จะฮาหรือโฮดี

นิทานต่อไปนี้ เพิ่งเล่ากันในหมู่นักเรียนไทยที่เพิ่งกลับไทยมาเร็วๆนี้

เรื่องแรก ในการปฐมนิเทศก์อาจารย์ใหม่ของมหาวิทยาลัยชื่อดังมากแห่งหนึ่ง ท่านอธิการที่เป็นนายแพทย์ ขอให้อาจารย์ใหม่ไฟแรงในที่ประชุม บูม 7 ครั้งแล้วร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัย 7 รอบก่อนเริ่มให้โอวาท

หากท่านเป็นอาจารย์ใหม่ที่ทุกคนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกไม่ว่า MIT, STANDFORD, BERKELEY. etc ควร.....

เรื่องที่สอง อดีตประธานนักเรียนไทยจาก STANDFORD ได้รับคำสั่งจากที่ทำงานใช้ทุนให้ไปเข้ารับการอบรมที่เขาชะโงกเพื่อจะได้มีวินัย รู้จักรับฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยไม่ต้องใช้ปัญญา สาวน้อยควร.....

เพื่อนถามว่าทำไมไม่ลาออก เธอบอกว่าไม่มีปัญญาจ่ายคืน 24 ล้านน่ะ

เรื่องที่สาม วิศวกรหนุ่มที่เกือบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่rank อันดับหนึ่งมากว่า 20 ปีในสาขา ....physics ได้รับคำแนะนำด้วยความปรารถนาดีจากหัวหน้าว่าจะไม่มีทางรุ่งอย่างแน่นอน จนกว่าจะไปลงเรียน physics ก่อน เพราะจบมาได้อย่างไร ไม่เคยเรียนวิชานี้ เขาควรจะ .....

ควรจะบอกอย่างไรว่า วิชาบังคับเบื้องต้นวิชานี้ มหาวิทยาลัยเขาให้ข้ามไปเลย เพราะเคยได้เหรียญทองโอลิมปิควิชา physics มาก่อน

เป็นเรื่องเล่าในวงข้าวเมื่อเร็วๆนี้

มีคำแนะนำดีๆช่วยบอกด้วย หรือ มีเรื่องแบบนี้ของประเทศสารขัณฑ์มาเล่าสู่กันฟัง

แล้วจะ ฮา หรือ โฮ ดีเนี่ย


เล่าต่อให้ฟัง

ความคิดเห็นที่ 1
ฮา ให้กับชะตากรรมของ นร ทุนทั้งหลาย


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ภาษาเขียนของคุณ จขกท. อ่านเข้าใจยากค่ะ แต่ก็พยายามอ่านจนจบ เราสรุปให้ง่ายๆ เลยนะคะ
ว่าสำหรับทุกเคสที่คุณเล่ามา ทางแก้หลักๆ เลย คือถ้าหากว่ายังเป็นลูกจ้างเขาอยู่ ไม่ว่าจะทำงานกับมหาวิทยาลัย
ของรัฐบาล หรือของเอกชน ถ้าไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ก็คงต้องยอมทนนะคะ ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องหาเงินมาใช้คืน หรือ
ต้องลาออกไปทำอย่างอื่นค่ะ

_________________________________________

ส่วนทางแก้ตามแต่ละเคส เป็นเคสๆ ไป คือ

เคสแรก ถ้าไม่ได้มีทางเลือกมาก ถ้าต้องยอมทน ก็ต้องลดอีโก้ ลดอัตตาลงบ้าง แล้วคิดในทางบวกว่า ได้กลับไปบูม
และร้องเพลงประจำมหาวิทยาลัยเหมือนตอนที่ยังเป็นวัยละอ่อนอีก ก็สนุกดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเครียด เพราะคนที่
จบปริญญาเอกไม่จำเป็นต้องทำตัวหรือมีอิมเมจแบบคนที่จบปริญญาเอกตามที่สังคมไทยคาดหวังไม่ใช่เหรอคะ

