(CR) เชียงราย เช้าหนึ่งซึ่งสายหมอกถามถึง: Anantara สามเหลี่ยมทองคำ

ฟรอยด์พูดไว้ว่า "เราต้องรักนะ ไม่งั้นเราจะเจ็บป่วย" เป็นประโยคที่สวยจริงสำหรับผมและเก็บไว้เตือนตัวเองบ่อยๆเวลาที่เริ่มจะเกลียดหรือวิบใส่ใคร แต่บางครั้งก็แปลงประโยคเพื่อบอกกับเธอบ่อยๆว่า "เราต้องเดินทางนะ ไม่งั้นเราจะเจ็บป่วย"
ผมมาเชียงรายครั้งแรกตอนเรียนมหาลัย ซึ่งก็สิบปีกว่ามาแล้ว หลังจากนั้นก็ปล่อยเชียงรายไว้อย่างนั้น ไม่ได้ขึ้นไปสัมผัสมันอีก ย้อนไปสิบปีก่อนผมมาเชียงรายคนเดียว แบกเป้โบกรถชาวบ้านขึ้นภูชี้ฟ้า สมัยนั้นดินแดนบนนั้นยังไม่สงบ ทหารไทย ทหารลาวเดินกันคึกค้ก ตอนเช้าขึ้นไปดูทะเลหมอกยังถูกกำชับว่าห้ามเดินออกนอกเส้นทางนะ ถูกยิงไส้แตกไม่มีใครช่วย
ยังจำได้แม่นตอนนั้นไฟฉายก็ไม่มีต้องเจาะขวดน้ำโพราลิส ใส่เทียนข้างในพาขึ้นภูตอนตีสี่ครึ่ง หนาวก็หนาว ลมแรงมากแถมเจอทหารไม่รู้ชาติไหนเดินไปเดินมาอีก แต่สุดท้ายก็ปลอดภัยดี สำหรับเชียงรายคงหลงเหลือเรื่องราวเพียงเท่านี้ในหัว
แต่วันนี้เราไม่ได้เดินทางคนเดียวอีกแล้ว มีเธอที่หลับอยู่ใกล้ๆเป็นแรงใจทั้งบนถนนจริงๆและถนนชีวิต อะไรที่เสี่ยงแบบนั้นคงทำไม่ได้อีก
การมาครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางที่แตกต่างจากครั้งนั้นมาก และหลังจากสัมผัสเชียงรายแม้ระยะเวลาสั้นๆก็สามารถบอกได้ว่าที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธื์ที่งามสมบูรณ์พร้อม
รูปในหลวงกับสมเด็จย่าดูแล้วเราแทบจะพบไปซะทุกที่ ร้านเล็กร้านน้อยมีภาพเหล่านี้เต็มไปหมด เติมความขลังให้ดินแดนแห่งนี้ขึ้นไปอีก

