หาทุนเรียนต่อ ปริญญาเอก ทำไง

คือตอนนี้เรา 32 แล้ว แต่อยากเรียนปริญญาเอก สาขา บริหาร หรือไม่ก้อพวกเศรษฐศาสตร์ พวกนี้ มีประสบการณ์ทำงานแล้วร่วม จะ 10 ปี และสอบได้ toefl 81
วันนนั้นอ่านหนทางสู่การเรียนเอก ที่ญี่ปุ่นของคุณเหมียว แต่ก้อยังงง อยู่ว่า เราต้องนำเสนอตัวเองยังไงเหรอในการรับทุนจากมหาลัยที่ญี่ปุ่น ภาษาญีุ่ปุ่นเราไม่ได้เลย คือเคยเรียนตอนมหาลัย แต่ลืมไปหมดแล้ว เราอยากสมัครทุนตอนนนี้แล้วอ่ะ เลยอยากถาม
1. มันต้องล่าทุนยังไงบ้างเหรอ อ่านมาแล้วหลายรอบ แต่ยังงงอยู่
2. ทั้งตรี (จบ วิดวะไฟฟ้า) โท (จบ MBA) ก้อจบมานานแล้วทั้งคู่ แทบไม่เคยกลับไปหาอาจารย์เลย แบบนี้จะต้องให้เซนใน recommendation ยังไงบ้าง
3. มีปัญหายังไม่อยากให้ที่ทำงานรู้ จะทำไงได้บ้าง เพราะบางอันมีให้ขอใบแนะนำจากหัวหน้าด้วย หรือใช้หัวหน้าเก่าๆ ที่อื่นได้เป่าว
4. ที่มีคุณเหมียวบอก ให้ส่ง research plan ไปหาที่อ. ที่ญี่ปุ่น เพื่อหาอ.ที่ปรึกษานี่ มันทำไงเหรอ เห้นบอกว่า ส่งไปปุ๊บ อ.มีออกค่าใช้จ่ายให้มาลองเรียนด้วย .. ดีจัง
5. คือเราโง่มากก แต่อยากรู้ว่า การสมัคร U นี่ มันต้องทำไงบ้าง คือตอนนี้ยังงงอยู่ ว่าเราควรทำไงบ้าง
6. ถ้ามีใครพอแนะนำทุนไรได้บ้าง .. ก้อดีค่ะ หามาแต่ละอย่าง ไม่อายุเกิน ก้อ toefl ต้องได้เยอะกว่านี้ แต่ถ้าเอาแบบ profile ที่ตัวเองมีอยู่พอจะไปสมัครที่ไหนได้บ้าง ช่วยบอกหน่อยนะค่ะ .. ไม่ต้องไปญี่ปุ่นก้อได้ค่ะ แต่ได้ญี่ปุ่น และมีเงินเดือนในแต่ละเดือนสูงในระดับนึงก้อดีค่ะ เพราะอยากส่งกลับมาให้ที่บ้านได้ ด้วยค่ะ ... ยังไงขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ

ความคิดเห็นที่ 1
เพิ่มอีกนิดว่า จิงๆแล้ว เรามีความสุขดีใจการทำงาน
หัวหน้าเราดีมาก .. แต่การงานอาจไม่่ค่อยเจริญก้าวหน้าหรอกนะ
แต่เรียกว่า เงินเดือนก้อไปเรื่อยๆ แหละ
แ่ต่เรามีความฝันอยากทำไรเพื่อประเทศชาติ เปนได้ ก้ออยากเปนนายก
เลยคิดว่า เรียนมาสูงหน่อย หรือไปเรียนนอก อาจทำให้ภาษาเราดีขึ้น
แล้วไม่ชอบด้วยที่หลายคน ได้ทุน แต่กลับไม่กลับมาพัฒนาประเทศของเรา


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
จบเอกแล้ว มีแผนไปทำอะไรครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
"แ่ต่เรามีความฝันอยากทำไรเพื่อประเทศชาติ เปนได้ ก้ออยากเปนนายก"

คุณสมบัตินายกบางประเทศต้องโง่พอๆกับคนที่เลือกเป็นเราเป็นายกนะครับ ไม่ทราบว่ามีคุณสมบัตินี้หรือเปล่า ถ้ามีก็คงได้เป็นสักวัน


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
คห3 เป็นนายกแล้ว อย่าปล่อยไก่ คิดว่ามีประเทศซิดนีย์ เน้อ อายเขาน่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2012/03/H11834191/H11834191.html

