แนะนำทางออกเรื่องเลี้ยงดูพ่อแม่กับสามีอเมริกันให้หน่อยค่ะ

อยากปรึกษาและขอแนะนำเรื่องเกี่ยวการส่งเงินเลี้ยงดูพ่อแม่และเรื่องการหย่าค่ะ

ตอนนี้เรามีปัญหากับสามี(เป็นคนอเมริกัน) เรื่องการส่งเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ โดยก่อนบินมาอเมริกาแฟนเรา เปิดบัญชีไว้ให้ก้อนหนึ่ง บอกว่าเผื่อไว้ใช้ฉุกเฉินสำหรับพ่อแม่เราที่เมืองไทย

แต่เราเคยบอกแฟนแล้วว่า เราต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตามเราก็ต้องหาเงินส่งไปให้พ่อแม่ทุกเดือน ปัจจุบัน เราอยู่อเมริกาได้เจ็ดเดือน แฟนเราเขาไม่ให้ทำงาน แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนส่งให้พ่อแม่ เราก็เลยโอนเงินที่เข้าเปิดบัญชีโอนให้พ่อแม่ทุกเดือน จนเดือนที่เจ็ด แฟนเราเขาถามเกี่ยวกับเงินก้อนนี้ เราบอกว่าเหลือเท่านี้ เขาก็โมโหถามว่าเงินหายไปไหน เราก็บอกว่าโอนเงินให้พ่อแม่ เราคิดว่าเขาเข้าใจที่เราอธิบาย แต่ปรากฎว่าเขาไม่เข้าใจอย่างที่เราอธิบาย เขาต่อว่าเรามากมาย หากว่าโกงเงินเขา โกหกหลอกลวงเขา เราเสียใจมากเพราะ เราไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย เพียงแต่เรามาอยู่ที่นี้เราไม่มีเงินให้พ่อแม่ เหมือนตอนอยู่เมืองไทยและเราคงมีปัญหาการสื่อสารเรื่องภาษาด้วย คิดว่าพูดแล้วเขาเข้าใจอย่างเราเข้าใจ
เราเลยปรึกษา ขอคำแนะนำดังนี้
1 เราควรจะเล่าปัญหาทั้งหมดให้พ่อแม่ฟังไหม เพราะเดี๋ยวสิ้นเดือนตุลาคมเราคงไม่สามารถโอนเงินให้พ่อแม่เราได้อีก จริงๆเราไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ แต่ในเม่ื่อเขาไม่ให้โอนเงินแล้ว เราก็คงไม่กล้าไปยุ่งกับเงินเขาอีก

2 เราสามารถฟ้องหย่ากับแฟนสามารถทำได้ไหมค่ะเพราะเราคิดว่า หากเราอยู่กับเขา โดยที่เขาไม่ให้เราทำงานอะไรเลย เราคงไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ พ่อแม่เราจะเอาเงินมาจากไหนมาใช้

ในกรณีของเราพิมพ์ลายนิ้วมือไปตั้งแต่เดือนมิย กรีนการ์ดยังไม่ได้เลยค่ะ เราอยากอยู่ที่อเมริกาเพื่อหางานทำ ส่งเงินให้พ่อแม่ เราอายุเยอะแล้วจึงหางานยากที่เมืองไทย

ตอนแฟนเขาโมโห เขาปาปากกาใส่แขนเราจนเขียว ด่าว่าดูถูกทุกอย่าง เขาบอกว่านอกเหนือจากเงินก้อนนั้น ไม่ต้องโอนให้พ่อแม่ ต่อไปเขาก็ไม่ให้เงินเราอีกต่อไป ไม่ให้เราออกจากบ้าน ถ้าเลิกกันจะเขียนด่าประจานเราส่งเมล์ไปหาเพื่อน ส่งไปตามfacebook หาว่าเราโกงเงินเขา เขาจะแจ้งทางหน่วยงานที่เขายื่นเรื่องไม่ให้กรีนการด์เรา ทำให้เราเป็น blacklist เข้าประเทศอเมริกาไม่ได้ ถ้าหย่าได้เราไม่ได้อยากได้ทรัพย์สมบัติอะไรเขาหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าเราอยากได้กรีนการด์เราอยากจะทำงานที่อเมริกา เพื่อส่งเงินกลับเมืองไทยค่ะ

จึงอยากขอคำปรึกษาแนะนำจากเพื่อนๆๆผุ้มีประสบการณ์ทั้งหลายค่ะ ช่วยหาทางออกให้เราหน่อย มาอยู่นี้ไม่มีใครรู้จักเลย เราร้องไห้ เสียใจทุกวัน เราทิ้งพ่อแม่ ทิ้งหน้าที่การงานเงินเดือนสูงๆๆ ของเราทั้งหมด เพื่อมาอยู่กับคนที่เรารัก แต่ในเมื่อคนที่เรารักเขาไม่เข้าใจในเรื่องการเลี้ยงดูพ่อแม่ ความกัตตัญญูพ่อแม่ เรายอมเลิก ยอมเจ็บปวด และอยู่คนเดียวเพื่อทำงานหนัก ต่อไปได้ค่ะ

ความคิดเห็นที่ 1
เห็นใจ เเละนับถือน้ำใจคุณที่ไม่ทิ้งพ่อเเม่ค่ะ เรื่องอื่นรอความคิดเห็นต่อไปนะคะ ปล ไม่ทราบว่าอยุ่รัฐไหนค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
เราอยู่เท๊กซัสค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
มาให้กำลังใจค่ะ อาจจะเป็นเพราะเค้ากำลังโมโหเลยพูดจาไม่ค่อยดีนัก ช่วงนี้ก้อควรจะทำตามเค้าไปก่อน รอให้เค้าเป็นปกติแล้วเราค่อยหาโอกาสพูดเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งจะได้แบ่งไปให้พ่อแม่บ้าง

เรื่องการส่งเสียพ่อแม่ ถ้าคุยกับคนเมกันเค้าอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ หรือเข้าใจก็ไม่เท่าอย่างเราเข้าใจ เพราะวัฒนธรรมการเลี้ยงดูจะต่างกัน ดังนั้นก็อย่าพึ่งเสียอกเสียใจไปเลยค่ะ เรื่องบางอย่างมันยากที่จะเข้าใจสำหรับบางคน แต่คิดว่าต่อไปอาจจะเข้าใจได้ ช่วงนี้อาจจะมาอยู่ใหม่ๆ แล้วบางทีเค้าอาจจะไปอ่านจากอินเตอร์เน็ตหรืออะไร ที่มีหลายข้อมูลบอกว่าผู้หญิงไทยหน้าเงิน เห็นแก่เงิน หรือแต่งงานเพื่อเงิน เค้าอาจจะสับสนว่าจริงหรือเปล่า พอมาเจอว่าเงินถูกโอนออกไปให้พ่อแม่ เลยคิดว่าอาจจะโดนปอกลอกหรือเปล่า ดังนั้นช่วงแรกๆ อาจจะต้องบอกพ่อแม่อดทนไปก่อน หรือไม่ เราก็ค่อยเก็บสะสมเงินจากการใช้จ่ายเป็นเงินสดแล้วค่อยส่งมันนี่แกรมไปให้พ่อแม่ก็ได้ ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ได้ทุกเดือนแต่ถ้าทุกอย่างดีขึ้น มีงานทำแล้วอาจจะดีขึ้น ยิ่งพ่อแม่ท่านไม่ได้คาดหวังหรือบังคับว่าต้องส่งเสียท่านทุกเดือน ก็ไม่ควรจะคิดมาก เพราะถ้าเรามีปัญหากับสามีจนต้องหย่าร้าง ท่านก็จะเสียใจมากเช่นกัน

เรื่องที่คิดจะหย่า คิดว่านี่ยังสามารถจะแก้ปัญหาได้ อย่างที่แนะนำข้างตน อีกอย่างมาอยู่ได้เจ็ดเดือนอาจจะยังไม่ได้กรีนการ์ดหรือถ้าได้ก็จะได้กรีนการ์ดสองปี ถ้าจะแต่งงานใหม่ก็อาจจะต้องทำเรื่องยากขึ้นนิด ถ้ากลับไทยแล้วไม่มีปัญหา ก็อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่คิดว่า ขจกท อาจจะไม่อยากกลับไทย ดังนั้นถ้าอยากจะอยู่ต่อ อาจจะต้องอดทนให้ได้กรีนการ์ดก่อน หรือได้กรีนการ์ดสิบปีก่อน

กรณีทีแฟนคุณจะทำอย่างนั้นที่เค้าว่าอาจจะได้ แต่ถ้าต่อไปทะเลาะกันแล้วเค้าทำให้คุณเจ็บหรือทำร้ายร่างกาย ควรจะโทรแจ้งตำรวจให้มาทำเรื่องไว้เพราะอาจจะมีผลต่อการหย่าและการยื่นกรีนการ์ดด้วยตนเองในอนาคต (กรณีที่ขจกท คิดจะไม่อยู่กับเค้าแล้วจริงๆนะคะ)