ความคิดเห็นที่ 1
เชียงรายรุ่มรวยไปด้วยศิลปะ เป็นดินแดนที่กำเนิดศิลปินมากมาย ศิลปะงอกงามจากที่นี่ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน วัดเล็กวัดน้อยประกาศความงามแบบไม่มียั้ง ปล่อยของกันเต็มที่ ภาพเล็กๆที่หลบซ่อนตัวเองในที่ๆหลายคนมองข้ามแต่ก็ตรึงเราให้เพ่งมันอยู่หลายนาที
ด้วยจริตของตัวเองที่ชอบดูภาพวาดผนังโบสถ์ ช่อฟ้า ใบระกา จึงทำให้เสียเวลาตรงนี้ไปมากพอสมควร บางวัดไม่ได้เข้าไปไหว้พระประธานด้วยซ้ำ ทำให้เธอหงุดหงิดสม่ำเสมอว่าบุญไม่ทำ พระยังไม่ไหว้อีก ก้อเข้าใจได้อยู่ว่าบางทีวัตถุประสงค์การมาวัดของเรามันต่างกันนะจ๊ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ด้วยภาระหน้าที่ที่แต่ละวันกว่าจะลากสังขารกลับบ้านได้ก็ 3 - 4 ทุ่มทุกคืน ทำให้เรื่องอื่นที่ไม่ใช่งานจะแว่บเข้าสมองน้อยมาก เธอคงเล็งเห็นแล้วว่าไม่ได้การถ้าปล่อยให้ผมต้องจัดการเรื่องเที่ยว เรื่องที่พักเองอีกต่อไป เธอบอกจะจัดการเอง ผมก็อือเออ แถมทำท่าจำไม่ได้อีกต่างหากว่ามันมีทริปนี้อยู่ เพราะจริงๆปลายปีไม่อยากหยุดงานเลย ต้องรีบเคลียร์งานทุกอย่างไปแค่ 5 วันทำไมมันวุ่นวายยังกับไปพักร้อนที่ฮาวายสามอาทิตย์เลยเนี่ย
สามีที่ดีต้องไม่ทำท่าทางว่าไม่อยากไปเที่ยวกับภรรยาใช่มั้ยครับ ถ้าไม่อยากจะให้สถานะการแต่งงานสั่นคลอน เธอถามว่าอยากพักแบบไหน ผมตอบว่าขอในป่าในเขา เงียบๆไร้ร้างผู้คนยิ่งดี มีฟิตเนสเพราะผมต้องซ้อมวิ่งไปแข่งกรุงเทพมาราธอน (วิ่งไปแล้ววันนี้ เข้าเส้นชัยอย่างสวยงาม) ขอที่อ่านหนังสือเงียบๆเตรียมไปสองเล่มหนาๆเพราะเบื่อหน้ากระดานไอแพดแห้งๆเต็มทน
จึงกลายมาเป็นทริปสุดแสนไฮโซ (เอิ้กๆ)
- อนันตรา โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล 2 คืน
- เลอเมอริเดืยน เชียงราย 2 คืน
- บ้านนอนเพลิน คืนนึง
มันสุดยอดของเชียงรายทั้งนั้น ทำไมไม่เอาโฟร์ซีซั่นเต้นท์แคมป์เข้าไปด้วยเล่าห่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
เรามาถึงเชียงรายสายๆของวันอาทิตย์ แว่บมองชื่อสนามบินเอ้ยทำไมไม่ใช่ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงรายเล่าครับ กลับเป็นท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง ชื่อเพราะพริ้งเหลือเกิน เอาตำแหน่งชื่อสนามบินที่เพราะที่สุดในโลกจากผมไปเลยครับ จากที่เคยชอบสนามบินนานาชาติวัดไตที่ลาว ตอนนี้ชอบชื่อนี้ครับ ยังไงมันก็ฟังเพราะกว่าสนามบินนานาชาติกระบี่ ภูเก็ต เชียงใหม่นะผมว่า


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
ก็ตามที่เธอบอกว่าไปไหนก็ต้องไหว้พระก่อน เพื่อนก็พาไปยังวัดที่ดังที่สุดในเชียงราย สวยงามเกินบรรยายแต่ผมไม่ได้ถ่ายมุมมหาชนมานะครับ ชอบหลุดกรอบ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
วัดร่องขุ่นโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ห่างจากเชียงรายสิบกิโลนิดๆ ไม่ไกลครับและเป็นอะไรที่ต้องไป


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
วัดร่องขุ่นเริ่มสร้างปี 2540 และอาจารย์ก็เป็นแบบอย่างที่ดีของศิลปินเมืองเหนือที่ได้กลับมาสร้างงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ในบ้านเกิดเชียงราย


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ยิ่งภายในโบสถ์ถึงแม้ยังสร้างไม่เสร็จแต่จิตรกรรมฝาผนังก็ทำผมอึ้งไปเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
บ่ายแก่ๆเพื่อนก็มาส่งที่ บขส เก่า (ที่เชียงรายมี บขส 2 ที่นะครับเก่ากับใหม่) เพื่อเดินทางต่อไปสามเหลี่ยมทองคำเพื่อเข้าที่พัก เรานั่งกรีนบัสคนละ 60 บาทรถออกเกือบทุกชั่วโมงครับ ระยะทางไม่ไกล 60 กิโลได้ครับ เราไม่เลือกเช่ารถเพราะเช่าไปคงจอดทิ้ง อยากอยู่นิ่งๆในรีสอร์ตมากกว่า
ไม่ต้องมีตารางเที่ยวเพราะเหนื่อยกับตารางต่างๆที่กรุงเทพมากพอแล้ว อยากตื่นก็ตื่น อยากไปก็ไป แบบนั้นดีกว่า


