ฝากประชาสัมพันธ์หน่อยนะค่ะเป็นโครงการที่ดีมากๆๆเลยค่ะ ช่วยกันเข้าไปกดไลท์หรือประชาสัมพันธ์ เพื่อเด็ก

ฝากประชาสัมพันธ์หน่อยนะค่ะเป็นโครงการที่ดีมากๆๆเลยค่ะ ช่วยกันเข้าไปกดไลท์หรือประชาสัมพันธ์ เพื่อเด็กๆๆไทยของเรา ในขณะที่เราใส่รองเท้าคู่ละหลายบาทมีเด็กและคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีรองเท้าใส่และรอการช่วยเหลือ ฝากลิงค์ไว้ให้นะค่ะใครเล่นเฟคบุคช่วยเข้าไปกดไลท์ให้ด้วยนะค่ะ

http://www.facebook.com/TheArtOfWalkingBarefoot

http://www.kickstarter.com/projects/2141382175/the-art-of-walking-barefoot

ความคิดเห็นที่ 1


เผอิญว่า ในกระทู้ข้างล่างๆ ดิฉันได้เขียนคำตอบให้กับน้องทอมคนหนึ่ง และได้เล่าว่า เคยขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด และเห็นเด็กที่ไม่มีรองเท้าใส่ เดินไปโรงเรียนอย่างน่าเวทนา

มาเห็นกระทู้นี้จึงได้เข้ามาแบ่งปันความคิดเห็น หวังว่าจะเป็นประโยชน์
ในทางส่งเสริม และขอขอบคุณ ที่คุณ I'm traveller
ได้นำโครงการนี้เชื่อมลิงก์มาจากโซเชี่ยลมีเดีย




เจาะลึก ขั้นตอนการจัดสร้างโครงการ เพื่อพัฒนาพื้นที่กันดาร
หรือชุมชนที่เยาวชนด้อยโอกาสขาดทุนทรัพย์



ปกติแล้ว รัฐบาลจัดตั้งกระทรวงทบวงกรมกองแผนกต่างๆ เอาไว้ดูแลทะนุบำรุงประเทศ อย่างเป็นทางการของภาครัฐ

โดยมีข้าราชการในสังกัดหน่วยงานใหญ่น้อย ทำงานให้บรรลุเป้าหมายและนโยบายต่างๆ ที่วางไว้เป็นกิจจะลักษณะ



อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมเติบโต แผ่ขยายพื้นที่ มีจำนวนประชากรสูงขึ้น ย่อมต้องมีหน่วยงานอื่นๆ ของภาคเอกชนมาร่วมจัดการด้วย

หรือมีศูนย์องค์กรทั้งที่มาจากความร่วมมือของท้องที่เอง ของเขต อำเภอ จังหวัด ภูมิภาค รัฐ ประเทศ ไปถึงทวีป และนานาชาติทั่วโลก


ขั้นตอน หลักดกณฑ์พื้นฐานของการจัดโครงการ ในการพัฒนาพื้นที่
ตามหลักที่ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อมูลไว้ดังนี้

๑. การกำหนดพื้นที่ ๒. การพิจารณาองค์ประกอบของพื้นที่
๓. การรวบรวมข้อมูล ๔. การแลกเปลี่ยนความรู้
๕. การประสานเครือข่าย ขยายความร่วมมือภาคปฏิบัติ

ในการเข้าสู่พื้นที่อันเป็นเป้าหมาย จำต้องประกอบด้วยนักพัฒนา
ร่วมมือกับผู้กำกับการในท้องที่ ในหลากหลายอาชีพ ซึ่งเป็นตัวยืนพื้น
และให้ความอนุเคราะห์

อันได้แก่ กลุ่มข้าราชการระดับบริหาร พ่อค้าวาณิช ผู้มีอำนาจทางการเมืองท้องถิ่น ผู้มีหน้าที่ดูแลสังคม นักกฎหมาย ตลอดจนแหล่งข่าวทั่วไปและอาสาสมัคร