เราคิดว่า ขจกท อาจจะต้องให้เวลาสามีปรับตัวปรับความคิดซักระยะ เงินของเค้า เค้าหาด้วยความลำบาก ก็คงจะไม่อยากจ่ายไปง่ายๆ ยิ่งเค้าไม่ต้องรู้สึกว่าจะต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยแล้ว ยิ่งจะไม่ง่ายนักต่อการทำความเข้าใจ คิดว่าสามี ขจกท น่าจะยอมรับได้

สำหรับเรา ก็ส่งพ่อแม่เท่าที่ทำได้ แต่ก็ไม่ได้ให้มากนะ บางเดือนมีเรื่องต้องใช้จ่ายมากเราก็ไม่ได้ส่ง แต่เราก็จะบอกพ่อแม่ว่าเราจำเป็นต้องใช้เงิน ยิ่งเรากำลังเรียน เราต้องใช้จ่ายจิปาถะ เราก็จะบอกพ่อแม่ว่าขอเป็นโอกาสหน้า สำหรับแฟนเรา ไม่ว่าเรื่องส่งเสียพ่อแม่ แต่ว่าถ้าช่วงไหนเรามีน้อย แกก็จะบอกว่ารอไปก่อนได้มั้ย เราก็โอเค ถามว่าเข้าใจมั้ย เราว่าเข้าใจแต่ไม่ทั้งหมด เพราะพ่อแม่เค้ามีแต่ส่งเสียให้ลูก ลุกๆ ไม่เคยให้พ่อแม่เลย เค้าให้เราทำเพราะเป็นการตกลงกันตั้งแต่ตอนแรกที่เจอกันว่า เราจำเป็นต้องส่งเสียพ่อแม่ ถ้าหากรับไม่ได้ หรือไม่ให้ทำ ก็จะคุยกันแบบเพื่อนเท่านั้น เพราะเราทิ้งพ่อแม่ไม่ได้ เค้าก็บอกว่าโอเค เพราะเค้าไปศึกษาวัฒนธรรมไทยมาบ้างแล้ว แต่เค้าก็บอกว่าจะต้องไม่ส่งเสียจนทำให้ตัวเองลำบากนะ เราก็ว่าตกลงและถ้าเรามีงานทำเราก็จะส่งเสียเอง จะไม่รบกวน

ดังนั้นมันเป็นเหมือนข้อตกลงที่บอกกันแต่แรกแล้ว จะมามีปัญหาตอนหลังก็ไม่ค่อยจะดี แต่เราเองก็รู้ว่าเราต้องให้เงินพ่อแม่ เราก็ประหยัดนะ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ของแบรนด์เนม หรืออะไรที่ไม่จำเป็นเราก็ไม่ชื้อ ทำเองได้เราทำ พยายามชื้อของที่อยู่ในช่วงลดราคา จะได้มีเงินเก็บไว้บ้าง เราประหยัดกับตัวเรา แต่เราไม่ประหยัดกับของคนอื่น จนแฟนเราบอกว่าทำอะไรให้ตนเองบ้าง เราคิดว่าเพราะเราไม่แสดงให้เค้าเห็นว่าเราฟุ้มเฟือย เค้าถึงไม่เคยบ่นให้เราได้ยินเรื่องส่งเสียพ่อแม่ ถ้าเรามีเงินมากๆ เราก็จะให้พ่อแม่มากๆเช่นกัน แต่ตอนนี้ต้องทำเท่าที่เราทำได้ไปก่อน เพราะเรายังใช้เงินของคนอื่น

ขอเอาใจช่วย ขจกท ขอให้เรื่องราวผ่านไปด้วยดี อย่างได้ต้องหย่าร้างกันเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
คุยกับสามีค่ะ ว่าพ่อแม่แก่แล้วที่เมืองไทยไม่มีบำเน็ญบำนาญ คุณต้องการออกไปทำงานหาเงินมาแบ่งเบาภาระของเขา อย่างน้อยเป็นค่าค่าใช้จ่ายส่วนตัวของคุณเองและให้พ่อแม่

อย่างว่านะคะ คนที่ไม่เข้าใจหรือไม่ชอบวัฒนธรรมแบบนี้ อธิบายยังไงก็ไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับ เคยเจอกับสามีของเพื่อนๆ ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
https://www.facebook.com/groups/usvisa4thai/ เเนะนำลองเข้ามาคุยที่เพจนี้ดูนะคะ จะได้ไม่เหงา มีหลายคนที่อยู่เท็กซัส ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ถูกทำรเายร่างกาย ให้โทรเรียก 911 แล้วขอรีเทนชั่นก็ได้ ถ่ายรูปไว้ ยื่นขอหย่าได้ แล้วขอกรีนการ์ดด้วยตัวเอง เพราะคุณโดนทำร้าย ที่พูดมามันขู่ ถ้ามันร้ายอีก ทั้งร่างกาย ทั้งด่า ให้อัดเทปไว้ เรียกตำรวจ ยื่นขอรีเทนชั่นห้ามเข้าใกล้ได้


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
รีเทนชั่น ที่ คคห ๖ บอก น่าจะเป็น Court Protective Orders. Restraining order นะ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
เห็นใจทั้งสองฝ่าย

ว่าแต่ ทำไมก่อนจะมาอยู่เมกา คุณไม่ตกลงกับสามีก่อนล่ะ ว่าคุณจะเอาอะไรบ้าง ? ต้องใช้ชีวิตอย่างไร ? จะทำงานได้ไหม ? ส่งเงินให้แม่ได้ไหม ?

ทำไมรีบมาโดยไม่ตกลงกันก่อน ??????


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆๆของเพื่อนๆทุกท่านค่ะ
@คุณ Natticus เดี๋ยวเราจะลองเข้าไปตามลิงค์ค่ะ อย่างน้อยจะได้มีเพื่อนเวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะได้ไม่รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวค่ะ

@คุณ Cutie_May @คุณ ขอให้คุยกันเข้าใจนะคะ ขอบคุณมากค่ะสำหรับแนวทางที่แนะนำมา เราจะลองคุยกับเขาอีกทีตอนอารมณ์ดีๆๆกว่านี้ค่ะ ที่เท๊กซัส เมืองที่เราอยู่หางานทำไม่ยาก เราอยากทำแค่พาร์ทไทม์เล็กๆๆน้อยๆ

@คุณ ก หากมีเรื่องทำร้ายร่างกายอีก เราจะทำตามคำแนะนำของคุณ ก ค่ะ

ใจเรายังรักเขาอยู่ โดยปกติเขาเป็นคนดี มีน้ำใจ ที่ผ่านมาน้ำท่วมบ้านปีที่แล้วก็มาซ่อมบ้านทาสีบ้านให้หมดเงินเป็นแสนเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เราเองก็ไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ ลูกเพิ่งแต่งงานไปเอง เลิกกันซะแล้ว เราจะอดทนและคุยกับพ่อแม่อีกทีให้ค่ะ

ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
@ คุณ WinandBP เราผิดพลาดเองค่ะอธิบายงูๆๆปลาๆๆ คิดว่าเขาเข้าใจ คิดเอาเอง ขอให้เรื่องเราเป็นประสบการณ์กับสาวๆๆที่จะมาใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ จะได้ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์อย่างเราอีกค่ะ
เรามาด้วย K1 รอมาหนึ่งปี วีซ่าผ่านวันศุกร์ บินวันอาทิตย์ เวลาที่รอก็คุยเรื่องงานแต่งงาน คุยกันเรื่องอื่นๆ ผิดพลาดอย่างแรงที่ไม่ได้คุยให้ชัดเจนเรื่องการช่วยเหลือพ่อแม่ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ใจเย็นๆนะคะ คุณเพิ่งมา คงต้องปรับตัวอีกสักพัก เรื่องเงินๆทองๆบางคนก็อ่อนไหวง่าย ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ต่อ ก็ต้องทน โดนด่า โดนทำร้าย อัดเทป ถ่ายรูปทิ้งไว้ก็ดี ถ้าวันหนึ่งทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็จัดไป แต่ถ้าทะเลาะกันแล้วดีกันหลังจากนั้นคุยกันดีๆ ก็ถือเป็นเรื่องปรกติของการมีชีวิตครอบครัว ค่อยๆปรับตัวเข้าหากันดีกว่าค่ะ