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
เป็นรถตู้ นั่งสบายมากนักท่องเที่ยวใช้บริการกันเยอะครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
รถใช้เวลาชั่วโมงนิดๆจากเชียงราย เข้าเชียงแสนและตรงไปอีก 10 กิโลเมตรก็ถึงสามเหลี่ยมทองคำ


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
เราต้องหารถต่อไปยัง Anantara Golden Triangle อีกสามกิโลจากสามเหลี่ยมทองคำโดยหารู้ไม่ว่าจริงๆทางรีสอร์ตจะมีรถรับส่งจากรีสอร์ท ไปสามเหลี่ยมทองคำ ไปเชียงแสนเกือบทุกชั่วโมง


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ทางเข้ารีสอร์ตจะอยู่ตรงข้ามหอฝิ่นพอดีเลยครับ ทั้งที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องไปดู แต่เรากลับลืมเสียสนิทเลยครับ เสียดายมากอยู่หน้าบ้านแท้ๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
ระยะทางจากทางเข้ากว่าจะถึงล๊อบบี้ก็กินระยะทางเกือบกิโลมั้งครับ เพราะพื้นที่รีสอร์ตกินอาณาบริเวณไปหลายลูกเขา มีปางช้างในบริเวณรีสอร์ตด้วยครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ทางเข้าก็ทำผมทึ่งมากๆแล้วครับ คิดไม่ผิดที่เลือกมาฝังตัวอยู่ที่นี่


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
ที่เห็นนี้คือภายในรีสอร์ตแล้วนะครับ มันกว้างใหญ่ไพศาลจริงๆและที่น่าทึ่งอีกอย่างคือห้องฟิตเนสที่นี่ต้องเดินลงเขามาเล่นนะครับ ต้องผ่านสวนลำไยกว่าจะได้ออกกำลังกายก็เล่นเอาแทบหมดแรงไปแล้วครับ แต่มันเข้าขั้นคลาสสิคเลยทีเดียว


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
ป้ายต่างๆฝังตัวอย่างลงตัว


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
โห....หรูชะมัดแต่ล่ะที่คงได้แค่ตามไปเที่ยวด้วยคนเท่านั้นเอง...ทั้งๆที่ไปเชียงรายก็บ่อยแต่ก็ยังอยากไปอีก....


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
ทางเข้าล๊อบบี้โรงแรม ออกแบบได้น่าทึ่งเหมือนกำลังเดินเข้าไปในวัด แสงสีที่จัดอย่างเหมาะเจาะทำให้ขรึมขลังและทรงพลังอย่างมาก


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
ผมแอบมาถ่ายตอนกลางคืนนะครับสำหรับรูปที่ล๊อบบี้ จึงดูเหมือนร้างผู้คน ถ่ายไปก็กลัวไปกลัวอะไรบางอย่างจะโผล่ออกมาจากต้นเสาใดเสาหนึ่ง


ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
สวัสดีครับคุณโรมแต่ละที่ที่ไปก็มีแบบอย่างเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผมชอบอนันตรามากแต่เธอกลัวที่นี่จับใจ กลัวแม้กระทั่งรูปปั้นบนทีวีทั้งที่เป็นแฟนพันธุ์แท้คนอวดผี เธอชอบเลอเมอริเดียนมาก แต่ผมเฉยๆ
และมาที่หัวใจของล๊อบบี้ มันงามจนอยากรู้จักคนออกแบบจริงๆ ผมไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไปนะครับ อาศัยชั้นวางของบ้าง วางบนพื้นบ้าง ตีลังกาถ่ายบ้าง พนักงานและแขกบางคนคงงงๆอะไรมันจะเยอะขนาดนี้


ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
มองย้อนไปรอบๆ น่ากลัวจริงๆแฮะ


ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
เช็คอินเสร็จพนักงานก็พาไปดูห้อง แขกไม่เยอะลองเลือกห้องจะเอาแบบไหน ที่นี่คงความเป็นอนันตราแบบสมบูรณ์ แบรนด์นี้เอ่ยขึ้นมาต้องช้างกับต้นไม้รกๆอย่างเดียวที่นึกถึง เห็นมั้ยครับทางเดินไปห้องพักต้องผ่านป่าลิ้นจี่ ลำไย คลาสสิคสุดๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 22
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 23
พนักงานก็พาเดินลัดเลาะ ขึ้นเขาลงห้วย จริงๆไปถึงขนาดนั้นหรอกครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 23
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 24
เดินต่อไปครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 24
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 25
แล้วก็มาหยุดที่ทางเข้าซุ้มหนึ่ง


