ถูก boy friend ทำร้ายร่างกาย

มีแฟนเป็นชาวไอร์แลนด์ เค้าจะหาเราทุกครั้งที่เราปิดเทอมค่ะครั้งละประมาณ 10-15 วัน ปีละ 2 ครั้ง อยู่กันมา 4 ปีแล้ว เค้าช่วยเราออกเงินปลูกบ้าน 1 หลัง เป็นเงินประมาณ 1 ล้าน 5 แสนบาท เรากู้ธนาคาร อีก 1 ล้าน 5 แสนบาท โดยทุกวันนี้ธนาคารหักเงินจากบัญชีเงินเดือนของเราทุกเดือน เราเคยชวนเค้าจดทะเบียนสมรสกับเรา โดยพาเค้าไปที่อำเภอ ทางอำเภอต้องการใบรับรองความเป็นโสด แต่เค้าบอกว่าเค้าไม่เคยแต่งงานไม่รู้ว่าจะใบขอใบรับรองได้ที่ไหน และเค้าทำงานกับบริษัทเอกชนในไอร์แลนด์จะลางานไม่ได้ ยกเว้นป่วย เค้าก็เลยชวนเราไปจดทะเบียนที่ไอร์แลนด์ เมษายน 2013เ ค้าว่าง่ายกว่าในเมืองไทย แล้วค่อยกลับมาจดทะเบียนที่เมืองไทย แล้วเรื่องก้อมีอยู่ว่าเมื่อเค้ามาคราวนี้ เค้าดื่ม เหล้า แล้วก็ดื่มเบียร์ไป 8 ขวด(ก่อนดื่มเหล้า+เบียร์ เค้ากินยาแก้ไปก่อนแล้ว ไม่รู้เกี่ยวกันมั๊ย)จนเกิดอาการเพี้ยนทวงเงินที่ให้เราไว้จ่ายค่าประตูรีโมท 20000 บาท( แต่ช่างให้เคดิตดเรา 1 เดือนเราก็เลยเอาเงินไปฝากไว้ในธนาคารโดยการฝากเงินกับตู้ฝากไม่ได้เข้าไปที่ธนาคาร)เราบอกว่าเงินอยู่ธนาคาร เค้าตบเรา 1 ที เพราะเค้าไม่เชื่อว่าเราฝากไว้กับธนาคารจริงๆ เพราะเราขับรถออกจากบ้าน หาแม่แล้วเลยเอาเงินไปฝากธนาคารเลย โดยใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที เค้าหาว่าเราโกหก เค้าถามว่าอยู่ไหน พอเราพูดคำว่าธนาคาร เค้าก็ตบเราอีก เค้าตบเรา 3 ครั้ง บีบคอด้วย เราเลยบอกว่ารอเดี่ยวเราจะไปเอาให้ เราคว้ากระเป๋า และโทรศัพท์ ก็รีบวิ่งหนีออกมาจากบ้าน เค้าส่งข้อความมาว่าทุบโทรทัศน์ พังแล้ว (พังจริงๆ) แล้วจะเปิดแก๊สด้วย (เราเข้าใจว่าเขาจะเผาบ้าน) เราไปแจ้งความ ตำรวจลงบันทึกประจำวัน และนำตัวเค้าไปขัง 1 คืน (เรื่องเกิดตอนประมาณ ตี 1 ) เราไปตรวจร่างกาย ปรากฏว่าแก้วหูเราทะลุ 50% วันรุ่งขึ้นตำรวจปล่อยตัวเค้าออกมา โดยเราไม่ได้ไปรับเค้า เราบอกเค้าว่าเราไม่สามารถอยู่ร่วมกับเค้าได้อีกต่อไป ให้เค้าออกไปจากชีวิตเราซะ ครั้ง นี้เราไม่เอาเรื่องเค้าแต่อย่ามาเกี่ยวข้องกับเราอีก เค้าไม่พูดอะไรเลย แม้แต่คำขอโทษ เราไม่สามารถอยู่กับเค้าได้เพราะไม่มีใครเคยทุบตีทำร้ายเรามาก่อน เมื่อเค้าทำได้ครั้งนี้ ครั้งต่อไปก็อาจจะทำร้ายเราอีกได้ เพราะ เราอยู่กับเค้าแค่ 2 คน (เวลาเค้าไม่มาเราก็อยู่คนเดียว) ปกติเค้าจะเป็นคนใจดี ช่างคุย ชอบให้เราเอาใจ ระหว่างที่อยู่กับเค้าห้ามรับโทรศัพท์ ห้ามคุยกับคนอื่นนอกจากเค้าคนเดียว เป็นคนอารมณ์ดีแป๊บเดียว เดี๋ยวดี เดี๋ยวหงุดหงิดเหมือนคนอารมณ์แปรปรวน ทะเลาะกับเราทุกครั้งที่ มาหาเรา เมื่อตอนบ้านยังไม่เสร็จเราไปพักที่โรงแรม พอเค้าเมาหาเรื่องทะเลาะกับเรา เราก็จะขับรถกลับบ้าน (บ้านพักสวัสดิการ) พอรุ่งขึ้น เรารอจนเค้าหายเมา เราก็จะกลับไปหา ก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นแบบนี้ตลอดทั้ง 4 ปี แต่ครั้งนี้อยู่บ้านตัวเองไม่รู้จะหนีไปไหน และครั้งนี้ถึงขนาดทำร้ายร่างกายกัน เราไม่ต้องการจะอยู่ กับเค้าอีกต่อไป ทุกวันนี้เค้ายังส่งข้อความบ้าง e-mail บ้าง มาด่าเราทุกวัน หาว่าเราวางแผนกำจัดเค้าออกไปจากชีวิต เพราะเราต้องการมีคนใหม่ เค้าจะไปร้องเรียนว่าเค้าส่งเงินมาปลูกบ้าน และส่งเงินให้เราใช้ทุกเดือน เราไม่อยากให้เค้ามาเมืองไทยอีกแล้ว เรากลัวเค้ากลับมาทำร้ายเราอีก เราควรจะทำอย่างไรดี เรากลัวมากๆเพราะเราอยู่คนเดียวในบ้าน เราจะไปร้องเรียนที่สถานทูตหรือ สถานที่ตรวจคนเข้าเมืองดี มีคนแนะนำให้เราเอาใบแจ้งความและบันทึกการตรวจร่างกายไปแปลเป็นไทยแล้วไปร้องเรียนได้ ใครพอจะช่วยแนะนำเราบ้างคะ ตอนนี้เราไม่มีความสุขเลย เครียดมากค่ะ