การพิจารณาองค์ประกอบพื้นที่ จะทำให้เห็นว่า พื้นที่นั้นๆ ขาดแคลนอะไรบ้าง และมีสภาพแวดล้อมอย่างไร มีสิ่งใดจะนำมาเกื้อกูลให้เกิดการประกอบอาชีพ



การรวบรวมข้อมูล จำเป็นต้องมีผู้ประสานงาน นักภาษาศาสตร์ ผู้รู้ภาษาท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งพระภิกษุ พระธุดงค์ ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ เข้าใจวัฒนธรรมและวิถีชีวิต

ข้อมูลอาจมาจากกลุ่มนักวิจัย นักวิชาการ ผู้มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ และหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ นายพราน นักเดินป่า ผู้มีประสบการณ์ในพื้นที่เหล่านั้นมาก่อน



การแลกเปลี่ยนความรู้ คือขั้นตอนของการจัดองค์ประชุม วางแผน จัดตั้งหน่วยงานแบ่งหน้าที่ และเป็นช่วงเปิดสำหรับการรับข้อมูลใหม่ๆที่จะมีประโยชน์ในการพัฒนา

การประสานเครือข่าย จำต้องอาศัยแนวทางประชาสัมพันธ์ การเดินเรื่องไปตามเส้นทางหรือหน่วยงานที่เหมาะสม และหรือส่งต่อไปยังหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพ




ทั้งนี้ ในยุคนี้ การใช้โซเชี่ยลเน็ทเวิร์ค เพื่อการสร้างเสริมการพัฒนา ได้กระจายกว้างขึ้น ทำให้งานเดินเร็ว ทำให้เกิดประโยชน์มากในการเร่งงานให้บรรลุและหาทุนมาเพิ่มด้วย


แน่นอนว่า ในการพัฒนาชนบทกันดาร ของประเทศไทย หลักของการพัฒนานั้น อยู่ที่หน่วยราชการ และเครือข่ายที่รับผิดชอบ ตามโครงการเนื่องในพระราชดำริ และโครงการรัฐ



เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ยอดนักพัฒนา ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดในด้านนี้ และด้านอื่นๆที่ทรงทุ่มเท เพื่อพัฒนาประเทศชาติอย่างจีรัง


โครงการใดๆก็ดี ที่เข้ามาสู่สายตาของสหประชาคมโลก ทั้งทางสื่อกระแสหลัก และจากหน้าเพจของโซเชี่ยลมีเดีย

รวมทั้งแหล่งกระจายข้อมูล ภาคประชาชน อย่างเว็บไซต์ต่างๆ
ที่นักคิดนักสร้างสรรค์ นักปฏิบัติการภาคประชาชน ต่างลงมือกระทำร่วมกันเป็นสายใยแห่งความรับผิดชอบต่อสังคม

ย่อมยังประโยชน์ให้เกิดแก่การพัฒนา ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน
การช่วยกระจายประชาสัมพันธ์ให้เกิดการช่วยเหลือมากขึ้น ย่อมทำให้ความก้าวหน้ามาสู่ระบบและพื้นที่พัฒนาจะเจริญขึ้น

ในกรณีนี้ การแพร่โครงการดีๆ เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่ทราบ ได้มาพิจารณา
ตามที่วัยวุฒิและคุณวุฒิของแต่ละคนมีอยู่

ทุกคนต่างมีสิทธิ ที่จะเลือกส่งเสริม หรือไม่ก็ตาม ไม่ได้มีการกำหนดบังคับ เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง คือการแผ่กระจายข้อมูล เพื่อนำไปสู่การประสานเครือข่ายให้นโยบายบรรลุเป้าหมาย