ตอบกลับความเห็นที่ 25
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 26
เตียงทวิน อืมไม่เอาดีกว่าอยากนอนใกล้ชิดติดกัน


ตอบกลับความเห็นที่ 26
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 27
ห้องนี้ล่ะครับ ดับเบิลเบด จัดเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 27
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 28
สถาพห้องโดยรวม ลงตัวหมด ยกเว้นหมอนข้างดีไซน์สวยบนเตียง นอกจากความสวยมันก็ไม่มีค่าอะไรเลย จะกอดก็ไม่ถนัดวางไว้บนเตียงก็เป็นอุปกรณ์ขวางทางรักซะงั้น โยนไปนอกระเบียงก็ใช่เรื่อง สุดท้ายว่าโยนไปไว้ข้างเตียงนั่นแหล่ะดีสุด


ตอบกลับความเห็นที่ 28
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 29
ห้องน้ำกะทัดรัดลงตัว ไม่กว้างแต่ไม่ได้อึดอัดอะไรเมื่อใช้งาน


ตอบกลับความเห็นที่ 29
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 30
อ่างอาบน้ำที่ดูลงตัวที่สุดในเครือ ขอบอ่างไม่กว้างมากเหมือนที่อื่นที่ก้าวทีแทบจะล้มหัวฟาด และบนอ่างก็ไม่ได้มีไม้พาดวางหนังสือ สบู่ แชมพู ให้มากเรื่อง อาบน้ำทียกเข้ายกออกลำบากแท้ แต่ที่นี่ลงตัวดีครับ ยังคงเช่นรูปแบบเดิมที่นี่ไม่มีกลอนประตู ถ้าไม่ได้มาเป็นคู่รักคงลำบากใจไม่น้อย แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าห้องประเภทอื่นเป็นแบบไหน


ตอบกลับความเห็นที่ 30
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 31
อเมนิตี้ฉบับหรู แต่ถ้าใครมากับลูกคงต้องเก็บให้หมดไม่งั้นได้แตกกระจัดกระจาย คุณภาพข้างในใช้ได้ครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 31
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 32
ของในห้องแต่ผมไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่


ตอบกลับความเห็นที่ 32
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 33
เพราะเรามาถึงรีสอร์ตก็ค่อนไปทางเย็นมากแล้ว และบนเขาเรารู้สึกว่าแดดหุบเร็วกว่าบนพื้นราบ แต่ภาพที่เห็นก็ให้อัศจรรย์ใจยิ่งนัก


ตอบกลับความเห็นที่ 33
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 34
มันสงบและผ่อนคลายจริงๆนะครับ กินๆนอนๆเมาๆได้เต็มๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 34
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 35
ที่นี่คือที่ประจำสำหรับอ่านหนังสือของผม


ตอบกลับความเห็นที่ 35
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 36
อยากจะจองที่นี่กินข้าวกับเธอสองคน แต่ไม่น่าจะกินลงมันโรแมนติคเกิ๊น


ตอบกลับความเห็นที่ 36
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 37
แล้วที่นี่จะสั่งต้มยำปลาบึกได้มั้ยหนอ


ตอบกลับความเห็นที่ 37
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 38
เวลาเย็นวันหยุดแบบนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการหาอะไรเย็นๆมึนๆกลั้วคอก่อนอาหารค่ำ บาร์ที่นี่ยังคงความหรูเสมอต้นเสมอปลายม่มีการหลุด concept แต่อย่างใด ช้างก็ยังต้องหมอบอยู่ตรงนี้ตลอดไป


ตอบกลับความเห็นที่ 38
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 39
แขกอื่นยังไม่เยอะ แต่สักพักคล้ายๆว่าทุกคนจะตรงมาห้องนี้


ตอบกลับความเห็นที่ 39
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 40
จะกี่ดริ้งก็เมาอยู่ดี เหล้านะไม่ใช่นมจะได้ดีต่อสุขภาพแต่เราก็ยังดื่มทั้งคู่ ฮาาา


ตอบกลับความเห็นที่ 40
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 41
มองมาที่ล๊อบบี้ทีไรก็รู้สึกกลัวๆทุกที


ตอบกลับความเห็นที่ 41