ความคิดเห็นที่ 1
ไม่รู้จะแนะนำยังไงค่ะ เรื่องร้องเรียน เพราะไม่เคยมีแฟนเป็นชาวต่างชาติ แต่เค้ามาให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ค่ะ ถ้าขนาทำร้ายร่างกาย เราว่าอย่าทนเลยค่ะ อารมณ์แฟนเจ้าของกระทู้น่ากลัวนะคะ วันนี้เค้าแค่ตบ ต่อไปเค้าจะทำอะไรอีกก็ไม่รู้ ยังไงก็สู้ๆนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ดีแล้ว ที่ยังไม่จดทะเบียนกัน
ตกลง เรื่องทีตำรวจลงบันทึกประจำวัน และนำตัวเค้าไปขัง 1 คืน นั้น เกิดที่จังหวัดอะไร เมื่อไร
ตอนนี้ เขาอยู่ที่ไหน


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
ดิฉันว่าเรื่องที่เขาจะไปร้องเรียนว่าเขาส่งเงินมาปลูกบ้านให้คุณ ถึงไปร้องก็ไม่น่ามีผลอะไร เพราะขนาดคนที่เขาจดทะเบียนสมรสกันถ้าคู่สมรสเป็นต่างชาติ ตอนไปทำเอกสารที่ ที่ดิน เจ้าหน้าที่เขาต้องให้เซ็นต์ในใบยินยอม (ถ้าตัวมาไม่ได้ก็ต้องมีใบยินยอมมา)ว่า ต่างชาติคนนั้นรู้และเข้าใจกฎหมายที่ดินไทยว่า ต่างชาติจะไม่มีกรรมสิทธิในที่ดินนั้น (ทั้งๆที่บางทีเงินที่ซื้อนั่นเป็นของสามีต่างชาติทั้งหมด) ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันจะไม่กังวลเรื่องนี้ค่ะ