แต่ในการแพร่ออกมายังพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ซึ่งมีทั้งนักคิดนักวิจารณ์
นักต่อต้าน นักเห็นด้วย นักไม่เห็นด้วย หรือนักอะไรก็ตาม
ที่พร้อมจะตอบกระทู้ให้เป็นไปในทิศทางที่ตนต้องการ

อาจทำให้ประเด็น และจุดหมายของโครงการของการพัฒนานนั้นๆ
โดนตัดทาง หรือเรียกว่า ถูกเบี่ยงประเด็น ทำให้ทิศทางของการพัฒนาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ต้องเฉไฉไปอย่างน่าเสียดาย





ฉะนั้น ในที่นี้ ขอสนับสนุนให้มีการเจาะลึกทั้งในแง่ที่มองเห็นภาพรวมประโยชน์ และเจาะลึกให้เห็นลักษณะความเป็นไปของการพัฒนาชนบทในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเด็กที่ยากจน



.................................................................



เจาะลึก ภาพรวมของประโยชน์ในการพัฒนา

ตามที่ได้นำขั้นตอนการพัฒนามาชี้แจงไว้ข้างต้น ในสำนึกของวิญญูชน หรือผู้ที่มีจิตเมตตาทั่วไป

หากว่าไม่ได้มีอคติในทางลบ กับกลุ่มผู้ปฏิบัติงาน หรือไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการทำงานของโครงการนั้นๆ

ย่อมเห็นคุณค่า ของการเผยแพร่โครงการที่ดี และมีการรับรองอย่างชัดเจน ว่าด้วยหน่วยงานและทิศทางของรายได้ในการพัฒนา
เพราะไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานจากชาติใด ใครได้ประโยชน์ส่วนตนหรือไม่
ถึงอย่างไร ผลงานที่มีหน่วยงานใหญ่ทำงาน ย่อมอนุเคราะห์ให้ชุมชนนั้นๆพัฒนาขึ้น

อย่างน้อยก็มีการสร้างอาชีพจากทรัพยากรในท้องที่ ไม่ว่าทางเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ หรือทางด้านการศึกษา การพัฒนาจะเชื่อมโยงกันทั้งระบบอยู่แล้ว

คนทำงานไม่ว่าฝ่ายราชการ ฝ่ายเอกชน มูลนิธิ หรือหน่วยงานสงเคราะห์จากต่างชาติ หรือแม้กระทั่งอาสาสมัครจากสถาบันใดก็ดี จากกลุ่มชมรมย่อยใดๆก็ตาม

จากคนเดี่ยวๆคนใดก็ดี ไม่ว่าจะเผยชื่อ หรือไม่เผยก็ดี ทุกแรงทุกใจที่ร่วมกันทำงาน ย่อมสร้างการผนึกการสานต่อ ให้สังคมอยู่รอดได้ ให้เป้าหมายพัฒนาประสบสำเร็จทั้งสิ้น




เจาะลึก ลักษณะความเป็นไป ของการพัฒนาชนบทในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเด็กที่ยากจน หรือเด็กที่ด้อยโอกาสในการศึกษา



หากจะหาข้อมูลในส่วนนี้ ทำได้อย่างง่ายในเวลาเพียงสองวินาที ก็จะพบว่ามีหน่วยงานทั่วโลก ที่เห็นความสำคัญของเยาวชน และเข้าไปช่วยในทุกพื้นที่ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น



ในที่นี้ ขอยกมากล่าว ในสองประเด็นเท่านั้น นอกเหนือจากขั้นตอนของการพัฒนา ของโครงการต่างๆที่เป็นไปเพื่อให้ชาวโลกได้แสดงเมตตาจิตและสำนึกต่อสังคมร่วมกัน




ประเด็นแรก เด็กยากจนที่มีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหวัง หากว่าพวกเขาได้รับน้ำใจจากผู้อื่น แน่นอนว่า มิใช่แค่จะต่อชีวิตจากข้าวน้ำ หรืออาหารที่มีคนหยิบยื่่นให้

