แล้วเราก็พบกันในวันหนึงวังเวียง

หากกาลเวลาจะทำให้เรามองอะไรได้ชัดขึ้น..ลึกขึ้น และซึ้งขึ้น ก็นับเป็นโชคดีที่เป้าหมายของปลายเท้าถูกบ่มเพาะมายปีจนวันนี้ ที่ทำให้เราเข้าถึงด้วยความเข้าใจและเก็บเกี่ยวอะไรๆ อย่างคนมีสติ ปลายทางที่อยู่เพียงประเทศเอนบ้านแต่ถูกดองเอาไว้ในหัวใจนานเหลือเกิน แล้วเราก็พบกันวังเวียง
ความคิดเห็นที่ 1
ก่อนมาไม่ได้หาข้อมูลอะไรมากมาย เพราะบรรจุเอาไว้นานแล้ว เพียงแค่อัพเดทเรื่องการเดินทางและระยะเวลาที่จะไปถึง จากที่เคยรับรู้มาว่าจากเวียงจันทน์ไปวังเวียงนั้น 4-6 ชม. ณ วันนี้เปลี่ยนไปแล้วด้วยความเจริญ ถนนที่ถูกปรับปรุงใหม่ทำให้เราใช้เวลาแค่เพียง 3 ชม.ครึ่งเท่านั้น ก็ยกความดีให้กับฝีเท้าของคนขับที่ขยันทำเวลาเหลือเกินแม้จะหวาดเสียวตามไหล่เขา โค้งหักศอก ที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีเพื่อนบนถนนคันไหนสวนทางมา ขอข้ามกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จ.หนองคาย มาจนถึงหน้าด่าน ตม.ลาว ผ่านมายังเวียงจันทน์แล้วพุ่งสู่วังเวียงทันที
ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ลืมรูป ^^ ไม่ได้โพสนาน
ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
แวะซื้อเป็ปซี่ลาวเสียหน่อย
ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
มหาวิทยาลัยแห่งลาวที่เวียงจันทน์..ระหว่างทางผ่าน
ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
กว่าจะได้ทานอาหารเย็นและเช็คอินที่พักก็ 3 4 ทุ่มเข้าไปแล้ว ปล่อยเวลา 1 วันไปกับการเดินทาง เตียงอุ่นๆ ผ้าห่มนุ่มหนาของเราอยู่ที่ วิลล่าวังเวียงริเวอร์ไซด์ (Villa Vang Vieng Riverside) ชื่อก็บอกว่าอยู่ติดริมแม่น้ำซอง และแม้จะอยู่ริมตัวเมือง แต่ก็โชคดีที่วิวริมน้ำของเราสวยมาก ทำให้เจริญอาหารเช้าขึ้นเยอะเลย (มื้อเช้าหากสามารถทานในโรงแรมได้ก็จงทานเสียให้อิ่ม เพราะปากอย่างเราๆ อาจจะไม่ถูกปากกับอาหารมื้อต่อๆ ไปตลอดทั้งวันของที่นี่ที่มีแค่รสจืดและเค็ม)
ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
วิลล่าวังเวียงริเวอร์ไซด์ (Villa Vang Vieng Riverside)
ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ดูโรงแรมกันต่อ
ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
เมืองเล็กๆ ในหุบเขาที่เคยเป็นเพียงแค่ทางผ่านไปหลวงพระบาง ผ่านวันเวลาของการค้นพบ ค้นหาของนักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติ เหล่านักแสวงหาต่างแบกเป้มาใช้ชีวิตกันแบบสุดขีด ความมึนเมาในรสแห่งความสุขและธรรมชาติที่เราโหยหา ผันพาให้ความน เงียบเปลี่ยนแปลงไป การเดินทางเข้ามาของผู้คนย่อมพาเรื่องราวเข้ามาเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ชาวบ้านพร้อมจะเปิดรับเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ บ้านเรือนหลายแห่งถูกเปลี่ยนไปเป็น เฮือนพัก ที่ดินถูกสร้างเป็นโรงแรม .สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหม เหมือนอย่างที่เราเห็นๆ กันที่ปายและเชียงคาน แต่ไม่อยากรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะหัวใจเราจะชาชินกับความสุขฉาบฉวยที่เข้ามาบดบังความน่ารักของสถานที่แห่งเหล่านี้
ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
แม้แต่ในตัวเมืองมุมไหนๆ เราก็อยู่ท่ามกลางหุบเขา
ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
มาที่นี่ทำอะไรหากไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือที่จะนั่งเก็บเกี่ยวความรู้สึกและพักหัวใจได้หลายคืน ก็จงปลุกชีพจรที่เท้าแล้วก้าวออกไปเสาะหาเพื่อมาให้ถึงถ้ำจังหรือถ้ำจั่ง เดินทางง่ายๆ ใกล้ๆ ตัวเมือง ก่อนเข้าไปแวะซื้อปี้หรือตั๋วกันก่อนด้วยล่ะ ของเค้าไม่ได้เข้าไปกันฟรีๆ เดินข้ามสะพานสีส้มที่แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่แล้วที่ใครไปใครมาก็ต้องถ่ายรูป ช่วงที่เดินขอมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวพอ ขืนมองไปด้านล่างที่มีแต่น้ำมีหวังใจหวิววาบเดินไม่ไหวแน่ๆ
ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
^^
ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ก่อนจะเริ่มเหนื่อยเผื่อใครหิวข้างทางเขาก็มีร้านน้ำ ร้านขนมว่างเล็กๆ ให้ได้ติดไม้ติดมือกันไปกิน ขนมครกเอย (คล้ายขนมครกบ้านเราแต่เค้าใช้แป้งเขียวๆ ทำอย่างเดียว) มันเผาเอย ข้าวโพดเอย รังผึ้งย่างเอย ก็แล้วแต่งว่าอยากจะลิ้มอะไร
ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
แวะมาชมรีวิวด้วยคน เด่วปีใหม่จะตามไปมั่ง
ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
มาถึงตีนถ้ำมองขึ้นไป..โอวพลังขาของฉันยังดีอยู่ใช่ไหม?? ถามตัวเอง ก่อนจะปีนบันไดสูง 147 ขั้นแบบถี่ๆ บริหารหน้าขา ขึ้นไปชมหินงอกหินย้อยแล้วจินตนาการกันว่าเป็นรูปอะไร บ้างก็ว่าเป็นพระบิณฑบาต บ้างก็ว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิม แต่ต่อมจินตนาการของเรามันเสื่อม มองไม่ค่อยออกว่าอะไรเป็นอะไร เลยเอาเวลาไปใช้กับการได้โผล่ออกไปตรงจุดสูงสุดเพื่อชมวิวแบบ 360 องศาของเมืองเล็กๆ แห่งนี้จนเต็มอิ่มเสียดีกว่า
ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
เหมาะกับการเก็บแบบพาโนรามาจริงๆ
ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
เพราะเดินขึ้นอย่างทารุณสำหรับคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกายไปแล้วตอนเดินลงมาเลยตัวเบาเพราะเป็นบันไดธรรมดาไม่ต้องระวังอะรมาก ทำให้มีโอกาสได้แวะมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ผลิดอกตามข้างทางบ้างเป็นระยะๆ ตรงด้านล่างของตีนถ้ำจังนี้เป็นแอ่งน้ำที่ไหลออกมาจากหุบเขาในถ้ำ น้ำใสมาก เลยทำให้หลายต่อหลายคนอดกระโดดเล่นไม่ได้
ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
เรียกเหงื่อกันต่อกับเป้าหมายต่อไปที่ต้องนั่งรถเครื่องผ่านเส้นทางดินแดงที่ฝุ่นคลุ้งตลอดทางที่แสนไกล แต่ผืนนา ฟ้า เขา ทำให้เราหายสนใจฝุ่นแดงๆ เหล่านั้นไปได้ ถ้ำปูคำที่เคยมีเรื่องเล่าว่าเมื่อก่อนเคยมีปูสีเหลืองทองคำอาศัยอยู่ในถ้ำนี้เป็นจำนวนมากแต่ก็อย่างว่าถูกจับมากินหมดทุกวันนี้เลยเหลือแต่ชื่อ แต่ไกด์ก็ยังปูทางเอาไว้ให้ว่าใครเข้าไปแล้วมีโอกาสได้เจอเจ้าปูทองคำเหล่านี้จะโชคดี ผู้แสดงหาโชคทั้งหลายใจก็มา เดินขึ้นด้วยความสมบุกสมบัน ระยะไม่สูงเท่าถ้ำจังก่อนมาไกด์บอกไว้อย่างนความวิบากเยอะกว่ามากนักไม่เห็นบอกเลยล่ะคะคุณไกด์ เราต้องอาศัยจับราวไม้ไผ่ที่มีไว้ได้แค่ประคอง