เรื่องน่ากลัวคือการทำร้ายร่างกายนี่แหละ เรื่องร้องเรียนการทำร้ายร่างกายดิฉันไม่มีประสบการณ์ แต่คิดว่าคุณก็ทำอย่างที่หลายคนแนะนำนั่นแหละ ไม่มีญาติพี่น้องเลยเหรอ อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั่น ก็อย่ากลัวจนเกินไป ที่คุณอยู่นั่นก็เมืองไทย บ้านของเราเอง คนไทย เจ้าหน้าที่ไทยคงไม่นิ่งดูดายหรอก

ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
แนะนำให้ไปทำเรื่องร้องเรียนกับศาลเพื่อขอ a civil injunction หรือ protection order (ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้ว่าจะเขียนเป็นภาษาไทยอย่างไร) เพื่อไม่ให้อดีตแฟนคุณเข้ามาใกล้ และยุ่งเกี่ยวกับคุณได้อีก โดยนำเอาบันทึกประจำวันที่แจ้วความไว้กับตำรวจ และใบรับรองแพทย์กรณีที่เราถูกทำร้าย (ถ้ามี) ไปยื่นประกอบคำพิจารณาของศาล

เมื่อศาลออก protection order ให้ก็นำไปลงบันทึกประจำวันกับสถาณีตำรวจในท้องที่ของคุณ จากนั้นก็อาจจะแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้กับกองบังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองด้วยก็ได้ครับ ยังไงก็ลองไปปรึกษากับทนายดูก่อนก็ได้ครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ตราบใดคุณอยู่บนผืนแผ่นดินไทยเค้าก็ทำอะไรคุณไม่ได้ เป็นคนไทยอย่ากลัวคนต่างชาติครับ ผมเข้าใจว่าคุณเป็นผู้หญิงแต่คุณก็ต้องเข้มแข็ง คุณก็ยอมทนเค้ามาตั้ง 4 ปีดีแล้วที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสซึ่งจะทำให้ยุ่งยากหากเกิดกรณีแบบนี้ ลองทำตามคห.ด้านบนที่หลายๆท่านแนะนำ คุณเองช่วงนี้ก็น่าจะชวนญาติหรือเพื่อนสนิทมาอยู่ด้วย ยิ่งถ้าคุณรู้เวลาของเค้าว่าเดือนในแต่ละปีที่เค้าจะบินมาก็ระวังๆเป็นพิเศษหน่อยครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
เอาใจช่วยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ตอบเรื่องส่งเงินมาให้ถือว่าเป็นการให้โดยเสน่หา

ถ้าเขาจะฟ้องก็ได้ แต่เขาคงไม่ฟ้องจริง ๆ เพราะน่าจะไม่คุ้มค่าทนายว่าจะแพ้หรือชนะด้วย

เก็บในแจ้งความให้ดีแล้วกันเผี่อแฟนบ้ามาฟ้องเงินคืน


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
ถามเรื่อง เงิน นิดหนึ่งคับ จะคืนเขาไหม


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
เอาใจช่วยครับ ส่วนมากก็แนะนำกันไปหมดแล้ว เรื่องเงินที่ให้คงเอาคืนไม่ได้
ให้เปล่าๆไม่มีสัญญาผูกมัดหรือเงื่อนไขอะไร เรื่องไม่ให้เข้าประเทศก็ต้องมี
คำสั่งจากศาล ซึ่งตอนนี้เขาก็ไม่อยู่แล้วจะฟ้องก็อาจจะลำบาก

ลองขู่เขาทางอีเมล์ว่าคุณส่งเรื่องฟ้องไปแล้ว ถ้าเขาเข้ามาอาจจะถูกควบคุมตัวที่สนามบิน