ไม่รู้ว่าคุณอยู่เมืองไหน ทำไมสามีถึงไม่ให้ทำงาน บางคนก็คิดเรื่องภาษี บางคนก็อยู่ห่างเมืองไม่สะดวกเดินทางรับส่ง บางคนก็หน้าตาสังคม เหตุผลร้อยแปด ลองถามให้เคลียร์ดูนะคะ ถ้าคุณอยากจะทำงานก็บอกเค้าไปว่า จะหาที่ จ่ายเงิน รับเงินสด ไม่เกี่ยวกับภาษีอะไรของเค้า

เรื่องส่งเงินให้ที่บ้าน สามีเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะในช่วงแรกๆ บ้านเราไม่ได้ขออะไรหรอก แต่เราอยากเก็บเงินที่ไทย บวกงกส่วนตัวนิดหน่อย เราก็กึ่งเล่า กึ่งถาม ตอนอารมณ์ดีๆ หรือเห็นเหตุการณ์อะไรที่พาไปเข้าจุดประสงค์เราได้ ก็ประมาณว่า คนแก่ที่นี่ เจ็บป่วยรัฐดูแลเหรอ แต่ที่เมืองไทยไม่ใช่นะ อยากได้บริการดี ก็ต้องมีเงินระดับหนึ่งถึงจะได้การรักษาที่ดี เราก็อยากดูแลพ่อแม่ให้ดีในส่วนนี้ ไม่ต้องไปบอกว่ามีบัตร30บาท หรือทำประกันไรไว้ให้ที่บ้าน บำนาญไรนั้นไม่ต้องเล่า เดี๋ยวงงไปใหญ่ เค้าก็เข้าใจค่ะ

เรื่องส่งเงินอีก ถ้าเค้าอ่อนไหวมากตรงจุดนี้ คุณก็ลองขอเค้าว่า ไม่ได้ส่งให้ทุกเดือนแต่ขอ3 เดือนครั้งก็ว่าไป จะได้ไม่ต้องไปรบกวนเค้าทุกเดือน ส่งให้เผื่อที่บ้านเข้ารพ. ค่าใช้จ่ายทั่วไป คนเราโดนขอเงินทุกเดือนบางคนก็ไม่ชอบนะคะ ก็ลองคุยกับที่บ้านคุณด้วยว่าไหวมั้ย หรือคุณก็จัดสรรการโอนเงินเองที่ไทย ยิ่งถ้าเค้าให้คุณหางานทำเอง แบบนี้ก็จะได้ไม่ไปรบกวนเค้ามาก แต่อย่าเอาเรื่องออกหางาน หาเงินส่งทางบ้านเองไปอ้างนะคะ ฝรั่งบางคนก็อาจจะคิดว่า คุณแต่งงานมาอยู่กับเค้านี่ กะมาหางานทำ ไม่ได้มาอยู่เพราะรักกันจริง เราเคยอ่านเจอจากที่หนึ่ง กลายเป็นทะเลาะกันใหญ่เลย

เรื่องเงินมันอ่อนไหวง่าย เจอคนใจดีก็ดีไป เจอคนเคี้ยวก็ต้องใจเย็นๆ ทุกปัญหามีทางออกแน่นอนค่ะ แต่ขอให้ มีสติ คุยด้วยเหตุผล คนหนึ่งร้อน คนหนึ่งต้องนิ่งเป็น เย็นเป็น ทะเลาะกันอย่าหาเรื่องหนีออกบ้าน ในเมื่อรักกัน ก็ต้องประคับประคองครอบครัวให้ไปด้วยกันให้ได้นะคะ มองการณ์ไกล เพราะคุณกับเค้าอยากสร้างครอบครัวด้วยกันใช่ป่าวหละค่ะ

ขอให้โชคดีค่ะ ถ้าอยู่ฮุลตัน ว่างๆเสาร์อาทิตย์ลองไปวัดไทยดูนะคะ เผื่อจะได้เจอคนไทย ได้พูดคุย เผื่อช่วยให้สบายใจได้บ้าง


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
อาจจะอยู่ในช่วงปรับตัวทั้งสองฝ่ายด้วย ใช้เวลานะคะ อย่าด่วนทำอะไรเร็วไป บางทีเราจะเสียดายทีหลัง

ข้อเสียก็เรื่องที่คุณไม่ได้บอกเค้าก่อนแต่งย้ายมา มาคุณต้องส่งเสียพ่อแม่ ต้องเลี้ยงดูพวกท่าน เค้าเลยคิดว่าคุณเห็นแก่เงิน ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ สักวันเขาจะเข้าใจ ในระหว่างนี้ก็ให้พวกท่านหาเงินทางอื่นมาใช้ก่อน ไม่มีรายได้อะไรเข้ามาเลยเหรอคะ

เอาใจช่วยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
แวะเข้ามาดูอีกรอบ

สำหรับครอบครัวเราไม่มีปัญหาเรื่องส่งเสียพ่อแม่ แต่เราก็ต้องเกรงใจสามีด้วย เราต้องเรียนอีกหลายปี อะไรพอจะช่วยประหยัดได้เราก็อยากจะทำ

อีกอย่างเราเห็นตัวอย่างหลายกรณี แรกๆก็รักกันดี ร่ำรวย ฟู่ฟ้า ส่งเสียทางไทยไม่อั้น เงินทองล้นมือ แต่พอต่อๆมา เริ่มมีปัญหา หลายคนต้องเลิกกันเพราะเรื่องนี้ แม้จะทำงานเองได้ก็จะมีปัญหาเงินชั้นเงินยู เพราะปัญหามันได้สะสมมาแล้ว

ชีวิตครอบครัวไม่ได้อยู่กันปีสองปี เวลาทำให้คนเปลี่ยนได้ เราต้องเอาใจเข้าใส่ใจเรา และเกรงใจกัน อะไรที่จะปรับเปลี่ยนให้มีความสุขก็ควรจะทำ อนาคตไม่มีอะไรแน่ เราต้องทำใจและเตรียมตัวไว้ด้วย จะได้ไม่เสียศูนย์มากนัก ถ้าหากไม่ได้เป็นไว้ดังที่หวัง ถ้าหากมันเป็นไปตามหวังก็จะได้ไม่ใจพองมากนัก

ขอให้ ขจกท แก้ปัญหาได้ไวๆ และได้ทำงานเร็วๆนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
เป็นเรื่องแปลกมากที่ผู้หญิงที่ทำงานเงินเดือนสูงๆ ขาดทักษะการจัดการ
การลาออกจากงานที่ทำมานาน คุณจะต้องมีเงินก้อนหนึ่งจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ส่วนนั้นสามารถแบ่งสรรให้พ่อแม่ได้

การหยิบเงินในบัญชีที่ไม่ใช่ของคุณไปใช้โดยไม่บอกคู่ชีวิต
เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เป็นการกระทำที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง
ฟังดูขัดแย้งกับการที่เคยทำงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะๆ มาก่อน
(งานที่ให้เงินเดือนสูงต้องมีความรับผิดชอบสูงด้วย)

พอมาดูที่วัยวุฒิ คุณบอกคุณอายุมากแล้ว
แต่แปลกที่ยอมให้สามีควบคุมชีวิตในเรื่องการทำมาหาเลี้ยงชีพ
รวมถึงยอมให้เขาทำคุณเจ็บตัวเวลาเขาโมโห โดยคุณก็ไม่พูดกับเขาถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง
คุณทำผิดเป็นเรื่องหนึ่ง การทำร้ายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แปลกที่คิดเลิกรา แต่ไม่คิดแก้ปัญหาทั้งที่เพิ่งแต่งงานมา 7 เดือน
และเพิ่งเกิดปัญหาครั้งแรก แถมยังถามวิธีการได้มาซึ่งใบเขียว
ถ้าปัญหาคือการสื่อสาร ก็คงต้องพูดกันให้หนักแน่นชัดเจนจนกว่าจะเข้าใจ ว่าคุณต้องการทำงาน
ไม่เข้าใจว่าเขาจะทำร้ายคุณหรือถ้าคุณไปสมัครงานหรือหางานทำ?