จะโถมไปทั้งตัวก็คงหักเป็นแน่แท้ ไม่มีบันไดให้เห็น เป็นเพียงแค่หินที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ กับร่องรอยของการถากถางเอาไว้ก่อนนักผจญภัยหน้าจนเป็นทางเดินขึ้นลงใจมาแล้วนี่ กลัวอะไรที่สุดแล้วไปได้แค่ไหว้พระนอนด้านบน แต่ให้เข้าไปลึกกว่านี้อีกคงไม่ไหวเพราะเราไม่ได้เช่าไฟฉายขึ้นมาด้วย มาถึงด้านบนถึงได้ อ๋อจุดเช่าไฟฉายทางด้านล่างเพื่อการณ์นี้นี่เอง ข้างในมืดและลื่นมากในบางจุด และยังมีทาดเลี้ยวให้ลุยเข้าไปได้อีกนี่เอง เดินเข้าไปแบบไหนแต่ไม่อยากกลับแบบนั้นก็ค้นหาเส้นทางใหม่ที่กายเราพร้อมกว่ากลับมาปากถ้ำมันสนุกตรงนี้นี่ล่ะ ความหฤหรรษ์ของเส้นทางนี้คือการลง ขึ้นว่ายากและชันมาก ลงนี่ต้องนั่งถัดลงมากว่าครึ่งทาง คนกลัวความสูงคงต้องขอลาแน่นอน หลังจากขึ้นไปวัดใจว่าจะอดทนปีนได้สักแค่ไหน ลงมาเจอเครื่องดื่มเย็นๆ บรรเทาเหนื่อยแบบนี้ก็ดีขึ้นเยอะ ..ขอตัวไปนั่งชิลๆ ดูฝรั่งกระโดดน้ำที่บลูลากูนดีกว่า
ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
ดูเส้นทาง
ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
ข้างในปากถ้ำที่เราไปไ้ด้แค่นี้
ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
ระหว่างทางไปถ้ำปูคำมีชาวบ้านที่ทอผ้าขาย เป็นผ้าขาวม้าพื้นเมืองในราคาไม่แพง ผืนละ 100-120 มีเวลาก็ลองให้รถจอดแวะเยี่ยมชม
ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
เด็กน้อยพยายามกวนแม่เพื่อให้ได้มาซึ่ง....
ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
เส้นด้าย เส้นไหม เส้นแห่งชีวิต
ตอบกลับความเห็นที่ 22
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 23
บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นแดงเราเลือกที่จะมองไปทางด้านข้างดีกว่า
ตอบกลับความเห็นที่ 23
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 24
^^
ตอบกลับความเห็นที่ 24
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 25
น่ามองกว่าเยอะ
ตอบกลับความเห็นที่ 25
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 26
ผ่านไปครึ่งวันออกแรงเสียจนหอบ ช่วงบ่ายเป็นเวลาผ่อนคลายของใครหลายๆ คนกับกิจกรรมที่เคยเป็นสิ่ง Adventure ที่สุดของที่นี่มาก่อน แต่ตอนนี้ถูกตัดตอนด้วยเหตุการณ์ไม่ค่อยดีก่อนที่เราจะเดินทางมาไม่นาน เลยทำให้เจ้าทูปิ้ง หรือยห่วงยางในแม่น้ำซองนั้น ทำได้แค่ลอยไปเรื่อยๆ จนถึงปลายทาง ไม่มีที่พักให้ได้โหนสลิงโรยตัวลงน้ำ หรือสไลด์เดอร์ยักษ์แบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ตลอดจนบาร์สองฝั่งน้ำที่เคยมีอยู่เป็นระยะๆ กับเสียงเพลงคึกคักให้บรรดานักท่เที่ยวได้โยกหัวโยกคอกันอย่างเมามันส์นั้นก็หายไปด้วย เหลือแค่แห่งเดียวตรงสวนทุเรียนด้านบนโน้นซึ่งเราไปไม่ถึง แต่จริงๆ แล้วเราแอบดีใจที่ไม่ได้เห็นภาพเหล่านั้น
ตอบกลับความเห็นที่ 26
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 27