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
เลิกกับผู้ชายคนนี้เด็ดขาดเลยนะ อย่าทน ต่อไปนี้เงินทองข้าวของที่เค้าให้ก็ไม่ต้องรับ
เก็บหลักฐานอีเมลคำขู่เอาไว้ด้วย ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้มากเพราะคู่กรณีไม่ได้อยู่ในไทย
ส่วนเรื่องทรัพย์สินที่จะทวงคืน เค้าให้โดยเสน่หาเป็นการให้เปล่าและทรัพย์ก็เป็นชื่อคุณในทางกฎหมายไม่มีใครบังคับให้คุณต้องคืน
แต่ถ้าคุณจะคืนก็ได้เพื่อยุติปัญหาและเค้าจะได้ไม่มีข้ออ้างในการทำร้ายคุณเพราะตอนนี้เหมือนจะลำเลิกบุญคุณเอาเรื่องเงินมาอ้างอยู่รำ่ไป

เค้าไม่มีสิทธิทำร้ายคุณ อย่าเปิดโอกาสให้เค้าทำร้าย ถ้าเค้ามาไทย อย่าอยู่หรือไปไหนมาไหนกันแค่สองคน
ตามญาติพี่น้องมาอยู่ที่บ้านด้วยเผื่อมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือกัน

ถ้าเค้าทำร้ายร่างกายอีก แจ้งความเป็นคดีอาญานะไม่ใช่แค่ลงบันทึกประจำวัน ...


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
เราสงสัยเหมือน คุณ คห. 8 เลยค่ะ ว่าจะคืนเงินเขาไหม

เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นนะคะ เพราะเราไม่ชอบฟังความข้่างเดียวค่ะ
พวกคุณคบกันมา 4 ปี ต้องมีตื้นลึกหนาบางกว่านี้ค่ะ เรื่องทุกเรื่องต้องมีเหตุ มีผล มีที่มาที่ไปเสมอ

แต่อย่างไรก็ตามขอแสดงความเสียใจด้วย และ ขอให้หาทางออกได้ทั้งสองคน ทั้งสองฝ่ายนะคะ
เราไม่รู้จักแฟนของคุณ และ ไม่รู้จักคุณ จขกท. และ เราจะไม่ตัดสินเขา หรือ ไม่ตัดสินคุณ
จากแค่เรื่องที่คุณเล่ามาในกระทู้ค่ะ เรื่องในเนื้อกระทู้เนี่ย เป็นเรื่องปลายเหตุค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
แวะมาแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมนะคะ _อีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่ขอตัดสินพฤติกรรมของผู้ชายคนนี้จากแค่ที่คุณ จขกท.
เล่ามาในกระทู้ เพราะคนไอริชเท่าที่ดิฉันรู้จัก หรือ เคยร่วมงานด้วย โดยทั่วๆ ไปเป็นชนชาติที่ขยันทำงานมากๆ
คนไอริชทำงานหนัก เวลาทำงานจะเอาจริงเอาจังมากๆ ไม่เหลาะแหละ ทุ่มเทให้กับงานเกิน 100%

แต่นอกเวลางานจะดื่มจัดจริงๆ คนไอริชเนี่ยเป็นอีกชาติหนึ่งเลยที่คอทองแดงมากๆ และ โดยทั่วๆ ไปเป็นฝรั่งที่ไม่มีพิษ
ไม่มีภัย นิสัยตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ มีศักดิ์ศรีมากในเรื่องของเงินๆ ทองๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม

และ เหตุผลอีกข้อที่ไม่อยากตัดสินใครเลย เพราะไม่ทราบว่าพวกคุณสองคนคบกันแบบไหน แล้วทำไมผู้ชายถึงได้ตกลง
ช่วยออกเงินค่าบ้านให้คุณ จขกท. ตั้งราวๆ 30,000 ปอนด์อังกฤษ คิดเป็นเงินไทยตั้งล้านกว่าบาท
คบกันเพียง 4 ปี ปีนึงเจอกันแค่ 2 ครั้ง ครั้งละ 10-15 วันเท่านั้น