การแต่งงานข้ามเชื้อชาติ คุณควรต้องมีน้ำอดน้ำทนในการอธิบายเรื่องที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจให้มาก
ไม่มีอะไรในโลกที่คนรักกันจะอธิบายให้เข้าใจไม่ได้ ยกเว้นไม่รัก

การบำรุงบิดามารดาเป็นเรื่องดี
ช่วงนี้อาจบอกงดไปก่อน จนกว่าคุณจะได้งานทำและมีรายได้เป็นของตัวเอง
ต่อไปให้เป็นก้อนจะดีกว่า อาจลงทุนซื้อที่ดิน ปลูกห้องให้เช่า และนำรายได้ที่เกิดยกให้พ่อแม่
แบบนี้สามีว่าไม่ได้ เพราะเป็นการลงทุนของคุณ และการยกเงินค่าเช่าก็ถือเป็นเงินเดือนของผู้ดูแล
คุณเองก็ได้ประโยชน์จากราคาที่ดินที่ขยับสูงขึ้น สามารถขายที่ดินทำกำไรได้ในอนาคต เป็นต้น

ทางออกมีเยอะ ขอให้ใจเย็น อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า
ต่อไปคุณต้องเป็นแม่ของลูก ต้องหนักแน่นเด็ดขาดให้มาก
ไม่งั้นถึงเลิกรากับคนนี้ไป คุณอาจมีปัญหานี้อีกกับผู้ชายคนอื่นๆ เพราะปัญหาที่แท้จริงยังไม่ได้รับการแก้ไข

อย่างไรก็ดี หากต้องการหย่าเพราะพบว่าสามีมีพฤติกรรมเข้าข่าย abusive
นั่นเป็นอีกเรื่องที่คุณต้องหาหลักฐานและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้ดี
เพื่อไม่ให้เพลี่ยงพล้ำกลายมาเป็นคนผิดเสียเอง

ขอให้โชคดีค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งค่ะที่แต่งงานกับคนต่างชาติต่างภาษา แต่โชคดีตรงที่แต่งงานกับคนเอเชียด้วยกัน วัฒนธรรมการดูแลพ่อแม่และครอบครัวก็เลยไม่ต่างกันมากนัก...คุณอาจจะพลาดตรงที่ไม่ได้บอกกล่าวทำความเข้าใจก่อนตอนที่จะแต่งงานน่ะค่ะ เพราะขนบประเพณีและแนวปฏิบัติของไทยเราที่มีต่อพ่อแม่นั้น เป็นอะไรที่ลูกๆ จะลืมหรือไม่สนใจดูแลไม่ได้ จะว่าแฟนเจ้าของกระทู้ผิดที่คิดในแบบของเขาก็ไม่ได้อีก เพราะบ้านเมืองเขาเป็นแบบนั้นน่ะค่ะ

ดิฉันว่าทางออกที่ดีที่สุดก็คือ เปิดอกคุยกับสามีอีกซักครั้งนะคะ ครั้งนี้เอาให้ชัดเจนแจ่มแจ้งกันไปเลยว่า ครอบครัวคุณเป็นอย่างไร ความต้องการและความรับผิดชอบของคุณประมาณไหน ถ้าเขาไม่อยากให้คุณใช้เงินของเขาเพื่อดูแลพ่อแม่ของคุณ คุณคงต้องบอกเขาว่าคุณจำเป็นต้องทำงานหาเงินและใช้เงินของคุณส่งไปให้พ่อกับแม่ เพราะพ่อกับแม่แก่แล้ว ไม่ได้ทำงาน รัฐบาลก็ไม่มีเบี้ยสวัสดิการอะไรให้ บอกเขาไปว่าถ้าคุณไม่ดูแลพ่อแม่ก็คงไม่มีใครมาดูแลพวกท่านแทนคุณน่ะค่ะ

ถามเขาไปว่ายังพอใจที่จะให้เงินพ่อแม่คุณอยู่หรือไม่ ถ้าพอใจและให้ได้ ให้ได้เท่าไหร่ อย่างไร เอาให้ชัดเจ หรือถ้าเขาบอกว่าไม่มีให้ ไม่อยากให้ คุณก็บอกเขาไปว่าคุณต้องหางานทำเพื่อหาเงินส่งให้พ่อแม่ ให้ทางเลือกเขาไป ดูว่าเขาจะเลือกทางไหน...ช้าๆ แต่ชัดเจน ลองดูนะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
ไม่เข้าใจว่าทำไมสามีหลายๆ คนไม่อนุญาตให้ภรรยาทำงาน

และไม่เข้าใจว่าผู้หญิงหลายคนเชื่อฟังสามี และทำตามแม้ในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ

ปล. เราแต่งงานกับชาวเยอรมันค่ะ พบเห็นผู้หญิงหลายคนที่สามีไม่อนุญาตให้ทำงาน หรือแม้แต่ให้เรียนหาความรู้เพิ่ม บอกตามตรงว่าทนไม่ได้ ผู้หญิงยุคนี้ น่าจะมีความคิดเป็นของตัวเอง

เราว่าคุณยังไม่ต้องโอนเงินให้พ่อแม่ ตอนนี้รีบเรียนภาษาเพิ่ม และหางานทำ เรื่องหย่ายังไม่ต้องคิดหรอกค่ะ เพราะถ้าหย่าตอนนี้ แล้วคุณจะอยู่อย่างไร เนื่องจากไม่มีรายได้อะไรเลย และภาษาก้อยังไม่คล่อง กลับไทยก้อต้องหางานใหม่ด้วย เราว่าสามีคุณโกรธคุณ เค้าก้อมีเหุผล เพราะคุณเอาเงินก้อนไปใช้โดยไม่บอกเค้าก่อน เป็นสามีภรรยากัน เรื่องรายรับรายจ่ายต้องช่วยกันดูแลค่ะ อย่างน้อยคุณก้อน่าจะบอกเค้าก่อโอนตังค์ให้พ่อแม่คุณ


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
คุณจขกท.เป็นลูกคนเดียวรึเปล่าคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
หลายคนให้ข้อคิดดีดีไว้แล้ว
ขออนุญาตเพิ่มเติมอีกข้อ เพราะอ่านแล้วเหมือนเข้าใจว่า
ความรักของคุณและเขาคลายลงไปมากแล้ว
ซึ่งอาจจะมีข้ออึดอัดคับข้องใจอื่น ๆ ที่ไม่ได้พูดถึง

เนื่องจากคุณอยากจะได้ข้อแนะนำเรื่องกรีนการ์ด
เพื่ออยู่ต่อในอเมริกาและทำงานได้
ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเขาทำร้ายคุณ
คุณสามารถนำเรื่องแจ้งตำรวจได้
และพอเรื่องไปถึงศาล คุณมีสิทธิ์ได้อยู่ต่อ

เรื่องที่จะเพิ่มเติมให้คุณก็คือ
สมมติคุณได้อยู่ต่อ ได้ทำงานตามความฝันของคุณแล้ว
คุณแน่ใจหรือว่างานที่คุณจะหาได้
จะมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเอง
และมีเงินเหลือที่จะส่งไปให้พ่อแม่
คุณควรทำการบ้านข้อนี้ให้ดีดีค่ะ

คุณเคยมีรายได้สูงในเมืองไทย
อายุบอกว่ามากแล้ว
ก็น่าจะอยู่ในตำแหน่งบริหาร จัดการ
ซึ่งแน่นอนต้องเป็นบุคคลที่มีสายตากว้างไกล
บริหารชีวิต และการเงิน ได้ดีระดับหนึ่ง

ถ้าคุณหมดรักสามีคุณแล้ว เพราะเหตุใดก็แล้วแต่
การจะหย่าขาดจากกัน ไม่ใช่ทำไม่ได้
แต่ควรมองการณ์ไกล อย่าซ้ำรอยเดิม
เหมือนครั้งได้วีซ่าปุ๊บ ก็บินปั๊บ
ครั้งก่อนเป็นความผิดพลาด
ครั้งต่อไป ควรเป็นการก้าวที่ไม่ควรพลาดอีก

ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
แต่การเริ่มต้นใหม่
ก็ควรเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
ลองพูดคุยกันให้เข้าใจ ถ้าไม่ให้เงิน ก็ขอไปทำงานได้ไหม
อาจลำบากหน่อย ไปรับไปส่ง หัดขับรถ หารถให้คุณขับ
ถ้าเขาเป็นคนมีเหตุผลก็น่าจะเข้าใจ
แต่คุณเองก็อย่าให้งานบ้านขาดตกบกพร่อง

ถ้ากลัวพูดแล้วเขาไม่เข้าใจ เขียนไว้ก่อนก็ได้ค่ะ
แล้วอ่านให้เขาฟัง หรือให้เขาอ่าน
เอาใจช่วยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
ไม่เข้าใจเหมือนคห. 16
เราเจอคนไทยที่นี่หลายคนที่เชื่อฟังสามีอย่างกับพ่อแม่ สามีสั่งไม่ให้ทำอะไรก็เชื่อ จะหางานทำก็ต้องขออนุญาตสามี อยากไปเรียนเพิ่มเติมก็ต้องขออนุญาตสามี บางคนจะไปเที่ยวกับเพื่อนก็ต้องขออนุญาตสามี เราไม่เข้าใจอะ

