แชร์ประสบการณ์สุดเปิ่นในต่างแดน

เราเชื่อว่าการไปต่างประเทศครั้งแรกของทุกคนเป็นเรื่องตื่นเต้น เพราะทั้งจะแปลกที่ ต่างภาษา หน้าตาคน ตึกรางบ้านช่องก็ไม่เหมือนกับบ้านเรา มันก็ต้องมีเหวอกันบ้างแหละ ใช่ไหมล่ะ 555

ของเรานะ ไปมาเลเซียครั้งแรก มีรถตู้มารับจากสนามบินไปทานข้าวกลางวันที่โรมแรมแห่งนึง แต่ไม่ใช่โรงแรมที่เราพักนะ (ก็ไม่รู้ว่าทำไมไม่พาไปที่พักเลย) พอก้าวลงจากรถ เจอพรมแดงขอบทองแบบวิริศมาหรามากอ่ะ เราก็ว้าย ทำไมไฮโซจัง เดินเฉิดฉายออกไป สรุปโดนหิ้วตัวออกทันใดเลย เค้าเตรียมไว้ต้อนรับสุลต่านแห่งประเทศอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ

พออีกสองวัน เราไปทานอาหารเย็นบนตึกที่มันหมุนๆ(อารมณ์ใบหยกอ่ะ) แล้วเดินไปขอเพลง(บรรเลง)ที่ตรงคนเล่นเปียโน เค้าก็ยื่นกระดาษมาให้เขียนเพลง มีโต๊ะให้นั่งเขียน เราก็ตั้งหน้าตั้งตาเขียน พอเงยหน้ามาหงายเงิบ สุลต่านคนเดิมนั่นแหละ มายืนตรงหน้าเรา แล้วกล้องรัวถ่ายรูปเยอะมาก เราไม่กล้าขยับตัวเลย ได้แต่ยืนเป็น background 5555

ใครมีเรื่องเปิ่นๆแบบนี้ มาเล่ากันหน่อยค่ะ อยากรู้ๆ

ความคิดเห็นที่ 1
ประสบการณ์เปิ่นของ จขกท สนุกจริงๆ

รู้สึกเหมือนมีกระทู้แนวๆนี้แล้ว แต่เล่าอีกก็สนุกอีก พอพูดถึงเรื่องเปิ่นๆ นี่ดิฉันจะนึกไม่ออก ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่เพราะว่าสมองมันจะสั่งให้ลืมอยู่เรื่อย

หลังจากใช้ความพยายามอยู่นานนึกได้เรื่องนึง ตอนที่ไปท่องยุโรปดิฉันจะมีปัญหากับรถไฟมาก นั่งผิดประจำ ตอนจาก Naples ไปปอมเปอีก็นั่งผิดสาย ที่ซิงเรเทเรก็นั่งรถไฟระหว่างเมืองผิดทิศอีก ตอนไปสวิสก็ผิดที่ไม่ได้ซื้อตั๋ว เพราะคิดว่ามี swisspass แล้วสามารถนั่งขบวนไหนก็ได้ ที่ไหนได้ขบวนนี้มันขบวนพิเศษ มาระลึกได้ตอนที่พลิกอ่านหนังสือ(ซึ่งดันไม่อ่านไปก่อน) เลยคิดว่าจะลงก่อนเค้ามาตรวจตั๋ว ก็ไปเตรียมยืนที่ประตูและ แต่ขบวนนี้มันพิเศษอีก ผ่านไปหลายสถานีมันก็ไม่จอดค่ะ ผ่านไปๆผ่านไป คนตรวจตั๋วเดินมาค่ะ ตอนนั้นทำไมไม่คิดว่าให้เค้าปรับไปก็หมดเรื่อง เค้าคงเห็นว่าเราจะลงแล้วก็ไม่ได้ถามเรื่องตั๋วค่ะ แต่ถามว่าจะให้ช่วยยกกระเป๋าไหม (คงกลัวว่าเราลงไม่จริง) สุดท้ายรถก็จอดที่สถานีใหญ่ที่นึงค่ะ หลังจากที่ยืนอยู่นานมากตรงประตู เค้าก็ช่วยยกกระเป๋าลงมาให้นะคะ ลงไปแล้วโชคร้ายอีกเจอฝนกระหนำค่ะ หนาวมากแล้วต้องรอรถขบวนถัดไปอีกเป็นชั่วโมง

ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ของเราก็มีค่ะ แต่เป็นแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวมากกว่า (โก๊ะ อย่างแรงงง 55+)

คือตอนเดินทางไปอเมริกาครั้งแรกเราไป work and travel ดังนั้นตอนเดินทางไปจึงไม่มีปัญหาอ่ะไรเพราะต้องเดินทางไปกับเพื่อนๆหลายคน แต่ขากลับนี่สิคะ เรามีธุระด่วนเลยต้องรีบกลับก่อนชาวบ้านเค้า ต้องเดินทางกลับคนเดียว
ที่นี้เราจำได้ว่าขามาเราต้องมารับกระเป๋า จากสนามบิน Lax เพื่อต่อโหลดกระเป๋าใหม่ไป Danver ดังนั้นขากลับเราเลยทำเหมือนขามาเปะๆ คือไปรอรับกระเป๋า
สรุป !!! กระเป๋าเราหายค่ะ เรากระวนกระวายอย่างแรง ภาษาก็ไม่แข็งแรง แต่เพราะห่วงกระเป๋ามากเลยต้องไปต้อมพนักงาน เค้าบอกขอดู บรอดดิ้งพาส ไอ้เรารึก็งง ว่ามันคืออ่ะไร เราไม่มี เค้าก็ช่วยอ่ะไรเราไม่ได้ (จริงๆๆเรามีค่ะ อยู่ในกระเป๋า แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อิอิ ) ต่อมาเราก็เห็นท่าไม่ดี คิดหนักเลย แต่ก็ยังรอซักพักจนแน่ใจว่าไม่มีกระเป๋าเหลือแล้ว เราจึงเดินไปเค้าท์เตอร์เลยค่ะ ให้เค้าตรวจสอบให้ เค้าขอแค่ชื่อจริง กับนามสกุลเท่านั้นค่ะ 5 นาทีได้คำตอบเลย...
เค้าบอกว่ากระเป๋าเราอยู่ที่..."แบงข่า"...ไอ้เราก็ตกใหญ่ใหญ่โตว่า ประเทศนี้อยู่ที่ไหนกัน เราจึงถามเค้ามั่วๆซั่วๆ ได้ใจความว่า แวร์ อีส แบงข่า ? เค้าหัวเราะใหญ่เลยค่ะ แล้วเขียนใส่กระดาษว่า Bangkok !!! โอ๊ยยยย....อายค่ะอาย ^^


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
ดิฉันขึ้นเครื่องบินคนเดียว ครั้งแรกไปเมกา แม่เจ้า..มานึกตอนนี้แล้วมันขำก๊ากเลย เราดันใส่ชุดสูทผ้าไหมสีขาวงาช้าง รองเท้าส้นสูง ลากกระเป๋า กะว่าเอาให้เท่ห์สุดๆ ว่างั้น. อารมณ์ประมาณว่า ดาราซุปตาร์ ในหนังขึ้นเครื่อง แถมยังมีเสื้อโค้ทหนาๆ อีกตัว วางพาดบนกระเป๋า (เคยดูหนัง และละครไทยมา เค้าก็แต่งแบบนี้นี่หว่า )