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
แล้วเหตุผลอะไรทำให้เขาระแวงเรื่องเงินแค่ 20,000 บาท เมื่อเทียบกับที่เคยจ่ายๆ มาแล้ว 1.5 ล้าน เทียบกันไม่ได้เลย
สักนิด และ ทำไมถึงจะต้องไม่เชื่อว่าคุณนำเงินไปฝากธนาคารจริงๆ _เราไม่ได้ว่าอะไรนะคะ เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตค่ะ
และ เพราะไม่ชอบตัดสินใครจากการฟังความข้างเดียวจริงๆ การตัดสินคนอื่นโดยที่แค่ฟังคนอื่นเล่าก็เหมือนกับการ
อ่านข่าวแทบลอยด์โดยที่ไม่กลั่นกรองหรือไม่นำมาพินิจพิจารณาก่อนเชื่อค่ะ คล้ายๆ กับเคสที่ท่านนายกยิ่งลักษณ์
โดน Capture ภาพหลุดๆ แล้วมีคนนำมาแต่งเรื่องให้ร้ายคุณยิ่งลักษณ์ค่ะ และ ถ้าใครที่ไม่ได้ชมคลิปที่เป็นภาพ
เคลื่อนไหวทั้งหมดก็จะเชื่อว่าคุณยิ่งลักษณ์ ทำแบบนั้นจริงๆ

หรือ กรณีข่าวลือเรื่อง โรงแรมโฟร์ซีซั่น ซึ่งถ้าใครที่เคยพบ
คุณเศรษฐา ทวีสิน ก็จะไม่เชื่อหรอกค่ะ ว่าคนฉลาดๆ ปราดเปรื่อง บุคลิกภาพดีๆ มีออร่าเปล่งประกายแบบนั้นจะทำแบบนั้น
จริงๆ ดิฉันคนหนึ่งหล่ะ ที่ไม่เชื่อเด็ดขาดค่ะ และ คนระดับนี้ถ้าเขาจะทำจริงๆ โน่นค่ะ เมืองนอกค่ะ
หรือถ้าที่เมืองไทยก็จะต้องไม่ใช่ในที่สาธารณะแบบนั้นเด็ดขาด


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
คุณอยู่เมืองไทย ตำรวจไทย กฏหมายไทย ก็พอพึ่งได้พอสมควรนะคะ
อย่ากลัวเกินกว่าเหตุ
อยู่กันมา 4 ปี วางแผนร่วมกัน สร้างบ้านช่วยกัน จะยังไงเมื่อแยกทางเดิน
ไม่ต้องโลกสวย ถึงขนาด ขายบ้านคืนเงินเขาหรอกนะ


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
ลืมอีกนิด_แต่ถ้าคุณดีกับเขามาตลอด แล้วเขามาทำแบบนี้กับคุณก็ให้ปล่อยไปค่ะ แล้วทำตามที่ คห.
บนๆ บอก เพราะเราเองก็ไม่ชอบให้คนต่างชาติมารังแกคนไทยค่ะ และ เรามีความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า
ควรจะขายบ้านไปค่ะ แล้วไปซื้อใหม่ และควรจะเอาเงินในส่วนของเขาคืนเขาไปด้วยนะคะ _ขออภัยนะคะที่มาหลายรอบ
เพราะเพิ่มเติมข้อความใน คห. เดิมไม่ได้ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
ถ้าถึงขั้นตบตีแม้จะเป็นคนชาติเดียวกันก็พึงระวัง


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
ขอแนะนำให้ดำเนินการทางกฏหมายเลยค่ะ จากนั้นก้อีเมล์ไปบอกผู้ชายคนนั้นว่าคุณได้ดำเนินการทางกฏหมายแล้ว ถ้าเขาจะเดินทางเข้าประเทศไทยจะต้องถูกดำเนินคดีแน่ ตอนนี้พยายามเก็บหลักฐานที่ผู้ชายคนนั้นขู่คุณไว้ด้วยนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
เห็นด้วยกับ คห. 17 ค่ะ ตัดไฟต้นลมเสียเลย เพราะหากผู้ชายคนนี้เข้าประเทศไทยมาได้ เขาอาจตามล่าตามอาละวาดตามทำร้ายร่างกายคุณอีก ต้องรีบจัดการนะคะ เป็นห่วงความปลอดภัยของคุณค่ะ

ผู้ชาย psychopath แบบนี้ ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม ผู้หญิงควรตีตัวออกห่างให้เร็วที่สุด คบไปก็เป็นอันตรายกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตเปล่าๆ เลิกได้ก็ดีแล้วค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
คนดีคนไม่ดีมีปนกันอยู่ทั่วไปทุกชาติทุกภาษา