เล่าถึงทูปิ้งก็จริง แต่ไม่ได้เล่นนะ ตามประสาคนกลัวน้ำเลยทำใจแข็งนั่งแค่เรือยนต์ชมวิวสองฝั่งลำน้ำซองไปเท่านั้นเอง (นี่ก็ข่มใจมากแล้ว) เรือลำนึงนั่งได้ 2 คน กับคนขับ 1 คน พอให้ได้มองทัศนียภาพอย่างทั่วถึงแบบไม่มีใครบังใคร สายน้ำ ภูเขา ท้องฟ้า เป็นความสุขทางสายตาที่อยู่คู่กันเสมอ ในห้วงเวลาที่ไม่ต้อเก็บอะไรไปคิด ใช้ชีวิต 1 ชั่วโมงในการเสพเอาธรรมชาติเหล่านี่ไว้ให้ได้มากที่สุด อิ่มให้พอ เพื่อมีแรงเผชิญเรื่องราวในชีวิตกันต่อไป ระหว่างทางหันไปทักทายเพื่อนฝูงจากเรืออีกลำ หรือแม้แต่ฝรั่งที่ลอยทูปิ้งมาก็ยังหันไปยิ้มให้กันได้ แม้ไม่รู้จักกันแต่ความสุขที่เราต่างมีก็ทำให้เราอยากจะแบ่งปันใหรอยยิ้มให้แก่กัน ธรรมชาติสร้างภูเขาหินปูนเหล่านี้ไว้ให้อยู่คู่กับผืนแผ่นดินแห่งนี้ วิจิตรดีแท้ที่เมื่อมีสายน้ำผ่านตรงกลางทำให้ความธรรมดากลายเป็นสิ่งสวยงามและอัศจรรย์ใจ หมดเวลาของวันไปพร้อมๆ กับการบอกลาแสงตะวันฉันมาถึงเสียที..วังเวียง
ตอบกลับความเห็นที่ 27
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 28
เราต่างมุ่งไป..
ตอบกลับความเห็นที่ 28
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 29
ฟ้ากว้างกว่าใจเราจะคาดคิด
ตอบกลับความเห็นที่ 29
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 30
ชีวิตนึงจะเอาอะไรนักหนา
ตอบกลับความเห็นที่ 30
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 31
แค่บางอย่างที่เราต้องผ่านไป
ตอบกลับความเห็นที่ 31
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 32
เรือลำน้อย..ที่พาเราล่องไปในลำน้ำ
ตอบกลับความเห็นที่ 32
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 33
ร่ำลาแสงตะวัน
ตอบกลับความเห็นที่ 33
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 34
เช้าวันใหม่เราแบกร่างที่ไม่ค่อยสมประกอบเพราะตะลุยกันแบบลืมดูสังขารไปเมื่อวาน รีบตื่นมาเสพบรรยากาศยามเช้าเอาไว้ให้เต็มที่ก่อนจากลา เบื้องหน้าคือสะพานใหญ่ที่ทอดข้ามฝั่งให้ชาวบ้านได้สัญจรและใช้ชีวิต เด็กไปโรงเรียน ผู้ใหญ่ไปทำงาน แม้แต่หมามันยังข้ามมาฝั่งนี้ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่ามันข้ามมาทำอะไร ?? ฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่มีหมอกจางๆ เป็นสายไล้ไปกับแนวเขา งดงามเกินกว่าจะเอ่ยคำใด
ตอบกลับความเห็นที่ 34
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 35
เช้าสุดท้าย
ตอบกลับความเห็นที่ 35
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 36
ยังงดงามเหมือนเดิม
ตอบกลับความเห็นที่ 36
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 37
แม้ความสุขจะอยู่ใกล้ตา แม้การค้นหาจะอยู่ไกลเท้า แต่เราก็อยากจะไปให้ถึง ให้พบ ให้ได้สบตากับสิ่งที่ธรมชาติสรรสร้างมาเหล่านั้น อำลาเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ ซึ่งเราได้พิสูจน์แล้วว่ามีอยู่จริง ปลยทางใหม่อยู่ที่ใดไม่อาจรู้ สักวันการเดินทางคงมีภาคต่อ .เนอะ
ตอบกลับความเห็นที่ 37
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 38
เก็บตกที่พักหน่อยค่ะ
ตอบกลับความเห็นที่ 38
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 39
สงบมาก
ตอบกลับความเห็นที่ 39
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 40
มีแต่ต้นไม้ใหญ่
ตอบกลับความเห็นที่ 40
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 41
จบแล้วค่า.^^