พอมาถึงอังกฤษ รอเปลี่ยนเครื่อง เดินไปทางไหนก็ไม่เห็นคนแต่งแบบเราสักคนนี่หว่า? เค้าแต่งแบบสบายๆ รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ เท่านั้นแหละ คนพากันมองเราแบบประมาณว่า เจอของแปลกสุดๆ เราเลยไม่ดงไม่เดินมันแล้ว นั่งจุมปุกอยู่กับที่จนเครื่องออก บางคนเดินมามองเราแล้วพากันอมยิ้ม คุยซุบซิบๆๆ เรางี้นั่งตัวแข็งอยู่กับที่ ไม่กล้าดุกดิ๊ก พอมาถึงสนามบิน แฟนรอรับ เค้าบอกว่า เธอเด่นกว่าเพื่อนเลย แล้วก็หัวเราะขำเราสุดๆ ความโมโห ความแค้นมันสะสมตั้งแต่ขึ้นเครื่องแล้ว เราปล่อยโหๆ มันตรงนััน แบบไม่อายใครเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
ครั้งแรกที่บินต่างประเทศ
ไปสิงค์โปร์ครับไปกันสามหนุ่ม
ดันไปถึงสนามบินช้าครับต้องรีบวิ่งขึ้นเครื่อง
น้องที่เป็นจนท.ภาคพื้นก็ปรี่เข้ามาประมาณว่าไอ้พวกนี้ทำให้คนอื่นต้องรอ
เจอหน้าก็พูดอังกฤษใส่มาเลยประมาณว่าขอดูตั่วหน่อย
พี่ผมก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับไปน้องเขาก็อึ้งๆประมาณว่าไม่เข้าใจ
ก็คุยกันแบบงูๆปลาๆผสมท่าทาง
คุยกันไปวิ่งกันไปจนถึงเครื่องประมาณว่าเป็นผู้โดยสารสามคนสุดท้ายเลยครับ
ก่อนแยกกันผมก็หันไปคุยกับพี่อีกคนเป็นภาษาไทย
น้องจนท.ก็ร้องอ้าวพวกพี่คนไทยเหรอแล้วไม่บอกให้พูดอังกฤษอยู่ได้
ผมก็อ้าวเหมือนกันพี่ผมคนที่คุยกับน้องเขาก็บอกว่าพวกพี่คนไทย
แต่นึกว่าน้องอยากฝึกภาษาเลยตอบเป็นอังกฤษกลับไป
เสร็จแล้วเลยหัวเราะกันใหญ่ว่าหน้าพวกผมไม่เหมือนคนไทยตรงไหนไม่ทราบ
ปล.พี่ผมคนที่พูดกับน้องเขาพูดสิงลิส เพราะไปทำงานที่สิงค์โปรประจำ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ทั้งหากระเป๋าไม่เจอกับขึ้นเครื่องช้าเราก็เคยมาหมด 555
ตอนไปออสเตรเลีย ขาไปใช้ใบสีฟ้า ขากลับเอาสีดำกลับมา แต่ดันลืมจำตำหนิ ต้องรอจนสายพานหยุด แล้วให้เจ้าหน้าที่มาพลิกกระเป๋าช่วยหา จนท.ถามว่า พี่ไม่คิดจะจำกระเป๋าตัวเองหรอครับ อายมากอ่ะ

ไปช้านี่ตอนไปลาว เจ้านายรออยู่บนเครื่องแล้ว นั่งรถไฟฟ้าไปช้า จนเจ้าหน้าที่ตะโกนว่า เวียงจันทน์เวียงจันทน์เหลือคนเดียว เต็มแล้วออกเลย เหมือนรถตู้เลยอ่ะ อายมาก แถมตอนไปบนเครื่องก็โดนทุกคนมอง แบบว่า นี่เองต้นเหตุเครื่องดีเลย์


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
กำลังนั่งคุยกันกับเพื่อนคนไทยอยู่เรื่องไปเที่ยวมา เพื่อนฝรั่งก็เข้ามาถาม

เพื่อนฝรั่ง : Hey zup! What ya talkin' bout?
ดอส : We're talking about travelling. I went to Port Stephen yesterday?
เพื่อนฝรั่ง : How was it? What to see there?
ดอส : We went out to the sea to see Loma fish.
เพื่อนฝรั่ง : What fish?
ดอส : Loma fish.
เพื่อนคนไทย : Yeah, Loma fish. Very cute.
เพื่อนฝรั่ง : What? What's it look like?
ดอส (frowning) : Loma fish! Don't you know it?
เพื่อนฝรั่ง : No... Is it a Thai fish?

(หันไปมองหน้ากันกับเพื่อนคนไทยแล้วก็หัวเราะกันก๊ากกกกก เวรแล้ว กรูตกไทย!!!)

ดอส : OH MY GOSHHHHHH! How coudl I not realise?
เพื่อนฝรั่ง (ทำหน้างง) : Realise what?
ดอส : The fish we were talking about was dolphin. Loma is a Thai word for it, but it doesn't sound Thai so I forgot and thought it was an English word!