จขกท.มีการศึกษาที่ดี เคยมีหน้าที่การงานที่ดี ควรเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่านี้นะคะ ถ้าคุณยอมให้สามีกด หรือทำตามใจเขาอยู่แต่ฝ่ายเดียว คุณเองจะไม่มีความสุข ควรคุยกันตรง ๆ เลยว่าคุณอยากทำอะไร ถ้าเขาทำร้ายร่างกายก็แจ้งตำรวจเลยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
เราลาออกจากงานมาได้เงินก้อนใหญ่จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ่อแม่แนะนำให้เราเก็บเอาไว้เป็นทุนยามแก่หรือชีวิตสมรสล้มเหลว เราเลยเอาไปซื้อสลากออมสินทั้งหมดเลย จะได้มีทุนสำรองไว้ค่ะ เราเลยไม่ได้ใช้เงินก้อนนี้ค่ะ เรามีน้องสาวอีกคนเขาก็เป็นแม่บ้านเฉยๆๆอยู่เมืองไทยไม่ได้มีรายได้ส่งให้พ่อแม่เหมือนกับเราค่ะ

เราผิดพลาดที่ไปใช้เงินก้อนที่เขาเปิดบัญชีให้เราไว้เพื่อไว้กรณีฉุกเฉิน แทน และเราอาจจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารที่เข้าใจ ซึ่งต่อไปเราคงใช้วิธีการเขียนตามที่คุณ Febie แนะนำค่ะเป็นลายลักษณ์อักษรให้เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ที่ผ่านมาเราคิดเอาเองว่า เขาเข้าใจเรา

สามีเคยบอกกับพ่อแม่เราแล้ว ว่าจะเลี้ยงดูเราอย่างดี งานไม่ต้องทำ เพราะเราจะได้สบายไม่ปวดหัว ไม่ต้องเหนื่อย รถไม่ต้องขับ เราจะได้ปลอดภัย แต่พอเรามาอยู่จริงๆๆมันก็สบายกายแต่ไม่สบายใจค่ะ เพราะเราอยากขับรถและทำงานค่ะ เมื่อวานที่ผ่านมาได้แต่ skype กราบขอโทษพ่อแม่และน้องที่เป็นแม่บ้านว่า ตั้งแต่ตุลาคมนี้เราไม่มีเงินโอนให้ขอให้ทุกคนอดทน จนกว่าเราจะได้กรีนการด์ขออนุญาตสามีทำงานอีกที

สามีเราเป็นอเมริกันก็จริงแต่หัวโบราณมาก ชอบให้ภรรยาเชื่อฟังเขา แต่ด้วยความที่เรารักเขา และพ่อกับแม่ก็บอกว่า เขาเป็นคนดี ยังไงขอให้อดทน เราเลยต้องปรับตัวเอง ด้วยความที่เราเคยตัดสินใจอะไรเอง มีหลายครั้งที่เราทำอะไรโดยพละการไม่ได้บอกเขา เพราะเราคิดเองได้ ทำเองได้ เลยทำให้ถูกดุบ่อยๆๆ เขาบอกว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว คือ ทีมเดียวกัน อย่าทำหรือคิดอะไรคนเดียวให้มาปรึกษาเขา สำหรับเรื่องการทำงาน เราคงให้เหตุผลทำงานเพื่อนำเงินช่วยเหลือจุนเจือพ่อแม่ โดยเฉพาะพ่อจะมีเครื่องมือการแพทย์ที่แพงมาก ตอนเราอยู่เมืองไทยได้เงินเดือนมาก็ให้ตังค์พ่อไปซื้ออุปกรณ์แพงๆๆนั่นล่ะค่ะ

เราก็จะพยายามอดทน ปรับตัว อาจจะด้วยเพิ่งมา อะไรๆๆมันอาจจะไม่เหมือนตอนอยู่เมืองไทย จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเลยโดนสามีว่า แต่งงานเพื่ออยากได้เงิน แต่งงานเพื่ออยากทำงานที่นี้ แต่งงานเพราะอยากมาอยู่อเมริกา ไม่ได้รักเขาจริงๆ

เราอยู่เมืองมิดแลนด์ เท๊กซัสค่ะงานมีมากมายค่ะ เราอยากทำแค่พาร์ทไทม์ เพื่อยังสามารถมีเวลาดูแลเขาได้ และตอนนี้เราเรียนภาษาอยู่ช่วงเย็นค่ะ

ยังไงเราขอขอบคุณเพื่อนๆๆทุกท่านที่ให้คำแนะนำ แนวคิดต่างๆ กับเราน่ะค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
อยู่เท็กซัส ถ้าสามีไม่ให้ขับรถนี่ โรคจิตนะ ไม่ใข่เหราะเป็นห่วง control freak


ตอบกลับความเห็นที่ 22
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 23
เราก็เพิ่งมาอยู่ได้ไม่นานเหมือนคุณแต่เราได้กรีนการด์แล้ว เราโชคดีตรงที่พ่อแม่ยังไม่แก่มากและพ่อแม่ก็อยากให้เราได้งานทำก่อนแล้วค่อยส่งให้ทีหลัง สามีเราก็ไม่เข้าใจตรงนี้เหมือนคุณแต่ดีตรงที่แกสอนเราขับรถและพาไปสมัครสอบขับรถ และให้อิสระเราตรงสามารถทำงานได้ ขอให้คุณอดทนและรอจนกว่าคุณได้งานทำและค่อยส่งให้พ่อแม่ เรามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ต่างวัฒนธรรม เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสามีด้วย ขอให้คุณโชคดีค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 23
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 24
ขอบคุณมากค่ะทุกๆๆท่าน


ตอบกลับความเห็นที่ 24
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 25
อ่านแล้วหนักใจ ไม่สบายใจไปด้วยคน ก็น่าเห็นใจเขาอยู่นะเพราะไม่ได้ทำงาน
และก็รู้ๆอยู่ ค่าใช้จ่ายในอเมริกาไม่ใช่น้อย เดี๋ยวเขาก็มาขอโทษเองหละ

ขอให้อดทนนิดให้ได้กรีนการ์ดก่อน จะอยู่หรือจะไปค่อยว่ากัน
ถ้าถึงตอนนั้น ตัดสินใจว่าจะไปเรื่องเขาประจานลืมไปได้เลย
แต่เรื่องกรีนการ์ดคุณยื่นเรื่องเองก็ได้นิ กรณีโดนทำร้าย
หาเบื่อโทรบ้านพักฉุกเฉินไว้ ให้ทราบพิกัดว่าอยู่ตรงไหน
อย่างไร อยู่อเมริกาก็ดีตรงนี้แหละที่มีองค์กรต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ
ถ้าว่างๆก็ไปโบสถ์คริสตบ้าง เพราะจะได้ฝึกภาษา และอาจจะรวมไปถึง
หนทางที่จะได้งาน

เด็กอยู่หญิงคนหนึ่งแต่งงานกับสามีรุ่นพ่อ(อยู่ตอนบนหลุยส์เซียน่า)
ผู้ชายไม่ให้ภรรยาออกไปไหน ไม่ให้เรียนขับรถ ไม่ให้ไปเรียนภาษาอังกฤษ
ทั้งๆที่เราก็ขอร้อง ให้น้องเขาออกนอกบ้านบ้าง ผู้ชายก็เออ อ้าๆ ให้ไปทีละขั้นตอน

วันดีคืนดี เราก็จะได้ยินทางโทรศัพท์(โดนสามีตบอีกแล้ว) สองสามวันโทรไป
ก็จะบอกว่า"ดีกันแล้ว" อะไรหว้า ได้ยินจนเบื่อ

นี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ
สำหรับผู้หญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ อุตส่าห์บากหน้ามาอเมริกา นึกว่า
จะเป็นหนทางได้ทำงาน เพื่อมีเงินส่งเสียทางบ้าน แต่ก็เจออุปสรรค
ก็เหมือนซื้อหวยนั่นแหละ ดวงดีก็ดีไป ไม่เกี่ยวกับการศึกษา หน้าตาอย่างไร
ขึ้นอยู่กับดวง แต่อย่าให้มันมีอิทธิพลเหนือชีวิตเรา สู้ต่อไป อดทนอีกนิด ขอให้โชคดี


ตอบกลับความเห็นที่ 25
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 26
คุณเสียงซึงเราจะอดทนต่อไปค่ะ เพราะเดี๋ยววันหยุดนี้คุณแม่สามีจะกลับจากไปเที่ยวแล้ว เราคงปรึกษาท่านอีกที เพราะคุณแม่สามีค่อนข้างสนับสนุนให้เราไปทำงานข้างนอกค่ะ ตอนนี้เรากำลังเขียนร่างๆๆ ไว้สำหรับคุยกับคุณแม่สามีค่ะ