ลองดูเป็นแนวทางนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ถ้าจะเรียนปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ ประสบการณ์ทำงานไม่มีผลอะไรครับ เน้นความรู้ทางคณิตศาสตร์เป็นหลัก เท่าที่อ่านที่คุณเขียน คุณยังไม่มีเป้าหมายว่าจะเรียนปริญญาเอกไปเพื่ออะไร และจะเรียนอะไรดี ถ้าตรงนี้ยังตอบโจทย์ตัวเองไม่ได้ คุณจะเขียน research proposal ได้อย่างไร และที่สำคัญคุณไม่ได้พูดถึงแม้แต่น้อยเลยว่าชอบหรืออยากทำวิจัย

ในส่วนของทุนการศึกษา คุณต้องมี profile ที่ดีมาก ณ ระดับหนึ่ง เช่นเกรดระดับปริญญาตรี/โทในระดับสูง มีผลสอบภาษาที่ดีมาก

เรื่องวิธีการสมัครมหาวิทยาลัย เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่หาคำตอบเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองครับ ไม่ได้หายากอะไร เป็น skill การหาข้อมูลพื้นฐานทั่วไป

และถ้าอยากส่งเงินให้ทางบ้าน แนะนำให้ทำงานดีกว่า


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ขออนุญาตแสดงความเห็นนะครับ
การเรียนเอก ผมว่าต้องมีแรงบันดาลใจพอสมควรในการเรียนและเป้าหมายในการดำเนินชีวิตในระดับที่มากครับ โดยเฉพาะหากคุณหวังจะได้ทุน แต่ยังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เวลาเขียนเอกสารขอสมัครทุนหรือสัมภาษณ์ คุณก็จะลำบากและมีโอกาสที่จะไม่ได้รับการคัดเลือกสูงครับ เพราะไม่สามารถกลั่นกรองคุณสมบัติของคนที่จะเรียนเอกออกมาได้อ่ะครับ ถ้าให้แนะนำผมว่าควรจะกลั่นกรองเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อน ส่วนเรื่องทุนผมว่า ลอง search google หาได้ไม่ยากหรอกครับ
ขอให้ประสบความสำเร็จครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
คิดว่าอย่างน้อยๆ ยังไง ๆ ก็ต้องมีคะแนนสอบต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก
มีแผนที่จะทำวิจัยคร่าวๆ
มีแผนที่จะทำหลังเรียนจบค่ะ

ยิ่งถ้าต้องล่าทุนด้วยแล้ว ต้องโดดเด่นจริงๆ ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ขอก๊อปที่เคยตอบไว้ในกระทู้ก่อนๆมานะครับ

ผมอยากแนะนำให้คุณสมัครทางฝั่งอเมริกาครับ
คงเริ่มๆสมัครราวๆปลายปีนี้ครับ เตรียมเอกสารให้พร้อม

ที่แนะนำอย่างนี้ เพราะจากประสบการณ์ตรงของตัวผมครับ
ผมมีอะไรโดดเด่นเลยครับ ไม่มีตีพิมพ์ ไม่มีประสบการณ์การทำวิจัย
มาต่อเอก Econ ทั้งที่ ตรี วิศวะเกรดไม่ถึง3ด้วยครับ ..
(พอดีผม จบ โท Econมาครับ)

ผมสมัครไปหลายที่อยู่ครับ โดยหวังเล็กๆว่าได้Fundingสักที่คงจะดี
ปรากฏว่า มี4ที่ ตอบรับกลับมา แบบให้ Fundingด้วยครับ
ทั้งๆที่ ยูเหล่านั้นกำหนด ป.ตรีต้องเกิน3
แต่ออกตัวก่อนนะครับ ว่า ผมไม่ได้สมัครยูดังๆเท่าไหร่
ผมเลือกสมัครที่ๆ ผมคิดว่าไม่เกินความสามารถเรา และมีสาขาที่เราอยากเรียนครับ
ลองดู admission requirement ตามหน้าเวปของยูที่คุณสนใจดูครับ
เค้าจะบอก minimum requirement. ไว้คร่าวๆ
ถ้าสนใจเตรียมเอกสารต่างๆให้พร้อมแล้วสมัครเลยครับ
แล้วถ้าทางยูรับ เค้าจะแจ้งเองว่าให้ Funding. หรือไม่
สมัครสัก6-7ที่ดีกว่าครับ กันพลาด

ดังนั้นถ้าคุณไม่ท้อซะก่อน นี่ก้อเป็นทางเลือกนึงครับ
แต่ข้อเสียคือ เรียนPhD ที่US คุณต้องเก็บคอสเวิค ก่อนอีก2ปี ถึงจะได้ทำวิจัย
เพราะที่นี่ เค้ารับเด็กจบตรีเข้าต่อPhDได้เลยครับ (คล้ายๆกับเรียนโท+เอกครับ)
ระยะเวลาก็4-5ปีครับกว่าจะจบ