ส่วนตัวแล้ว ดิฉันเคยพบทั้งคนไทย และ คนต่างชาติ (บางท่านเป็นเพื่อนของดิฉันเอง) ที่เรียนสูงระดับปริญญาเอก
จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก แต่ทำตัวเหมือนคนทั่วๆ ไปที่สามารถจับต้องได้ และ ไม่ต้องทำตัวแบบคนจบปริญญาเอก
ในภาพพจน์แบบที่คนไทยคาดหวังค่ะ และ หลายๆ ท่านทั้งไทยทั้งฝรั่งสามารถขึ้นรถเมล์ไทยไปไหนมาไหนได้ และ สามารถ
ให้ความเอ็นดูแก่ดิฉันซึ่งมิได้มีความรู้ทางวิชาการเทียบเท่าท่านเหล่านั้นเลยสักนิดได้ค่ะ

_______________________________________

เคสที่สอง สาวน้อยคนเก่งท่านนั้นมีทางเลือกอย่างน้อยๆ 2 ทางค่ะ คือ

1. ทำตามที่เขาบอก ไม่ต้องหา 24 ล้านมาใช้คืน และ มีงานทำต่อไป

2. หาเงินมาใช้คืน แล้วลาออก ไปหางานใหม่

_____________________________________

เคสที่ 3 ก็ให้ตอบเขาไปตามตรง แล้วเอาหลักฐานมาโชว์ว่าได้รับการยกเว้นไม่ต้องเรียน เพราะถ้าไม่เล่าให้หัวหน้าฟัง
หัวหน้าท่านก็ไม่ทราบนะคะ

____________________________________

ส่วนความคิดเห็นในตอนท้ายทั่วๆ ไป คือ ทุกๆ ท่านทั้งใน 3 เคส ควรจะทราบก่อนที่จะมาทำงานตรงนี้แล้วค่ะ
ว่าระบบ หรือ วัฒนธรรมย่อยๆ ของบางวงการบางสาขาอาชีพมีว่าอย่างไรบ้าง ถ้าจะไม่ทราบเลย เราคิดว่าคงเป็นไป
ไม่ได้ค่ะ เพราะทุกๆ ท่านเกิดในประเทศนี้ โตในประเทศนี้ ได้รับการศึกษาเบื้องต้นตั้งแต่ระดับอนุบาล ไปถึงระดับ
ปริญญาตรี (และ โทด้วย) ในประเทศนี้ เป็นผลผลิตของประเทศนี้ การที่จะไม่ทราบเราเห็นว่าคงเป็นไปไม่ได้ค่ะ

ระบบก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว หรือถ้าบางเคสอยากหนี ก็คงอาจจะต้องหาทุนไปเรียนต่อ หรือไปทำวิจัยต่ออีกนะคะ
ก็ลาเพื่อไปเรียนต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ ขอทุนอื่นๆ ของต่างประเทศไป (ถ้าสามารถทำได้นะคะ_เพราะมีคนที่ดิฉันรู้จักบางท่าน
ทำแบบนี้ค่ะ)

ในกรณีของเคสที่ 2 หน่ะค่ะ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามีข้อผูกมัดเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ 24 ล้านบาท ก็ต้องทำใจให้ได้นะคะ
ต้องหาวิิธีอื่นๆ ที่ทำให้คิดบวกได้ค่ะ

ที่เขียนมานี้ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจนะคะ เข้าใจความอึดอัดของคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่อยากนำความรู้มาพัฒนาประเทศ และ พัฒนา
เยาวชนของชาติรุ่นใหม่ค่ะ_คือยังไงก็ต้องรอให้หมดยุคจูราสสิคก่อนนะคะ โลกยุคใหม่ถึงจะกำเนิดได้ค่ะ เหมือนการปฏิวัติ
อุตสาหกรรม หรือ เหมือนการเปลี่ยนแปลงของสิ่งอื่นๆ ทั้งหลายในโลกนี้ค่ะ ต้องรอให้ถึงเวลาค่ะ

จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ยังหมดอำนาจได้เลย, ฮอสนี่ มูบารัค ยังหมดอำนาจได้เลย, กัดดาฟี่ ยังหมดอำนาจได้เลย
"ไดโนเสาร์พันธ์สารขัณฑ์" ก็ต้องมีเวลาสูญพันธ์ได้เช่นกันค่ะ