ขอบคุณมากน่ะค่ะ สำหรับกำลังใจ


ตอบกลับความเห็นที่ 26
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 27
ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า อย่าไปปรึกษากับแม่สามีหรือญาติคนอื่นของเขา เพราะเป็นเรื่องของคุณกับสามี
เว้นแต่ว่าคุณอยากให้เขาทะเลาะกัน หรือคุณอยากถูกทำร้าย จะได้เก็บหลักฐาน ไว้หย่า
คุณเองก็ผิด และยอมรับผิดมาแล้ว ที่เงินเขาให้เก็บไว้เผื่อไว้ใช้ฉุกเฉินสำหรับพ่อแม่ที่เมืองไทย
แต่คุณก็ส่งไปให้เอง ทั้งที่ไม่็ฉุกเฉิน และพ่อแม่ก็ไม่ได้ขอมา แถมไม่ได้ปรีกษากับเขาก่อนนะ


ตอบกลับความเห็นที่ 27
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 28
คุณ จขกท. เล่าใน คห. 21 ตรงท้ายของย่อหน้าที่ 4 ว่าคุณพ่อเป็น(นาย)แพทย์ แล้วมีอุปกรณ์แพงๆ
(เพื่อช่วยในการประกอบอาชีพ)

ดิฉันรู้จักแพทย์ชาย แพทย์หญิง หรือทันตแพทย์หญิง ในประเทศไทยหลายท่าน แต่ละท่านมีฐานะดีทั้งนั้น
ซึ่งนอกจากจะทำงานในโรงพยาบาลแล้ว หลายๆ ท่านยังมีคลินิคเป็นของตนเอง
หรือวิ่งรอกทำงานให้คลินิคอื่นๆ เป็นแพทย์รับเชิญ หรือบางท่านมีโรงพยาบาลเป็นของตนเองโดยเป็นหุ้นส่วน
หรือบางท่านทำงานพาร์ทไทม์นอกเวลาเป็นแพทย์ประจำบริษัทต่างๆ หรือ โรงงานต่างๆ มีรายได้เสริมมากมาย

จึงสงสัยว่าในเมื่อคุณพ่อของคุณ จขกท. เป็นถึงนายแพทย์ และมีอุปกรณ์แพงๆ ใช้ในการประกอบอาชีพ ทำไมคุณ
จขกท. จึงยังต้องจุนเจือทางบ้านอยู่มากมายทุกๆ เดือนจนทำให้มีปัญหาครอบครัวกับสามีคะ

เราสงสัยจริงๆ ค่ะ กรุณามาไขข้อข้องใจให้คนอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณคุณ จขกท. ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 28
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 29
เอ ที่ความคิดเห็นที่ 28 สงสัย ดิฉันอ่านแล้วเข้าใจว่าเป็นเครื่องมือสำหรับรักษานะคะ
รอจขกท.มาไขข้อข้องใจดีกว่า

เราง่าควรจะตกลงกับคุณสามี เรื่องทำงานดีกว่าค่ะ
ไปอยู่กับสามีที่ต่างแดน ไม่ว่าสามีจะใจดีหรือขี้เหนียวแค่ไหน
การพึ่งพาตัวเองได้จะเป็นผลดีกับตัวเองที่สุดค่ะ
วันข้างหน้าไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น คุณก็ควรที่จะช่วยเหลือตัวเองได้
พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ ว่าคุณเองเคยมีหน้าที่การงานที่เมืองไทย
เคยมีรายได้เป็นของตัวเอง จุนเจือครอบครัว ธรรมเนียมไทยต้องเลี้ยงดูพ่อแม่
เขาให้คุณอยู่บ้านเฉยๆไม่ทำงาน ไม่มีรายได้มันทำให้คุณรู้สึกอึดอัด
คุณไม่ได้อยากจะมาขุดทอง แต่คนมีรายได้เป็นของตัวเองให้แบมือขอเงินสามีอย่างเดียว
มันไม่สบายใจ

อันนี้เป็นความรู้สึกตัวเราเองด้วยค่ะ ที่ยังถ่วงเวลาไม่ไปอยู่กับแฟนที่ต่างประเทศ
เพราะยังทำใจเรื่องไม่มีรายได้ไม่ได้ แค่ไปอยู่ไม่กี่เดือนแล้วอ่านภาษาไม่ออก ไปไหนเองไม่ได้
แม้แต่ซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตยังยืนงง self-esteem หายไปเยอะ
ถ้าไปประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ จะหางานไม่ได้จนกว่าจะพูดภาษาเขาได้
แฟนก็คุยตกลงกันว่าจะช่วยเหลือดิฉันบ้าง แต่รายได้เขาเองไม่เยอะพอจะให้เท่าที่เราเคยหาได้หรอกค่ะ
ยังดีตรงที่คุณพ่อมีบำนาญ อยู่ได้สบาย ไม่ต้องส่งเงินให้ทางบ้าน
แต่ธรรมเนียมประเทศแฟนจะมีอยู่ว่า ถ้ามีงานทำมีรายได้เราก็ต้องช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านบ้าง
ซึ่งตอนนี้ก็เลยสบายใจกว่าที่หาเงินเอง และแชร์ค่าใช้จ่ายกันค่ะ

ธรรมเนียมอเมริกันจะไม่มีเรื่องการเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ก็เห็นอเมริกันคนหนึ่งที่รู้จักนะคะ
เขาส่งเงินให้แม่เขาทุกเดือนๆเลย น่าประหลาดแต่จริงค่ะ

ป.ล. เคยมีคนมาทักว่าแน่ใจนะว่าจะไปเป็นคนว่างงานที่ประเทศอื่นจริงๆ รับได้หรือเปล่าถ้า self-respect ต่ำลง
แทงใจดำเลยทีเดียว แต่เราก็ว่ามันไม่ใช่รื่องรายได้อย่างเดียวหรอกค่ะ บางอย่างผลตอบแทนก็ไม่ได้วัดเป็นตัวเงิน
บางคนจุดมุ่งหมายคือการมีครอบครัว ได้เลี้ยงดูลูก
แต่ของเรายังไม่ใช่ตอนนี้ แม้อายุจะถึงเวลาแล้ว แหะๆ ^^'


ตอบกลับความเห็นที่ 29
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 30
คุณ Been There ,done that
คุณพ่อเราเป็นข้าราชการบำนาญทหารแก่ๆๆธรรมดาค่ะ คุณพ่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง ตอนนี้ไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเองค่ะ จำเป็นต้องอุปกรณ์การแพทย์คือ เครื่องช่วยหายใจ อ๊อกซิเจนต่างๆ ต่างๆๆ และช่วงหลังเนื้อปอดที่ดีๆๆคงมีน้อยลง คุณพ่อเข้าออกโรงพยาบาลไปๆมาๆ เดือนละหลายครั้งๆ ค่ะ

ค่ารักษาพยาบาลไม่สามารถเบิกได้ทั้งหมดค่ะ ต้องออกกันเองบางส่วน และยิ่งยาหรืออุปกรณ์บางอย่าง ไม่สามารถเบิกได้ ต้องใช้เงินส่วนตัวออกเองทั้งหมดค่ะ เราในฐานะพี่คนโตและเงินเดือนมากที่สุดในครอบครัว ดังนั้นเราจึงให้เงินพ่อมากกว่าคุณแม่ด้วยซ้ำแถมถ้ากรณีที่ต้องจ่ายพวกเครื่องมือแพงๆๆ เราเป็นคนช่วยตลอดค่ะ

สำหรับคุณเมเปิ้ล เราอยากให้คุณวางแผนให้ดีก่อนมาอยู่ค่ะ เราคิดเพียงแต่เรื่องสวยงามแต่งงานเสร็จมาอยู่กับสามี ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่านั่น(ความรักทำให้ตาบอด) พอเลยช่วงหวานเป็นช่วงแห่งความเป็นจริง

เราทิ้งหน้าที่การงานที่ดีมีตำแหน่งหน้าที่ดีๆมีเงินเดือนหกหมื่นกว่าบาท มาอยู่บ้านเฉยๆๆจริงๆๆ ไม่มีรายได้อะไรเลย และมาอยู่ในประเทศใหญ่โตแบบนี้ เราอยากเรียนรู้ พึ่งพาตนเองให้ได้ เราไม่เคยคิดจะมาขุดทองอะไรเลย ไม่เคยคิดหลอกหลวงอะไรสามี มาด้วยความรัก (พ่อแม่ก็เป็นห่วงแต่เห็นลูกมีความสุขเขาก็เลยให้มา)

ตอนนี้ความมั่นใจอะไรในตัวเอง แทบจะไม่มีเหลือเพราะไม่สามารถทำอะไรเองได้ ตอนนี้สภาพเหมือนเป็นเด็กๆๆเลย ไปเรียนหนังสือ ก็มีคนขับรถไปรับไปส่ง เราไม่เคยคิดเลิกรากับสามี จนกระทั่ง เกิดเรื่องนี้ค่ะ เรายอมเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับคนที่เรารัก เพียงขอให้เราได้หาเงินไปจุนเจือครอบครัวที่เมืองไทยบ้างเท่านั้นค่ะ เราไม่อยากสุขสบายแต่พ่อแม่เราลำบากน่ะค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 30
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 31
ขอบคุณคุณแมวสีสวาด จขกท. มากๆ ค่ะ สำหรับ คห. ที่ 30 ต้องขออภัยที่อ่านแล้วคิดว่าเครื่องมือการแพทย์ในที่นี้
คือเครื่องมือในการประกอบอาชีพ