แต่ในด้านจิตใจ เด็กที่ขาดไร้ ไม่มีครอบครัวดูแล พ่อแม่ทำงานหนัก ปล่อยปละละเลย หากว่าไม่ได้รับน้ำใจหล่อเลี้ยง ผลกระทบคือความเก็บกดฝังแน่น ถึงขั้นเกลียดชังสังคม



พวกเขาอาจเติบโตมาเป็นไปได้ ทั้งขั้วธรรม และขั้วอธรรม
เด็กขั้วธรรม นำเข้าไปสู่สถาบันสงเคราะห์ หรือสถานพักพิงที่ให้การศึกษา จิตที่ใฝ่ดี ก็จะนำทางให้เติบโตไปหากินสุจริต เป็นคนดีของสังคมต่อไปตามอัตภาพ


แต่เด็กขั้วอธรรม จะเติบโตไปเป็นใคร โจร ผู้ร้าย นักก่ออาชญากรรม ทำได้ตั้งแต่ลักขโมย จี้ ปล้น ฆ่า ข่มขืน ค้ายา เป็นนักเลง อันธพาล เป็นผู้ทำลายและกัดกร่อนสังคม

เพราะฉะนั้น การกดไลค์ให้กับโครงการดีๆ หรือการสนับสนุนการแพร่กระจายข้อมูล ที่ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ย่อมต้านได้ที่จะมิให้เกิดมหาโจรในอนาคต หรือลดลงบ้างก็ดี




ประเด็นที่สอง โครงการพัฒนาที่กระทำขึ้น จากน้ำพักน้ำแรงของจิตอาสา มีอยู่มิใช่น้อย

หากว่าเรามองที่ประโยชน์ต่อส่วนรวม มองที่ความเพียร เวลาที่พวกเขาเหล่านั้นทุ่มเททำงาน ถึงว่าจะเป็นพวกที่ได้ประโยชน์ทางการเมืองร่วมอยู่ ปะปนอยู่ด้วยก็ตาม

แต่ก็มิได้หมายความว่า โครงการเหล่านั้น จะเป็นพิษภัยอย่างไร ก็หามิได้ แม้จะเป็นฉากหน้าของอาชญากรใหญ่ หรือคนที่อาศัยคนจนมาเป็นเหยื่อในการก้าวสู่เวทีชื่อเสียง

อันนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่หน่วยงานลับในการจัดเก็บผู้ร้าย จะเป็นฝ่ายใช้อำนาจหน้าที่ เข้าทำลายรังโจร หรือกระชากหน้ากากของคนเลวที่อาศัยองค์กรในการหลอกลวงสังคม



แต่ในระดับคนทั่วไป ที่พอจะช่วยเหลือได้ เราจะได้กุศลจากการมีส่วนร่วมในการทำประโยชน์ ไม่มีหน้าที่ใดๆ จะไปต่อต้านโครงการไหนๆ เพราะเราไม่มีหลักฐานที่จะไปจับผู้ร้ายเบื้องหลัง



ด้วยเหตุนี้ การมองเจาะประเด็นที่เป็นไปเพื่อเกิ้อกูลพัฒนาสังคม ตามหลักของจิตวิทยาชุมชนที่ดี เราควรให้ความเห็นในทางส่งเสริมหัวข้อกระทู้ ให้อยู่ในแนวทางที่โครงการได้ประโยชน์ก่อน

ส่วนเรื่องปลีกย่อย การสร้างภาพของเหล่าร้าย ผู้แสวงอำนาจทางการเมือง หรือแม้กระทั่ง ความสามารถในการโยงประเด็นกระทู้ให้เข้าสู่การวิจารณ์ของขบวนการทำลายสังคม มิจฉาชีพใดๆ
หาใช่ประเด็นที่จะเป็นการเจาะลึกอย่างแท้จริง ในการพัฒนาของโครงการเพื่อเยาวชนให้มีโอกาสมากกว่าที่ชะตาชีวิตกำหนดมา อย่างน่าสงสารและ แม้รองเท้าเก่าๆ เขาก็อาจจะเห็นเป็นทองคำ