ถ้าเราเป็น จขกท เราคงขายบ้านแล้วคืนเงินส่วนที่เขาออกไปครึ่งนึง

เพราะดูแล้วยังไงก็คงไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตร่วมกันอีกที่เขาลงทุนสร้างบ้านก็คง

อยากใช้ชิวิตร่วมกับ จขกท เมื่อไปกันไม่ได้ก็จบกันแบบสวยๆดีกว่าจะได้มีส่วน

ดีๆไว้คิดถึงกันจากที่คุณเล่ามาคุณเองก็มีงานที่ดีทำ อาจจะทำให้ boy fried ของ

คุณคลายความโมโหได้บ้าง

ส่วนเรื่องแจ้งความหรือร้องเรียนเอาไว้เป็นอันดับท้ายๆก็แล้วกันยังไงเราก็คิดว่า

คบกันมาสี่ปีผู้ชายก็คงมีอะไรดีๆอยู่บ้าง







ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
เขาจะให้เงินคุณโดยเสน่หาก็จริง แต่ก็เป็นเงินตั้งล้านกว่าบาท ถ้าคุณจะเลิกกับเขาเฉย ๆ โดยไม่คืนเงินเลยสักบาท เขาคงจะแค้นมากกว่านี้และอาจหาโอกาสลอบทำร้ายคุณได้แม้ว่าคุณจะแจ้งความดำเนินคดีก็ตาม คนเราเวลาแค้นมาก ๆ คงไม่มีสติคิดเรื่องจะถูกตำรวจจับหรอกค่ะ ถ้าเป็นเราคงจะขายบ้านและตกลงกับเขาว่าจะเอาเงินคืนเท่าใด ดีกว่าไม่คืนเงินแล้วต้องมาใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวตลอดเวลา


ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
แนะนำเหมือนคคห.ที่ 4 กับ 10 ค่ะ เรื่องตำรวจกับศาล เรื่องเงินก็เรื่องนึงแต่ทำร้ายร่างกายก็อีกเรื่องนึงนะคะ ทุกคนคิดจะสร้างครอบครัวด้วยกันก็มีการสร้างอะไรร่วมกันทั้งนั้นแหละ แต่ไม่ใช่ว่าเค้าให้เงินคุณมาเป็นล้านแล้วจะมาซ้อมคุณจนแก้วหูทะลุแบบนี้ได้

เรื่องเงินถ้าคุณไม่สบายใจคุณก็ไปตกลงกับเขาว่าจะขายบ้านหรือคืนเงินอะไรเท่าไหร่ แล้วเขาจะรับผิดชอบอย่างไรกับที่ทำร้ายคุณ ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ไปที่ศาลเท่านั้นเองแต่จะให้เขามาตามข่มขู่มาทำร้ายกันมันไม่ใช่หรอก


ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
"ปกติเค้าจะเป็นคนใจดี ช่างคุย ชอบให้เราเอาใจ ระหว่างที่อยู่กับเค้าห้ามรับโทรศัพท์ ห้ามคุยกับคนอื่นนอกจากเค้าคนเดียว เป็นคนอารมณ์ดีแป๊บเดียว เดี๋ยวดี เดี๋ยวหงุดหงิดเหมือนคนอารมณ์แปรปรวน ทะเลาะกับเราทุกครั้งที่ มาหาเรา เมื่อตอนบ้านยังไม่เสร็จเราไปพักที่โรงแรม พอเค้าเมาหาเรื่องทะเลาะกับเรา เราก็จะขับรถกลับบ้าน (บ้านพักสวัสดิการ) พอรุ่งขึ้น เรารอจนเค้าหายเมา เราก็จะกลับไปหา ก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นแบบนี้ตลอดทั้ง 4 ปี แต่ครั้งนี้อยู่บ้านตัวเองไม่รู้จะหนีไปไหน"
ไม่เข้าใจ จขกท ทนอยู่ได้อย่างไรตั้ง 4 ปี หรือว่า......เพราะรักเหรอคะ ????หรือตกอยู่ในภาวะพึ่งพา

เป็นเราแค่ทำเราเจ็บแม้แต่ปลายเล็บก็คงไม่ต้องมองหน้ากันเลยทีเดียว....