อ่าน คห. 30 แล้วทำให้เข้าใจคุณ จขกท. มากขึ้นค่ะ และเชื่อว่าคนอ่านคนอื่นๆ จะเข้าใจในความจำเป็นของคุณและ
ของครอบครัวคุณมากขึ้นด้วย

ขอให้คุณหาทางออกให้กับชีวิตได้นะคะ และอย่าเพิ่งรีบมีลูกค่ะ

คุณแมวสีสวาดควรจะคุยกับสามีแบบที่เล่าให้คนอื่นๆ ฟังใน คห. 30 ค่ะ คนอ่านในที่นี้ทุกคนคือคนอื่นนะคะ
ถ้าคุณสามารถเล่าให้คนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักคุณเลยให้เข้าใจคุณได้ คุณก็ควรจะบอกให้สามีเข้าใจถึงความจำเป็นด้วยค่ะ

หรือถ้าคุณแม่ของสามีรักและเอ็นดูคุณ คุณควรจะเล่าให้เธอฟังค่ะ คุณแม่สามีอาจจะเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่า
อย่างน้อยก็ผู้หญิงด้วยกัน และอาจจะเป็นคนที่รับฟังผู้อื่นได้มากกว่าสามีของคุณ ถึงเธออาจจะไม่สามารถเข้ามาก้าวก่าย
อะไรในครอบครัวของคุณได้ตามสไตล์ครอบครัวฝรั่ง แต่อย่างน้อยๆ คุณอาจจะมีคนรับฟังบ้าง หรือเป็นที่พึ่งทางใจบ้าง
ในต่างแดนนะคะ

คุณ จขกท. ต้องเข้มแข็ง และเลิกคิดถึงเรื่องอื่นๆ ที่ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขหรือไม่สามารถย้อนเวลากลับไป
เปลี่ยนแปลงได้แล้วนะคะ แต่ต้องคิดถึงเรื่องข้างหน้า เรื่องแก้ปัญหา ให้พยายามนึกถึงคนอื่นๆ ในโลกนี้ที่เขาลำบากกว่า
ตัวคุณเอาไว้ค่ะ

ส่วนการปรับทุกข์กับคนไทยด้วยกัน หรือคบคนไทยด้วยกัน ให้ระวังเอาไว้บ้าง อย่าไว้ใจ 100%
บางคนต่อหน้าอาจจะดีกับคุณ แต่ลับหลังอาจจะเอาคุณไปนินทาว่าร้ายได้
มีอะไรให้มาตั้งกระทู้ปรึกษาคนในนี้ มาระบายที่นี่ค่ะ มาร้องให้ที่นี่ หรือขอคำปรึกษาจากคุณล็อกอิน
Lawanwadee ค่ะ ดิฉันเชื่อว่าเธอคงมีคำแนะนำดีๆ ให้คุณในเรื่องของกฏหมาย หรือเรื่องกรีนการ์ดค่ะ
(ถ้าดิฉันเขียนอะไรผิดไปก็ขออภัยคุณ Lawanwadee ด้วยที่เอ่ยชื่อล็อกอินค่ะ เราแค่อยากให้คุณ จขกท.
ได้ผ่านตาชื่อล็อกอินของคุณเอาไว้ค่ะ เผื่อว่าคุณแมวสีสวาดต้องการความช่วยเหลือในเรื่องของกฏหมายจากผู้รู้จริง)


ตอบกลับความเห็นที่ 31
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 32
หรือคนไทยด้วยกันบางคนที่คุณแมวสีสวาดอาจจะพบในต่างแดน แล้วคบหากันเป็นเพื่อนสนิทไปมาหาสู่กัน
มีอะไรก็เล่าให้เขาฟังหมด แล้วเขาดูเหมือนจะดีกับคุณ สนิทกับคุณ แต่ลับหลังเขาอาจจะเอาเรื่องของคุณไปเล่า
ไปนินทาให้คนอื่นฟัง แบบนี้ก็มีนะคะ ต้องระวังให้ดีค่ะ _เราเตือนคุณแล้ว และ อย่าให้ความเหงา ความโดดเดี่ยว
ในต่างแดน และปัญหาที่คุณมีอยู่ ทำให้ตาบอดไปอีกนะคะ สติต้องมีเยอะๆ ค่ะ

การเป็นคนนอกแล้วมองปัญหาของคนอื่นหน่ะ ง่ายค่ะ เห็นวิธีเสมอ แบบที่คนอื่นๆ มาอ่านเรื่องของคุณแล้วพยายาม
แสดงความคิดเห็นช่วยคุณ ซึ่งแต่ละคนก็พยายามช่วยในวิธีของตนเอง

แต่การเป็นคนที่ประสบกับปัญหาจริงๆ ด้วยตนเอง ต่อให้ฉลาดแค่ไหน มีสติปัญญาแค่ไหน บางครั้งอาจจะเหมือนคน
ตาบอด หาทางออกไม่ได้ อาจจะทำอะไรเกรียนๆ หรือ ทำอะไรที่โง่ๆ ติ่งหู ติ่งหู ลงไปได้ค่ะ

อดทนนะคะ สติเยอะๆ ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 32
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 33
คุณ Been There ,done that ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำเดี๋ยวเราจะคอยคุณแม่สามีค่ะกลับจากไปเที่ยว เพราะคุณแม่สามีเขาจะจุกจิกจู้จี้กับเราอย่างไร แต่เราเห็นเขาดูแลคุณแม่ที่ไม่สบายของเขาอย่างดี คิดว่า คุณแม่น่าจะเข้าใจง่ายกว่าสามีค่ะคงขอคำแนะนำจากเขาค่ะ

สำหรับเพื่อนคนไทยเราไม่มีหรอกค่ะ ที่เมืองไม่ค่อยมีคนไทยและสามีก็ไม่ค่อยให้เราไปไหนเลยไม่ค่อยรู้จักใครค่ะ รู้จักกันแต่ในเวปอย่างเดียวค่ะ

สำหรับคุณ Lawanwadee เราได้ยินบ่อยมากเลยค่ะ เดี๋ยวจะลองพยายามติดต่อเธอดูค่ะ

ขอบคุณมากน่ะค่ะ เราจะอดทนให้มากค่ะๆๆ


ตอบกลับความเห็นที่ 33
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 34
ขอให้จขกท อดทนไปก่อนนะ อย่าเพิ่งรีบคิดจะหย่า ตอนนี้สามีอารมณ์เสียด่าว่าเราก็ต้องเป็นเรื่องธรรมดา รอให้เค้าเย็นลงแล้วค่อยๆอธิบายให้เค้าฟัง จากนั้นลืมๆไปแล้วก็ค่อยขอเค้าทำงาน อย่าเพิ่งพูดเรื่องงานตอนนี้

เราก็เป็นคนนึงที่ส่งเงินกลับบ้านตลอด พอเรารู้ว่าเราจะแต่งงาน เราใช้วิธีซื้อบ้านไว้ก่อนเลย 1หลัง แล้วเราบอกสามีว่าเราต้องทำงาน เพราะต้องผ่อนบ้าน แต่หลังจากนั้น1ปี เราก็ไปประมูลบ้านมาอีก2หลัง
เราก็อธิบายเค้าว่า ถ้าคุณรักฉันคุณต้องให้ฉันทำงานเป็น ไม่ใช่เก็บฉันเป็นแม่บ้านมีชีวิตสุขสบาย แต่ทำให้คุณเป็นห่วง ต้องคอยกังวล เราไม่รู้อนาคตอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง คนเราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า

เค้าก็ให้เราทำงาน แต่เงินที่เราหาได้เค้าไม่เคยถามว่าได้มาเท่าไร ส่งไปบ้านเท่าไร แต่ค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดสามีให้เราเป็นคนถือเงิน และเราก็ไม่เอาเงินในบ้านที่สามีให้ ไปจ่ายในส่วนของเมืองไทย

เราเคยไม่เข้าใจกันเรื่องส่งเงินให้พ่อแม่ เพราะที่อินเดียลูกสาวแต่งงานไปแล้ว ก็เป็นของครอบครัวสามี แต่เราบอกให้เคลียร์กันแต่แรกเลยว่าห้ามเราเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะพ่อแม่เรามีเราคนเดียว ถ้าเราทิ้งเค้าถือว่าเราเนรคุณ