อนึ่ง เจาะลึก การเข้าสู่กระบวนการพัฒนาในเว็บบอร์ดสาธารณะ

มอบไว้ให้เป็นทิปนะคะ ไหนๆก็มีการเจาะลึกกันในแง่มุมมองของสาธารณะ ใครคิดอย่างไร รู้อะไรมา ก็เขียนไปตามที่ตนคิดเห็น ไม่มีผิดหรือถูก แต่เป็นแง่มุมที่แลกกัน

คุณลองศึกษาจากขั้นตอนของการพัฒนาพื้นที่ดูให้ละเอียด และนำมาคิดให้เห็นเป็นกรอบที่ย่อลง หรือขยายก็แล้วแต่



การเข้ามาสู่พื้นที่ของเว็บสาธารณะ หากว่าอยู่กับแนวทางหรือกระแสการตั้งกระทู้อยู่จนนานพอ ที่จะเห็นองค์ประกอบ หรือปัจจัยรอบล้อมของพื้นที่ได้ชัดเจน

(เท่ากับขั้นตอนในการพัฒนาที่เจาะลงไปในพื้นที่ และมองดูว่ามีพืชผล หรือทรัพยากรอะไรจะนำมาพัฒนาได้)



ต่อจากนั้น ข้อสาม รวบรวมข้อมูล ของบุคคลที่มาอยู่ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ตอบอาชีพใด ผู้ชำนาญฝั่งไหน หรือแม้กระทั่งผู้ที่มาอยู่เป็นชั่วคราวก็ตาม

ข้อสี่ และห้า แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานเครือข่าย ในการพัฒนาข้อมูลของระบบหรือข้อมูลเนื้อหาที่จะสร้างการพัฒนาทางปัญญาหรือจิตใจ



ตรงนี้ จะเป็นจุดอันตราย เพราะการแลกข้อมูลของคนที่ต่างทิศทาง และไม่ได้มีนโยบายอย่างเดียวกัน อาจทำให้กระทู้วุ่นวาย และหรือเกิดความเสื่อมทางจิตขึ้นได้

ฉะนั้น ผู้เข้ามาในพื้นที่ หรือผู้ตั้งกระทู้ก็ดี ควรใช้บริการเสิร์ชหาดูทิศทางที่มาของคำตอบ จะเห็นได้ว่า คำตอบมีทั้งการผลิตจากปัญญาของผู้ตอบเอง บ้างก็คัดกรองมาผสมส่วน หลายคนก็จดจำจากคนตอบที่ตอบมาก่อน

และหรือยกมาจากที่อ้างอิง ก็ได้ ในกรณีที่ต้องการคำตอบอย่างไม่มีกาถกเถียงอีกต่อไป เช่นข้อกำหนดบัญญัติกฎหมาย และหรือข้อเท็จจริง คำยืนยันของหน่วยรับผิดชอบตรง

การประสานความรู้ ข้อมูล และการใช้งานสื่ออีเลคทรอนิค ในยุคนี้ ต้องมีเวลานิดหน่อย ที่จะค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆในประเด็นที่นำมาสนทนาให้กว้างๆและให้มีความชัดเจน

มิฉะนั้น เราท่านก็อาจจะหลงไปกับทิศทางกระแสที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ต้องการจัดเบี่ยงให้เป็นไปตามนั้น เช่นการวิจารณ์ใดๆก็ตาม หากคล้อยตามแล้ว ท่านไม่อาจหยังรู้ได้เลยว่า

กระแสเหล่านั้น มาจากเจตนาใด พื้นฐานของนักโพสต์ เป็นนักโพสต์เพื่อสร้างประโยชน์จริงหรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องติดตามทั้งในระดับเจาะลึก และเจาะล้วงจากที่อันเป็นคลังข้อมูล