ตอบกลับความเห็นที่ 22
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 23
เรื่องเงินผมอาจจะมองต่างกับความคิดเห็นท่านอื่น ฝ่ายชายมาทุกปี ปีละสองครั้ง
เท่ากับปีละ30วัน เขาคงคิดสารตะแล้วว่าคุ้ม ไม่ต้องจ่ายค่าโรงแรม มีคนไปรับไปส่ง
มีคนดูแล มีคนหาข้าวหาปลาให้กิน มีผู้หญิงให้นอนด้วยอีก(ขอโทษที่พูดตรง) แถม
มีกระสอบทรายให้ซ้อมเตะเวลาเมา

ถือว่าเป็นค่าเสียหายและเจ็บตัวไปน่าจะสมเหตุสมผล ถ้าผมเป็นฝ่ายชายผมคงไม่ทวงคืน


ตอบกลับความเห็นที่ 23
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 24
เข้่ามาให้กำลังใจค่ะ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงใจร้ายจัง
สู้ๆ นะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 24
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 25
เป็นผมนะ ผมไม่คืนหรอกเงินน่ะ ถึงคืนไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าคนมันจะแค้น มันก็หาเหตุผลอื่นๆได้อีก โดยเฉพาะคนที่มีอารมย์แปรปรวน เมืองไทยก็มีข่าวให้อ่านกันบ่อยๆ แค้นมากๆเอาน้ำมันราด จุดไฟเผา สาดน้ำกรด ผู้หญิงเองก็ไม่ใช่เล่น เอะอะก็จะตัดจู๋ท่าเดียว เอาเป็นว่า มันไม่สำคัญว่า จะเป็นคนชาติไหน(หรือเพศไหน) การที่จะเหมารวมว่าคนชาตินั้นชาตินี้ มีนิสัยแบบนี้ ไม่น่าเอามาใช้ เพราะคนดีคนเลวมีทุกที่ ทุกสังคม แต่ก็เห็นด้วยว่า การติดสินด้วยการฟังความข้างเดียว มันไม่ยุติธรรม แต่การทำร้ายร่างกาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร มันก็ผิดอยู่ดี แนะนำเหมือนทุกคนว่า ให้ระวังตัวมากขึ้น ระงับการติดต่อสื่อสารทุกรูปแบบ และที่สำคัญอย่าใจอ่อน และวางแผนเตรียมการล่วงหน้า ว่าถ้าเกิดคนๆนี้ โผล่มาที่บ้านคุณ คุณจะทำอย่างไร มีทางหนีที่ไล่ยังไง มีอะไรที่จะพอใช้ในการป้องกันตัวหรือไม่ คุณรู้วิธีการป้องกันตัวมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่รู้อะไรเลย เตะผ่าหมาก อย่างเดียวก็เอาอยู่แล้ว เคยนึกอยู่เรื่อยว่า ทำมั้ยผู้หญิงถึงไม่เตะเข้าไปที่เป้า แค่ครั้งเดียว ไม่ต้องแรงมาก ผู้ชายก็ลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว ถ้าไม่แคร์ที่จะอยู่ที่บ้านนี้ ก็ขายไป แล้วไปหาที่อยู่ใหม่ แต่ถ้าคิดว่าจะปักหลักอยู่ที่นี่ ก็เตรียมการให้ดี ที่สำคัญอย่าทำตัวเป็นคนอ่อนแอ เข้มแข็งเข้าไว้ นี่ยังดีว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยา ที่ต้องเจอกันทุกวัน ต้องคอยระวังทุกย่างก้าว ไม่รู้ว่าเค้าจะระเบิดขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ไม่เข้าใจ จขกท ตรงที่บอกมาว่า "ปกติเค้าจะเป็นคนใจดี ช่างคุย ชอบให้เราเอาใจ ระหว่างที่อยู่กับเค้าห้ามรับโทรศัพท์ ห้ามคุยกับคนอื่นนอกจากเค้าคนเดียว เป็นคนอารมณ์ดีแป๊บเดียว เดี๋ยวดี เดี๋ยวหงุดหงิดเหมือนคนอารมณ์แปรปรวน ทะเลาะกับเราทุกครั้งที่ มาหาเรา เมื่อตอนบ้านยังไม่เสร็จเราไปพักที่โรงแรม พอเค้าเมาหาเรื่องทะเลาะกับเรา เราก็จะขับรถกลับบ้าน (บ้านพักสวัสดิการ) พอรุ่งขึ้น เรารอจนเค้าหายเมา เราก็จะกลับไปหา ก็ไม่มีปัญหาอะไร" นี่มันเป็น warning sign ชัดๆ ไม่รู้ จขกท คิดยังไง ถึงทำเหมือนกับว่า นี่มันเรื่องปรกติ หรือปรกติผู้หญิง(ไทย)จะคิดว่า ผู้ชายพอเมาก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวส่างเมาก็หาย มาดีกันแบบเดิม งงอ่ะ ทนอยู่ได้ไง น่าจะเลิกกันไปตั้งแต่ปีแรกแล้ว
ตอบกลับความเห็นที่ 25
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 26
ลืมบอกไป ถ้าเรื่องนี้เกิดที่ต่างประเทศ เขาไม่ได้ออกมาจากห้องขังโดยไม่มีประกันหรอก
และที่เขาตบ บีบคอ เปิดแก๊สจะเผาบ้าน โดนหลายข้อหาทีเดียว