เวลาที่เรามีปัญหาเราไม่อยากให้พ่อแม่เรารู้ คนที่เราจะปรึกษาก็คือแม่สามี เพราะเวลาสามีพูดอะไรให้เราเสียใจ เดี๋ยวดีกันเราก็รักเค้าเหมือนเดิม แต่ไปเล่าให้คนอื่นฟังเค้าก็จะมองสามีเราไม่ดีทั้งที จขกท ดูแลเอาใจใส่แม่สามีให้ดี ให้เค้าเห็นว่าวัฒนธรรมเราต้องดูแลพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นแม่เค้าแม่เรา และแม่สามีก็อาจเป็นหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้สามีเข้าใจเรามากขึ้น

และถ้าอยากทำงานก็ให้ จขกท พยายามช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด เราอยู่ที่อินเดียเราพูดแต่ภาษาอังกฤษ พูดฮินดีไม่ได้
แต่เราก็ทำงานของเราเอง แทบจะไม่เคยขอให้สามีช่วย เรามีคนขับรถ แต่เวลาเค้าไม่มาเราก็ขับเอง

อยากให้ผู้หญิงไทยไม่ต้องฟังคำสั่งจากสามี ที่เค้าบอกว่ารักเรา เค้าอาจจะรักเราจริงอย่างที่พูด แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนโชคร้าย โดนเค้าบอกให้ออกไปจากชีวิตเค้าจะทำยังไง รักตัวเองให้มากที่สุด ก่อนจะรักคนอื่น ท่องไว้ตอนนี้ จขกท ต้องอดทน เราไม่ได้อยู่บ้านเมืองเรา และทางเลือกก็มีไม่เยอะ รอให้จขกทได้งานก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องหย่าหรืออยู่ เพราะจริงๆเราก็คิดว่าความรักก็คงมีอยู่ เพียงแต่ความโกรธและอารมณ์ ทำให้ต่างฝ่ายเริ่มอยู่ด้วยความไม่ไว้ใจ

สู้นะคะ พิสูจน์ให้เค้าเห็นว่าเราไม่ได้มาโกงเงินเค้า แต่เราไม่สามารถเนรคุณทิ้งพ่อแม่เราได้


ตอบกลับความเห็นที่ 34
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 35
ขอบคุณมากค่ะ คุณ siamleela

เราจะอดทนให้มากที่สุดค่ะ และกำลังวางแผนจะคุยกับคุณแม่สามีค่ะ เพราะเวลาเราอยากอะไรหรืออยากไปไหนเราจะใช้วิธีคุยกับคุณแม่สามีก่อน แต่ตอนนี้เกิดเรื่องเงินทองๆๆ มันก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่

ตอนนี้เรากำลังเขียนเป็นจดหมายเพื่อปรึกษาคุณแม่สามีค่ะ ภาษาเราไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ้นต์ค่ะ เขียนจะดีสำหรับเราค่ะ เอาให้เคลียร์ ตั้งแต่เรื่องเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ ขอทำงาน ขอขับรถค่ะคุยทีเดียวเลย

สำหรับสามีเราตอนนี้เขาก็ดูใจเย็นลง ซื้อชุดฮาโลวีนอะไรให้เราใส่ เราเพียงรักพ่อแม่เรามากๆๆอยากดูแลท่านให้ดีที่สุดเท่าที่ไรทำได้ค่ะ เราคิดว่าคุณแม่สามีเขาน่าจะเข้าใจค่ะ เพราะคุณแม่สามีเขาก็ดูแลแม่ที่ป่วยได้ดีมากๆๆค่ะ

และเรายังคิดหากเราสามารถหาเงินได้มากเพียงพอ เราจะก็ไปสมทบบัญชีระหว่างเรากับสามีสำหรับอนาคตด้วยค่ะ

ขอบคุณมากน่ะค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 35
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 36
สามีประชดว่าเราควรไปทำองค์การสิทธิสตรีอะไรประมาณนั้น เพราะชอบพูดถึงปัญหาของภรรยาที่ต้องเชื่อฟังสามี บาลบาล เค้าว่าuแบกอะไรไว้ทั้งโลกไม่ได้หรอก แต่เราว่าช่วยอะไรไม่ได้อย่างน้อยเป็นกำลังใจให้ก็ยังดี บางทีคนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมีปัญหาก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร พูดกับที่บ้านก็ไม่ได้เดี๋ยวเค้ากังวลใจ คุยกับสามีก็ไม่ได้ คุยกับคนใกล้ตัวที่นั้นก็ไม่ได้ ก็อาจมีเพื่อนในนี้ที่เข้าใจปัญหา และได้พูดระบายออกมาบ้าง ความเครียดก็คลายลง

เป็นกำลังใจให้คะ หลังไมค์มาได้ถ้ารู้สึกท้อแท้ แต่ถ้าเราเข้าใจเค้า เค้าเข้าใจเรา ชีวิตคู่ก็จะค่อยๆดีขึ้น หลายครั้งที่เราเก็บกระเป๋าจะกลับไทย แต่พออารมณ์เย็น ก็ยังอยู่กับเค้าเหมือนเดิม ทั้งที่เราเลือกได้ว่าจะอยู่หรือไป
สุดท้ายก็ต้องเลือกที่จะอยู่ เพราะความดีของเค้า เพียงแต่เวลาเค้าอารมณ์ร้อนอาจพูดอะไรไม่ทันคิด


ตอบกลับความเห็นที่ 36
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 37
คุณ Siamleela
เราก็เคยคิดเหมือนกับคุณค่ะ เพราะเคยคิดจะกลับเมืองไทยหลายทีแล้ว พอมานั่งคิดทบทวน อาจจะด้วยเรายังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต แค่แต่งงานก็ต้องปรับอะไรมากมาย เนี้ยย้ายประเทศมาอีกต่างหาก มันมีอะไรที่แตกต่างมากมายวัฒนธรรม สภาพแวดล้อม คนรอบข้าง ภาษา ฯลฯ
บางทีเราก็จะอ่อนไหวง่าย มีอะไรนิดหน่อย ก็บ่อน้ำตาแตกตลอด
แต่เราพยายามอดทนและสู้ๆๆต่อไปว่า เราไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน เรามีความรู้ ความสามารถที่หาเงินเลี้ยงพ่อแม่และหาเงินสำหรับอนาคตเราสองคนได้

ขอบคุณมากค่ะ สำหรับกำลังใจ



ตอบกลับความเห็นที่ 37
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 38
เราคิดว่าปัญหาหนึ่งสำหรับผู้หญิงที่เคยทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเอง แล้วต้องมาแบมือขอเงินสามี บางทีก็เครียดนะ เข้าใจความรู้สึกของ จขกท เลย เวลาที่เค้าพูดโดยไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆที่เค้าให้ใช้แล้วมาทวงถาม เค้าอาจจะคิดว่าเค้าได้เลี้ยงดูเราดีแล้ว แต่บางทีเค้าไม่เคยรู้ว่าจริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่เราเท่านั้น เรายังมีคนข้างหลังที่เราจะทิ้งเค้าไปไม่ได้ พ่อแม่เราไม่เคยเรียกร้อง แต่เราอยากดูแลเค้าด้วยความเต็มใจ
ดีที่เราแสดงจุดยืนนี้ตั้งแต่ต้น ให้เลี้ยงดูเราดียังไงเราก็ไม่หยุดทำงาน พ่อแม่ส่งเสียเราเรียนจบจบมีงานทำ รายได้ดี แล้วให้เราหยุดงานมาเป็นแม่บ้านปรนนิบัติสามี โดยทิ้งพ่อแม่ไว้ข้างหลัง เราทำไม่ได้

ถ้าไม่มีทางเลือกเลย เพราะต้องสร้างครอบครัวใหม่ ไม่มีกำลังส่งเสียพ่อแม่ก็เป็นอีกประเด็น แต่ถ้าพอมีทางก็ควรทำ เรียบเรียงคำพูดกับเขาให้ดีๆคะ เคยเหมือนกันจะพูดเพื่อสื่อความหมายหนึ่ง แต่เค้าตีความหมายไปอีกแบบ เราก็ต้ององพักเรื่องนั้นไปก่อน แล้วค่อยๆพูดใหม่เมื่อโอกาสเหมาะสม

ค่อยๆคุยกันนะคะ วัฒนธรรมเดียวกัน ภาษาเดียวกันยังคุยกันไม่เข้าใจ เพราะเลี้ยงดูมากับครอบครัวต่างกัน แล้วนี้ต่างชาติต่างภาษาก็ต้องใช้เวลากันพักใหญ่ เราเองอยู่กันมา3ปีขึ้นแล้ว ความคิดความอ่านยังไม่ค่อยลงกันเป็นบางเวลาเลยคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 38
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 39
ขอบคุณมากค่ะคุณ siamleela


ตอบกลับความเห็นที่ 39