***ทั้งหมดทั้งมวลขอไม่ใส่รายละเอียดที่หาเอาได้ง่ายๆ จากในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย การเดินทางแบบละเอียด ค่าเงิน หรือแม้แต่การใช้เงินกีบ เงินบาท เพราะรอบนี้ไปกันเป็นหมู่คณะไม่สามารถลงดีเทลได้หมด

การเดินทาง
- เครื่องบินลงท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี แล้วนั่งรถบัสจากอุดรฯ วังเวียงได้เลย
- หากอยากจะแวะเวียงจันทน์ก็นั่งรถตู้ไปหนองคายเพื่อข้ามด่าน แล้วนั่งรถเข้าไปนอนที่เวียงจันทน์สักคืน แล้วเช้าวันใหม่ค่อยนั่งรถบัสหรือรถตู้ไปวังเวียงก็ทำได้
- ปกติหากไปแค่เวียงจันทน์เมืองใกล้ด่าน ใกล้ชายแดน ไม่ต้องใช้พาสปอร์ต แต่หากจะเข้าไปถึงวังเวียงก็ควรจะพกไป เพราะหากโดนตรวจขึ้นมาถูกปรับเป็นดอลลาร์นะจ้ะ

อาหารการกิน
- อาหารฝรั่งอย่างขนมปังฝรั่งเศส พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์น่าจะถูกปากมากว่า เพราะอาหารตามร้านค้าของชาววังเวียงเน้นจืดและเค็มเป็นหลัก อาศัยเที่ยวให้หิวแล้วมากินจะได้อร่อยมากขึ้น
ตอบกลับความเห็นที่ 41
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 42
ที่พัก
- เยอะแยะมากมาย ยิ่งวันนี้ยิ่งเยอะขึ้น มีให้เลือกตั้งแต่ Guest House หรือ เฮือนพัก หลักร้อย ไปถึงโรงแรมหลักพันและหลายพัน เลือกเอาตามความต้องการและกระเป๋าเงิน

ภาพทั้งหมดนี้ถูกบันทึุกมาด้วย iPhone อาจจะตอบสนองความงามของจริงไม่ได้ดีนัก เพราะฉะนั้นโปรดไปเห็นให้ได้ด้วยสายตาของตัวเองนะคะ ^^
ตอบกลับความเห็นที่ 42
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 43
ตามไปเที่ยวด้่วยคนคะ
ตอบกลับความเห็นที่ 43
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 44
เดี๋ยวตามไปปีใหม่นี้ค่ะ
ขอบคุณที่มารีวิวให้ดูกันนะคะ
ตอบกลับความเห็นที่ 44
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 45
บรรยากาศสวยมากเลยครับ..
ตอบกลับความเห็นที่ 45
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 46
เห็นแล้วอยากไปท่องเที่ยวเลยอะครับ
ตอบกลับความเห็นที่ 46
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 47
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ
ตอบกลับความเห็นที่ 47
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 48
@ตระเวนเที่ยว ไปให้ได้เลยค่าาา :)
@ลุ๊งลิ๊ง มาเลยค่า แล้วหาโอกาสไปเองด้วยนะคะ :)
@ฮิโนเดะ แล้วกลับมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ ปีใหม่น่าจะหนาวกว่าตอนแจงไปค่ะ :)
@Nat_NM ขอบคุณค่า :)
@เอกนู๋น เมื่อก่อนตอนเห็นของคนอื่นมารีวิวให้ดูก็เกิดความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันค่ะ เลยต้องไปให้เห็นด้วยตัวเอง :)
@bombik ขอบคุณที่แวะเข้ามาชมเช่นกันค่ะ :)
ตอบกลับความเห็นที่ 48
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 49
สวยจัง  อยากไป อยากไป
ตอบกลับความเห็นที่ 49
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 50
ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ
ตอบกลับความเห็นที่ 50
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 51
อยากทราบว่า เราออกจากกรุงเทพเพื่อมาวังเวียงมาทางไหนอย่างไรใช้เวลาเท่าไหร่คะ
ตอบกลับความเห็นที่ 51