ทุกสิ่งที่คุณเห็นในโลกไซเบอร์ จะนำมาจากที่ใดก็ตาม ฐานผลิตที่หนึ่งก็ตาม ฐานกระจายก็ตาม ล้วนมารวมกันเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน

แต่ไม่ได้หมายความว่า การแลกเปลี่ยนนั้นๆ จะสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาได้ทุกเรื่อง หรือจากทุกคนที่ให้คำตอบในแต่ละหัวข้อ



ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตาม ที่เกิดการรวมข้อมูล หากจะมองในแง่พัฒนา
ติเพื่อก่อ แปะเพื่อให้คิด ทุกอย่างย่อมเรียกว่ามีสิทธิเท่าเทียมกัน


คุณลองมองขยายในจุดเล็กๆดูสิคะ ว่า การหาพื้นที่เพื่อหลอกใช้คนจน
หรือเจาะหาเหยื่อที่รู้ไม่เท่าทัน นั้น ยุทธิวิธีของโครงการใหญ่เล็กก็ตรงกัน

ในจุดเล็กๆ ผู้สร้างภาพเพื่อประโยชน์ตนเอง จะเจาะลงไปที่การปรุงรส
นำข้อมูลที่ดึงประเด็นไปเข้าทางที่จะให้ตนเอง เป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์
ป้อนข้อมูล หรือทำทาน ในส่วนที่คนต้องการในสิ่งนั้น แต่มีเจตนาแฝงฝัง

ไม่ต่างจากการใช้เด็กยากจนหรือคนขาดตกบกพร่อง มาเป็นเกราะหาชื่อ

ต่อจากนั้น ก็จะเป็นการหุ้มประเด็น ด้วยความเชี่ยวชาญในการรู้จักพื้นที่
ดึงกลุ่มคนเข้ามาเป็นฐาน ในการมุ่งหน้ากัดกร่อนทำลายเป้าหมายในใจ

หรือเป็นการสร้างชื่อในอีกแง่หนึ่ง เรียกว่า หาเสียงจากสมาชิกเบอร์ใหม่ๆ
ที่ไม่เคยทราบอะไรมาก่อน หรือไม่มีข้อมูล ว่าใครเป็นพรรคพวกของใคร

การกระทำเช่นนี้ คือ การเมืองในเว็บบอร์ด และเป็นจุดที่นำความเสื่อม
มาสู่การใช้งานอินเตอร์เน็ท (จากที่เคยมีหลักฐานมาแล้วนับร้อยโพสต์)



มองให้ลึกๆลงไป ในเรื่องการช่วยเหลือเด็กที่ยากจน ต้องไปหาสถิติจากหน่วยงานสาขาพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานในการให้การศึกษานอกระบบเพิ่ม

การลงทุนเพื่อต่อยอดให้กับเด็กที่ไม่มีที่พึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นบุญ
เป็นการทำทานที่ให้คุณค่าทั้งทางการยกระดับจิตใจ และการสนับสนุนให้แบ่งปันด้วยมนุษยธรรมค่ะ

หากว่าเด็กยากจนเก็บกด หญิงหรือชายก็ดี โตขึ้นมา เพราะความคับแค้นใจ ที่สังคมไม่เคยช่วยเหลือเขา หรือช่วยได้บ้าง หลุดไปบ้าง

เขาอาจได้รับการศึกษามาระดับหนึ่ง แต่จะมีจิต คิดค้านต้านสังคมอยู่เสมอ มองให้ออกนะคะ ว่าความคิดต่อต้านสังคม ต่างจากการให้ความรู้เพื่อการพัฒนาอย่างไร


คนที่ต่อต้านสังคม จะแทรกซึมกัดกร่อน บ่อนทำลาย ในหลายๆกลยุทธ์ และมีแนวร่วม จากระดับกลุ่มย่อย ไปจนถึงกลุ่มกลางและกลุ่มใหญ่ อิทธิพลเถื่อนในท้องที่