ถ้าไปต่อทางญี่ปุ่น โดยเข้า PhD เลยอาจจะไม่เสียเวลานานเท่าทางUSนะครับ
ลองพิจารณาดูละกันครับ

โชคดีครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
ขอบคุณสำหรับการแนะนำแนวทางนะค่ะ

คือจิงๆ แล้ว อยากเรียนเอก เพราะอยากกลับมาเป็นอาจารย์ค่ะ เพราะเหนว่า เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการวางรากฐานของประเทศ และเป็นใบเบิกทางที่ดีในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคนในสังคมค่ะ แต่ที่อยากไปเรียนต่างประเทศเพราะ อยากได้ภาษาค่ะ

อยากสอบถามเพิ่มเติมกับคุณผ่านมาครับ หน่อยค่ะ ว่า พอจะแนะนำ U ให้ได้บ้างรึเปล่าค่ะ คือพอเห็นแนวทาง แต่อยากขอตัวอย่างซะนิดอ่ะค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกท่านค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ไ้ด้ไปอ่านที่คุณช้างน้อย แนะนำ .. ดีมากเลยค่ะะะะ .. ขอบคุณมากนะค่ะ ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ที่คุณว่ามาทั้งหมด ผมยังไม่มองว่าเป็น "เหตุผล" ในการทำปริญญาเอกเลยครับ ความจริงแล้วข้อแตกต่างของอาจารย์มหาวิทยาลัยไทยกับในชาติทางตะวันตกนั้น ก็คือ Professor ส่วนใหญ่ของประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น มักจะมาจากผู้ที่ประสบความสำเร็จจจากการทำงาน คือมีประสบการณ์การทำงานมาแล้ว ถึงจะมาสอน ไม่ใช่แบบที่ไทยที่มีแต่เรียน เรียนเสร็จก็กลับมาสอน ที่สอนได้ก็แค่เนื้อหาจากหนังสือ แต่ไม่ใช่จากประสบการณ์ที่ตนเองมี ซึ่งจริงๆสิ่งนั้นสำคัญกว่าแค่ "ความรู้" มากครับ ก็เหมือนกับทุกวันนี้ที่ก็ยังเป็นที่รู้กันว่า เด็กไทยเป็นแต่เรียนกับท่อง แต่ใช้แบบ apply ไม่เป็นก็เหตุผลเดียวกันแหละครับ แล้วอีกเหตุผลที่ผมอยากฝากให้คิดในฐานะที่อยากจะกลับไปเป็นอาจารย์ในอนาคตนั้น คือ การทำ phd ไม่ควรทำเพราะ "เป็นใบเบิกทางที่ดีในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคนในสังคม" จริงครับที่ทุกชาติมองเหมือนกัน ใครก็ตามที่มี PHD ก็เป็นที่น่านับถือ แต่จริงๆมันเป็นแค่ของแถมครับ ถ้าอยากจะกลับมาพัฒนาประเทศจริงๆ ก็ควรจะเริ่มจากตรงนี้ก่อนมั้ยครับ? Title Dr. ความจริงแล้ว คือ ของแถมจากการทำงานที่ยากลำบากครับ มันไม่ใช่เหตุผลที่จะเอามาทำ PHD เลยซักนิดครับ ปกติผู้จะทำปริญญาเอกนั้น มักจะมีใจรักการศึกษา วิจัย ค้นคว้า ต้องการรู้มากกว่าที่รู้อยู่แล้ว อีกอย่า Title Dr. ไม่ได้เป็นตัวตัดสินคนซักนิดเลยครับ หลายๆครั้งที่คนมักจะโดนตำแหน่ง Dr. บังตา ทั้งๆที่หลายๆคนต่อให้เป็น Dr. แต่ไม่ได้มีความรู้ หรือฉลาดกว่าเด็กจบโทเลย บางคนฉลาดทางการเรียน แต่แคบด้าน eq คนแบบนี้มาเป็นอาจารย์สอนคน เด็กก็ไม่ได้ความรู้อะไรมากกว่าแค่ในหนังสือหรอกครับ

