขายก็เป็นของที่ต้องกำจัดทั้งๆที่ภรรยาเตือนเสมอว่าอยู่ต่ออีกไม่กี่ตัวเสื้อหรือกางเกงแล้วนะอย่าทิ้งของไว้ให้คนข้างหลังลำบาก ไปวัดไปวากันมั่งเถอะ อิอิ


ตอบกลับความเห็นที่ 38
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 39
มาำทำงานครับ ที่ำทำงานส่งมา แล้วก็อยู่มาเรื่อยๆ ...


ตอบกลับความเห็นที่ 39
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 40
เราอยู่เมืองนอกเกือบยี่สิบปี มาเรียนแล้วได้งานทำ บริษัททำกรีนคาดให้ เและก็ได้ซิติเซ่น ด้วยตัวเอง

แฟนเราก็เป็นต่างชาติ เขาก็ได้กรีนคาดจากบริษัทเขา


ตอบกลับความเห็นที่ 40
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 41
เอ..ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นนะครับ

มาทำงานที่ซูดานใต้ แอฟริกา ไม่ค่อยเจริญเท่าไร (จะว่าไปประเทศนี้อยู่ในกลุ่มถือว่าจนที่สุดในโลก)

มายังไง พอดีมี Head Hunter ติดต่อมา

อยู่ยังไง ตอนนี้ที่นี่มีบริษัทร่วมของคนไทยอยู่ก่อนแล้ว ทำด้าน Civil แต่เรา Agriculture
มีคนไทยอยู่เป็นร้อย มาทำงานเก็บตังค์ส่วนมากอยู่กันปีสองปี อยู่กินก็สะดวกพอควร เหมือนอยู่ในค่ายทหาร ไม่ค่อยได้ออกไปไหนนอกจากไปทำงานแล้วกลับมาแคมป์ เนื่องจากอันตรายพอควร

ส่วนต้องทำอย่างไร แนะนำให้สมัครพวกเวปหางานครับ ทั้งไทยและเทศ แนะนำก็ jobstreet.com หรือพวกบอร์ด NGO รึ UN แล้วกรอกข้อมูลใน CV ลงประสบการณ์ต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษ เดี๋ยวก็มีคนมาติดต่อเองครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 41