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
เคยหลุดเข้าไปในงานแสดงดนตรีโดยไม่ได้ตั้งใจโดยไม่ได้ตั้งใจ ไปกับเพื่อน 2 คน
ไปถึงประตูที่มีการเก็บตั๋ว ปรากฏว่ามีคนมาแหวกฝูงคนแล้วอำนวยความสะดวกให้เรา 2 คน เข้าไป เราก็ไม่ทันได้คิดอะไร ก็ไปตามน้ำ

ปรากฏว่าเขาพาเราไปหลังเวที ไปพบกับนักร้อง คงดังมากกกก เดาจากเหตุการณ์ในขณะนั้น เราก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปนักร้อง แล้วเขาก็อำนวยความสะดวกให้เราได้ถ่ายคู่กับนักร้องด้วย และให้โปสการ์ดรูปนักร้องและเขาเซ็นชื่อให้ด้วย

เขาคิดว่าเราเป็นนักข่าวต่างชาติ คงกำลังรอนักข่าวอยู่

ออกมาได้หัวเราะก๊ากเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
เราไปถึงต่างประเทศวันแรกๆ ไปเดินห้างค่ะ เห็นผู้หญิงคนนึงขาเจ็บใช้ไม้เท้าพยุง เปิดประตูไม่ถนัด
เราเลยว่าไปช่วยเปิด เธอก็ยิ้มๆนะคะ บอกว่า "thank you" เรานี่ยิ้มเลย อย่างน้อยได้ช่วยเขา
พอเราเดินสวนออกมาหันกลับไปมอง ประตูมันเขียนว่า automatic door - -"


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
เป็นเรื่องที่ใช้คำภาษาอังกฤษผิดค่ะ วันหนึ่งเพื่อนของสามีไปออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วเขากลับมาเล่าให้สามีกับดิฉันฟัง ในขณะที่กำลังเล่าๆอยู่ ดิฉันถามขึ้นมาว่า Do you feel chemical with her? เขานิ่งไปนิด แล้วก็บอกว่า ก็รู้สึกนะแล้วก็พูดๆต่อ
แต่สามีถามดิฉันขึ้นมาว่า Do you mean chemistry? โอ้ยย..เพิ่งรู้ตัวว่าพูดผิด เท่านั้นแหละค่ะ ทั้งดิฉัน เพื่อนเขาและสามีหัวเราะกันก๊ากก


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
เคยมาเมืองนอกใหม่ ๆ แล้วก็ยืนรอรถเมลล์ป้ายใกล้ ๆ บ้าน แล้วก็มีคนมาถามว่า How long have you been here? นึกว่าเค้าคงไม่เคยเห็นหน้าเรามาก่อนแถวนี้ก็ทักทาย เราบอก 3 months. แล้วเค้าก็ว่า No, I mean how long you have been waiting for a bus. อ้าวนึกว่าอยากรู้จักเรา


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
เคยเอาน้ำยาล้างจาน ไปใช้กับเครื่องล้างจาน เละ.....


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ล่าสุด
นั่งรถไฟไป berlin ด้วยความที่เพิ่งเคยไปเยอรมันครั้งแรกก็เห่ออยากบิ้วอารมณ์ก่อนไป
ก็เตรียมโหลด soundtracks หนังเยอรมันใส่ iPhone ไปฟังระหว่างทาง
ทีนี้จังหวะเกิดอยากถ่ายรูป เราก็ถอดแจ๊คหูฟังออกจาก iPhone เพื่อความไม่เกะกะ แต่ตัวหูฟังยังเสียบอยู่ที่หู
พอถ่ายรูปเสร็จเราดันลืมเสียบแจ๊คหูฟังกลับเข้าไปที่ iPhone แถมเปิดเพลงซะดังลั่นกว่าเดิม
(จิตใต้สำนึกคงคิดว่าตูก็ใส่หูฟังอยู่ ทำไม่ไม่ค่อยได้ยินเพลงฟะ)
กว่าจะรู้ว่าตัวเองเปิดเพลงดังลั่นรถก็ปาเข้าไปเกือบจบเพลง โชคดีที่มันเป็นเพลง instrumental อันแสนจะไพเราะ
เลยไม่มีคน complain (มั้ง)