หากรวมตัวกับผู้ที่แสวงประโยชน์ใดๆก็ตาม ทำทานเพื่อก่อบาปก่อกรรมในภายหลังหรือในเบื้องอื่นก็ตาม สิ่งเหล่านี้ ไม่อาจจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพียงชั่วแว่บหนึ่ง

เด็กที่โตมากับความจน กว่าจะได้อะไรก็ต้องขอ ต้องรอ ต้องผ่านความรู้สึกทรมาน ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถเป็นคนดี

เมื่อมีการอบรมจรรยา มีการบ่ม มีการเยียวยา จากทางสังคม หรือจากการให้ความรู้การปลอบประโลมก็ดี กลุ่มนี้จะเป็นคนที่ช่วยเหลือสังคม เป็นที่พึ่งให้คนที่เกิดมาแบบเขาได้



แต่เด็กที่ขัดเกลาไม่ได้ ความเคียดแค้นสังคมสะสม อาการจะปะทุในทันที ที่มีโอกาสแสดงออกอย่างก้าวร้าว และมักจะพุ่งเป้าหมาย ไปที่คนอื่นๆที่มีโอกาสที่เขาขาดไปในวัยเด็ก

คนที่เติบโตมาได้ดิบดีทางเศรษฐกิจจำนวนมากทีเดียว ที่ยังมีความปวดร้าวกับวัยที่ขาดไร้ มีปมในจิตใจ และจะแสดงออกด้วยการทำลายใครก็ตาม ที่เขาเห็นว่าเคยได้มามากในวัยเยาว์

เรื่องเหล่านี้ เป็นรายละเอียดที่ควรนำมาพิจารณาให้เห็นร่วมไปกับโครงการช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนจริงๆค่ะ

เพราะอะไร เพราะว่า ในสังคมมนุษย์ ทุกคนจะมีเด็กที่อาศัยอยู่ในจิตวิญญาณ ถ้าเขาเคยเป็นเด็กดี มีวินัย มีความอบอุ่น จะเป็นผู้ที่มองสังคมอย่างมีเมตตา ให้ความรักกับคนอื่นๆได้เสมอ

แต่ เด็กที่ขาดอะไรก็ตาม เขาจะไม่รู้ตัวหรอกว่า เวลาออกมาในสังคม
เขาแสดงออกอย่างไร ในการกระแทกเข้าไปที่ปมด้อยของตนเอง ให้เป็นทุกข์เพิ่มขึ้นๆๆ และไม่ยอมรับความจริงอันนั้น หลอกหลอนเรื่อยไป

เช่น การเกลียดชัง กลุ่มคนร่ำรวย เพ่งเล็งคนที่ทำประโยชน์ให้สังคม
คนมีชื่อเสียง นักอะไรก็ตามที่ออกมาทำงานให้คนเห็นบำเพ็ญคุณธรรม อาสาในด้านใดก็ตาม

คนที่พกความเกลียดชังมาทั้งชีวิตเหล่านี้ จะมีกิริยาที่ก้าวร้าว รุนแรง ไม่มีสติในการยั้งคิดในหลายๆเหตุการณ์ จะเอาความต้องการของตนเองเป็นการสร้างกระแสในทางทำลายการพัฒนาทุกทาง

อย่างที่จะเห็นได้ชัดเจน คือ การเกลียดอย่างปราศจากเหตุผล ต่อบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ เพราะในวัยเด็ก เขาไม่ได้รับการส่งเสริมให้เข้าร่วมในการทำตนเป็นประโยชน์ หรือเป็นผู้ที่ต้องพึ่งคนอื่น เป็นผู้ที่มีจิตใจคับแคบ

และอาจไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างที่ตนต้องการ จึงไม่สามารถทนเห็นใครได้รับประโยชน์ หรือทำประโยชน์ มักจะเป็นนักวิจารณ์ที่จุดชนวนให้เห็นว่าการทำประโยชน์ มีสิ่งแอบแฝงไม่ใช่เพื่อการพัฒนา

อันนี้พูดทั่วไปนะคะ และดิฉันสื่อสิ่งนี้ ให้เป็นแง่คิดสำหรับการอนุเคราะห์สำหรับคนที่เขาเกิดมาด้อยกว่าเรามากๆ ไม่ว่าจะในแง่ใดก็ตาม

เมื่อเรามีความพร้อมมากกว่า ก็จงเพียรสร้างศรัทธาในการทำดีต่อไป และสิ่งที่สำคัญ คือการคิดวิเคราะห์เจาะลึกให้อยู่ในประเด็นที่เป็นประโยชน์



ขอให้ผู้ที่ทำทานให้กับเด็กยากไร้ คนขาดทุนทรัพย์ ได้ผลของอานิสงส์ต่อไปในภายภาคหน้า

อย่างน้อย คุณก็เข้ามาอยู่ร่วมในขั้นตอนของการพัฒนา บำรุงโครงการที่เป็นประโยชน์สังคม ก็จะทำให้เกิดผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อม

ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด ก็ขอให้ได้รับความสำเร็จ และต่อยอดของการทำประโยชน์นั้น ให้มากขึ้น

ด้วยพลังปัญญาและพื้นฐานจิตใจที่บริสุทธิ์งดงาม อย่างแท้จริง

นักปฏิบัติตัวจริง จะมีปณิธานอันแน่วแน่ และจะมีทัศนคติในทางสร้างสรรค์ แตกต่างจากนักวิจารณ์การกระทำที่ดีของผู้อื่นไปในทางลบ ที่มักไม่เคยลงมือปฏิบัติในชีวิตจริง

และ เมื่อใดก็ตาม ที่คุณเป็นนักคิดนักพัฒนา คุณจะมองเห็นแต่ว่า
จะทำอย่างไรให้มีการรวมของคนที่คิดดีทำดีมากขึ้น แพร่กระจายในส่วนนี้ เพราะนี่คือขั้นตอนของการพัฒนาให้สำเร็จผลค่ะ

ใครจะทำอะไรไปในทางตรงกันข้าม เราไม่สามารถไปจัดกลบลบล้างได้ ถึงอย่างไรเขาก็ทำอยู่ดี

เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่เวลาของเราจะไปในทางสร้างประโยชน์
ก็คือการมุ่งหน้าแบ่งปันแง่คิดที่ให้กำลังใจแก่คนทำงาน และผู้ส่งเสริม

ทุกคนมีปัญญา ที่จะแยกแยะได้เอง ว่าโครงการไหนไม่ชอบมาพากล
แต่สิ่งที่พึงระลึกในการตอบกระทู้หรือการเข้าร่วมสนทนาในบอร์ดสาธารณะให้มากขึ้น

คือมองที่ประโยชน์ของส่วนรวม ให้ข้อมูลที่อยู่ในบรรทัดฐานของการแตกหน่อทางความคิด ไปในทางที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ดี ของคนอื่นๆ



อย่างน้อย ในโครงการช่วยให้เด็กยากจนมีรองเท้าใส่ ห้าสิบในร้อยคน
เขาจะได้ไม่โตไปเป็นขโมย หรือมีความกักขฬะใดๆในจิตใจ
จนยากที่จะเยียวยารักษาได้ ในโลกแห่งการช่วยเหลือ จะไม่มีข้อแม้



ขอบคุณที่ตั้งกระทู้นี้ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ขออนุญาตโพสต์คำตอบไว้ทั้งสองกระทู้ที่ติดกันนี้นะคะ

เพื่อประโยชน์ในการเกื้อกูลเจตนาที่ดีของผู้ตั้งกระทู้แนวพัฒนาสังคมค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 2