ในความคิดผม คนจะเป็นอาจารย์ควรจะมีประสบการณ์การทำงาน ที่สามารถสอนเด็กได้มากกว่าแค่ในหนังสือ เด็กเองก็จะให้ความเคารพมากกว่าด้วย นอกจากนี้ต้องเป็นคนใจกว้าง หัดรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น แม้แต่ "เด็กนักเรียน นักศึกษา" ความเห็นของเค้าอาจจะมีดีกว่าที่คิด และที่สำคัญไม่ควรจะเอาตำแหน่ง Dr. มาเป็นตัวตัดสินว่า ตัวเองฉลาดกว่าครับ มีความรู้มากกว่าอาจจะใช่ แต่ฉลาดกว่านี่ไม่เสมอไปแน่นอนครับ

ส่วนที่ว่า ไม่ชอบด้วยที่หลายคนได้ทุน แต่กลับไม่กลับมาพัฒนาประเทศของเรานั้น ผมก็ขอให้คุณมองกลับกันเช่นกัน เด็กทุนที่โดนส่งมาที่นี่นั้นกว่าจะเรียนจบกันได้น้ำตาตกในไม่รู้เท่าไหร่ เรียนจบแล้วแน่นอนว่า หากมีโอกาสที่จะได้ทำงานในประเทศที่ "พัฒนา" แล้ว โดยได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาจริงๆ ได้ทั้งประสบการณ์ที่ดีต่อชีวิต ทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ไม่ใช่แค่เอากลับไปนั่งสอน มองกลับกันดีๆนะครับ แล้วจะเข้าใจในอีกมุมมองของเด็กทุนด้วยนะครับ แม้แต่ทุน กพ. เองที่บังคับให้เด็กกลับมาทำงานนั้น เด็กทุนหลายๆคนก่อนจะมาก็มี Ambition แต่พอเรียนไป เจอระบบหลายๆอย่างของไทยไป ก็หมดไฟไปครับ พอกลับมาที่ไทยตามที่ทุนกำหนดมานั้น ตัวเองก็ไม่ค่อยจะมีตำแหน่งที่ตรงทางให้บรรจุ บางคนกลับมาต้องรอเป็นปี จะไปทำอะไรก็ไม่ได้ กลายเป็นว่า จะสมัครงานก็ไม่ได้ แต่งานก็ไม่มีทำ ก่อนจะโทษเด็กทุน ดูอีกฝั่งด้วยนะครับว่า พร้อมจะใช้ความสามารถเด็กทุนทั้งหลายที่ส่งไปแค่ไหน มีตำแหน่งรองรับความสามารถเค้ารึเปล่า ถ้าเค้าจะไปทางเลือกที่ดีกว่า เพราะเอือมระอากับระบบของไทย ควรจะโทษใครล่ะครับ?

ขออภัยที่ออกเรื่องนอกกระทู้ แต่ในฐานะที่ จขกท อยากจะเป็นอาจารย์ในอนาคต ก็อยากจะให้แง่คิดอีกซักมุมหนึ่งครับ ผมก็อยากให้ชาติไทยมีบุคลากรที่ดีทั้งด้านความรู้ และความคิดในการสั่งสอนเด็กรุ่นหลังต่อๆไปเหมือนกันครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
คุณ Prudence พูดถูก เรายอมรับว่า บางคนเค้าก้อคงคิดว่า เค้าเรียนมาหนัก การทำงานควรได้ในสิ่งที่เค้าคิดว่าคุ้มค่า กะที่เค้าอุตส่าห์ตรากตรำมา เช่นเงินเดือนเยอะพอ หรือทำงานต้องมีความแตกต่างจากคนที่จบมาน้อยกว่า แต่เราก้อคิดว่า เพราะเค้าได้ทุน และอาจใช้เงินที่เป็นภาษีส่วนหนึ่งของเรา
ยังไงซะ คนที่พากเพียร และทะยอทะยานอย่างกลุ่มคนเหล่านี้ ยังควรกลับมาทะเยอะทะยาน และหาหนทางที่จะพัฒนาชาติ เพื่อให้มันคู่ควรกะความสามารถเค้าต่อไปค่ะ .. นี่คือสิ่งที่เราคิดนะ เพราะอย่างน้อย ชาติได้ให้คุณไปแล้ว แต่คุณกลับเหมือนถามว่า ชาติจะให้คุณ อะไรได้อีกบ้างไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่คิดกลับว่า วันนนี้ ถึงเวลาที่คุณต้องให้ชาติ และคุณต้องทำอย่างไร เพื่อจะให้ชาติ จนรู้สึกได้ว่า ชาตินี้ คู่ควรกะคุณ ทำให้คุณอยากทำงานที่ประเทศนี้ ทำให้คนที่มีความรู้ มีความสามารถคนอื่นๆ ต่อไป อยากมาทำเช่นเดียวกัน
สุดท้าย เราไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่เราอยากหาทางทำไรเพื่อประเทศเราบ้าง เราอายุก้อเยอะแล้ว แค่หวังค่ะ ว่าซะวันจะทำไรให้ประเทศได้ และอยากเหนคนที่มีควาามรุ้ ความสามารถ มาพัฒนาประเทศ ชดใช้ทุน ที่บางคนอาจได้จากภาษีของผู้ที่รักชาติ ที่จ่ายครบ ไม่โกง อย่างคุ้มค่าค่ะ แต่คุณ Prudence ดูเป็นคนมีแนวคิดดีนะค่ะ ก้อหวังว่า จะคิดแบบเดียวกัน คือพัฒนาประเทศของเราค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ดีนะ เรียนจบสูงๆแล้ว ยังมีจิตสำนึก จะกลับมาพัฒนาบ้านเมือง
ประสบการณ์ จากการทำงานที่ผ่านมา
และจากการเรียนขั้นสูง ในต่างประเทศของคุณ
ไม่ศูนย์เปล่าหรอก จะเป็นประโยชน์กับลูกศิษย์