---

ยังไม่หมดแค่นั้น ช่วงก่อนถึง berlin เราเผลอหลับ และฝันด้วย เรารู้สึกเหมือนมีคนมาพูดกะเราเรื่องฝาโออิชิ
เราได้ยินเสียงมาถามเราเรื่อง ฝาๆ ไรเนี่ยดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นครึ่งหลับครึ่งตื่น ได้ยินเสียงตัวเองพูดเป็นภาษาไทยออกไปดังๆว่า

"ฝาาาอะไรวะ" จากนั้นเราก็ตื่น โดยมีพนง ตรวจตั๋ว ยืนมองหน้าอยู่พร้อมพูดว่า

"Fahrschein. Ticket please"

เท่านั้นแหละ เงิบเลย -_-

---

อีกเรื่องตอนไป Milan
ตอนนั้นอยู่ที่สนามบิน รอกระเป๋าอยู่เห็นมันไม่มาซะที รออยู่จนมันเหลือกระเป๋าแค่สองสามใบบนสายพานซึ่งไม่ใช่ของเรา
เลยไปแจ้ง พนง ที่เคาท์เตอร์ว่ากระเป๋าหาย จนท ก็ถามว่าเราบินจากไหนมาไหน และให้อธิบายลักษณะกระเป๋า
ด้วยความที่มันเป็นกระเป๋าใหม่ที่เราเพิ่งได้มาเมื่อวันก่อน ยังไม่ได้ทำตำหนิ ไม่ได้เขียนชื่อ
แถมเป็นแบบ brandless คือซื้อเอาไว้แทน backpack ที่แบกไม่ไหวแล้ว เราก็เลยอธิบายได้แต่สี ล้อ มีซิปหน้า
พร้อมกับชี้ไปที่สายพาน แล้วก็บอกว่า คล้ายๆอันนั้นแหละ

เสร็จแล้วเราก็เดินไปที่สายพานพร้อมกับ จนท เอ๊ะ ยังไง ทำไมมันเหมือนของเราจังหว่า แต่ดูอ้วนๆพิกล
ดูไปดูมา หน้าแหก มันคือกระเป๋าเรานั่นแหละ เพียงแต่ว่าซิปหน้ามันแตกเพยิบออกมา กระเป๋ามันเลยดูอ้วนๆโป่งๆ
เงิบบบ อีกรอบ ขอโทษ พนงที่ทำให้เค้าเสียเวลา แล้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
เยอะแยะค่ะ ตอนวัยรุ่นขึ้นรถเมล์หน้าบ้านโฮสต์เพื่อไปแมคโดนัลร้านเดียวในเมืองที่อยู่ รถเมล์พาวนรอบเมืองไปครึ่งชม. จนถึงร้านแมคโดนัล ขากลับก็พาวนอีก ทำอย่างนี้หลายเดือน จนครั้งนึงที่ไปกับโฮสต์ เค้าพาเดินออกทางข้างบ้านไปบล็อคเดียว ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆค่ะ

เพื่อนเคยถามว่า do u need company? เราตอบว่า no i still young ตอนหลังถึงรู้ว่าแปลว่าอะไร


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ของอิฉันไม่ค่อยเท่าไรค่ะ

ที่โตเกียว นอกเหนือจากประตูบ้านแล้ว ส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จะเป็นประตูอัตโนมัติ

แค่ไปยืนใกล้ๆมันก็จะเปิดให้เลย

มีอยู่ครั้งหนึ่งไปเยี่ยมญาติที่ฝรั่งเศส ดิฉันไปยืนใกล้ๆประตู ก็ไม่เห็นมันเปิด

เลยกระโดดกระทืบๆพื้นที่อยู่ใกล้ๆประตูให้เซ็นเซ่อร์มันทำงาน แต่มันก็ยังไม่เปิดให้ มองหาปุ่มกดก็ไม่มีเลยได้แต่กระทืบอยู่อย่างนั้น

พอญาติๆที่เดินตามมามาทัน เค้าก็ขำแล้วว่าประตูที่ฝรั่งเศสไม่เหมือนที่ญี่ปุ่นนะ(เค้าไปญี่ปุ่นบ่อย)

ว่าแล้วเค้าก็เอื้อมมือไปผลักบานประตูกระจกออก


ตอบกลับความเห็นที่ 14