ด้านกฏหมาย เฉพาะเจ็บตัวแก้วหูฉีก หน้าบวม ค้อช้ำนั่น ต้องโดนชดเชยทั้งค่ารักษา
ค่า Suffering และ partially lost of hearing ล้านห้าอาจจะไม่ cover คิดว่าเขาทราบดี
และ feel very fortunate ที่เรื่องเกิดขึ้นในประเทศไทย

ส่วนเรื่องที่เขาระแวงคิดว่าคุณงุบงิบกับเงินค่าประตูนั่นไม่ทราบว่าเป็นมาอย่างไร แต่เอาคุณ
มาเป็นกระสอบทรายเพื่อระบายโทษะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ นั่งคุยกันดีๆน่าจะรู้เรื่องกว่า


ตอบกลับความเห็นที่ 26
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 27
ไม่ต้องคืนเงินค่ะเพราะคุุณไม่ได้หลอกลวงเค้ามาซื้อบ้าน เป็นการตกลงกันทั้งสองฝ่าย อยู่ด้วยกันมาถึงสี่ปีก็เหมือนสามีภรรยา ไม่งั้นกฎหมายแถวยุโรปบางประเทศ ถ้าแต่งงานให้ภรรยาทั้งบ้านและค่าเลี้ยงดูจากฝ่ายชายเกือบหมดเหรอะ ถ้าคิดว่าไม่ยุติธรรม ภรรยาเหล่านั้นควรขายทรัพย์สินมาแบ่งกัน แต่ศาลกับให้ภรรยาเพราะคิดว่ายุติธรรมแล้ว

ที่แย่ๆ ผู้ชายอะไรทำร้ายร่างกายผู้หญิง เราแค่ด่าหยาบและเอื้อมมือมาเราก็ไม่เอาแล้ว ทุกประเทศมีทั้้งคนดีคนเลว จะเหมาร่วมว่าดีหมดไม่ได้ สามีเราคนไอริช ขยันจริงๆ แต่บ้างคนก็ขี้เกียจทำงานก็มี ก็มีเลวมีดีปนกันไปแล้วแต่ใครจะเจอ

เรื่องความปลอดภัยกันไว้ก่อนค่ะ บอกเค้าไปตรงๆว่าเราแจ้งความใว้แล้วน่ะ ถ้าคิดจะทำอะไรเรา เราสู้ตามกฎหมาย

ขายบ้านแล้วซื้อใหม่อาศัยใกล้ๆญาติ พี่น้อง ถ้ายังติดเรื่องงานค่อยๆคิดน่ะค่ะ อย่าแสดงความกลัวน่ะค่ะ คบกับฝรั่งพูดตรงๆเลยค่ะ ขวานฝ่าซากไปเลยและไม่ต้องตอบโต้เค้าเก็บ email ใว้เป็นหลักฐาน เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ด้วยน่ะคะ ยังไงขอให้ผ่านเรื่องร้ายไปด้วยดีค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 27