ใครที่มีประสบการณ์ ด้านการทำงานดีๆติดตัวมา
แล้วผันตัวเองมาเป็นอาจารย์ จะดีมีคุณประโยชน์ กับลูกศิษย์แน่
แต่จะมีสักกี่คน ที่ประสบความสำเร็จ ในวิชาชีพและการงาน
แล้วผันตัวเอง มาเป็นอาจารย์
ในความเป็นจริง มีน้อย
และถ้ามี ก็หวังมา พักผ่อนก่อนเกษียณ

ที่สุดต้องอาศัย คนที่มีจิตสำนึกอย่างคุณนี้แหละ
มาทำงานกันส่วนใหญ่
ส่งผลให้ การศึกษาของบ้านเรา
พอจะพัฒนา และขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้
อย่างที่เห็นๆกัน

อีกอย่าง เมื่อเข้ามาเป็นอาจารย์แล้ว
หากสามารถปฎิบัติพันธะกิจ ที่แสดงข้างล่าง ได้ครบถ้วน
และอย่างมีประสิทธิภาพ
ประสบการณ์และบทเรียน ที่ได้จากพันธะกิจนั้น
ย่อมมีประโยชน์กับลูกศิษย์
ไม่แพ้ประสบการณ์ได้จากที่อื่น

พันธะกิจทีว่า ได้แก่

1. ด้านการจัดการศึกษา
2. ด้านการวิจัย
3. ด้านการบริการวิชาการแก่สังคม
4. ด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
5. ด้านการบริหารจัดการ

สรุป เชื่อว่า คุณจะเป็นบุคลากรทางการศึกษาที่ดีได้ครับ
รีบไปเรียนแล้วกลับมา
แต่เกรงว่าพอไปแล้ว จะหลงแสงสีไปซะนี่

ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
ขอกดไลค์ๆๆๆ ให้คห.12 ค่ะะ

"ในความคิดผม คนจะเป็นอาจารย์ควรจะมีประสบการณ์การทำงาน ที่สามารถสอนเด็กได้มากกว่าแค่ในหนังสือ เด็กเองก็จะให้ความเคารพมากกว่าด้วย นอกจากนี้ต้องเป็นคนใจกว้าง หัดรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น แม้แต่ "เด็กนักเรียน นักศึกษา" ความเห็นของเค้าอาจจะมีดีกว่าที่คิด และที่สำคัญไม่ควรจะเอาตำแหน่ง Dr. มาเป็นตัวตัดสินว่า ตัวเองฉลาดกว่าครับ มีความรู้มากกว่าอาจจะใช่ แต่ฉลาดกว่านี่ไม่เสมอไปแน่นอนครับ"

จากที่ประสบอยู่ในตอนนี้และคาดว่าจะยาวนานไปอีกอย่างน้อย 1 ปี อาจารย์บางท่านที่จบเมืองนอกเมืองนา เก่งสารพัด ฉลาดมากมาย แต่ ..... ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นอ่ะ ชอบมองคนอื่นด้วยสายตาและท่าทีเหยียดหยาม (เราป่าวรู้สึกไปเองนะ เพราะมันหลายทีแล้ว) แล้วบางครั้งอาจารย์ก็เห็นด้วยไปกับคำโกหกพกลมของเด็กที่เรียนบางคนที่แถไฟแล่บ แล้วมาว่าคนที่ไม่แถ -*-

น่าเบื่อสุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดด :(


ตอบกลับความเห็นที่ 15