ที่สามารถจับต้องได้ค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
บรรทัดสุดท้ายท้ายสุดของ คห. 2 ไม่ต้องสนใจนะคะ เกินมาค่ะ ไม่ได้ลบออกก่อนกดส่ง_ขออภัยค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
ผมไม่ได้จบมาแบบนั้นหรอกครับ แต่ขออกความเห็น ย่อๆว่า

1.ในชีวิตการทำงานจริงๆกับชีวิตนักเรียนนั้นต่างกันมากมาย
2.ถ้าไม่ได้มีทางเลือกมาก ถ้าต้องยอมทน ก็ต้องลดอีโก้ ลดอัตตาลงบ้าง (จากความเห็นแรก)
ผมเชื่อว่าคนที่จบมาในระดับนั้นคงสามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ไม่ยากหากทำในข้อ 2 ได้ แต่ผมก็เคยอ่านมาบ้างว่า บางคนเรียนหนังสือดีมากเป็นที่หนึ่งมาตลอด พอเข้าทำงานสู้เขาไม่ได้ เลยปรับตัว(โดยไม่ได้ตั้งใจ)ด้วยการป่วย ป่วยจนทำงานไม่ได้
ผมก็มีนิทาน เล่าแล้วเล่าอีก นายแกรี่จบเอกทางฟิสิคส์และเคมีจากจอห์นฮอพกินส์ เพื่อนร่วมงานน้อยคนที่จะรู้ว่าเขาจบอะไรมามาจากไหน รู้แต่ว่างานติดขัดทีไรไปถามแกรี่ตำแหน่ง "Technician" แล้วมักจะมีคำตอบเสมอ และนอกจากนั้นน้อยคนที่จะรู้ว่าเขาถือหุ้นใหญ่สุดในบริษัทที่มีพนักงานส่วนใหญ่จบโทและเอก


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ต้องกลับมาอีกครั้ง เพราะลืมตอบคำถามสำคัญที่คุณ จขกท. ถามมา
สำคัญถึงขนาดที่ว่าได้ขึ้นเป็นหัวเรื่องกระทู้เลยว่า "จะฮาหรือโฮดี"

ถ้าตามที่คุณเล่ามาทั้งหมดก็ต้องตอบว่า "ฮาสิคะ" ไม่โฮค่ะ เพราะเรื่องทั้งสามเคสในกระทู้นี้
เป็น "สาระขัน" ที่ปกติธรรมดามากๆ ของ "สารขัณฑ์" ค่ะ

แต่ถ้า "ไดโนเสาร์พันธ์สารขัณฑ์" สูญพันธ์ไปเมื่อไหร่แล้วค่อย "โฮ" ค่ะ
ปล่อยโฮร้อง(ให้) พร้อมกับ "โห่ร้อง" ดีใจค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
เล่าเรื่องได้เละเทะ ลำดับความคิดขาดๆเกินๆมากค่ะ

ที่สำคัญแต่ละเรื่องเต็มไปด้วยอคติและนัยแห่งการเหยียดหยามผู้อื่น สุดยอดเนื้อหากระทู้ "ugly" แห่งปี


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ไม่เชื่อสิ่งที่คุณเล่า
มันเป็นนิทาน อย่างที่คุณว่า
ขออภัยครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
จบ MIT STANFORD แล้วยังไงเหรอคะ นักเรียนทุนก่อนจะรับทุนก็ต้องเข้าใจและยอมรับเงื่อนไข ถ้าคิดตั้งแต่แรกว่ารับกับระบบไม่ได้ แล้วไปรับทุนทำไมล่ะคะ

คนที่จะเก่งนั้นเก่งแต่วิชาการนั้นไปไม่ได้ไกลหรอกค่ะ ต้องรู้จักเข้าสังคมและปรับตัวด้วย ถึงจะอยู่สังคมได้อย่างมีความสุข บางคนกลับมารับไม่ได้กับระบบ แต่ก็ฝืนทำงานไปเพราะไม่มีเงินจ่ายทุนคืน พวกนี้น่าสงสารมาก


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
อ่านไม่รู้เรื่อง งงมาก


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
อ่านแล้วคิดว่าคุณ จขกท. คงจะประชดในเรื่องของ "ระบบที่กลืนคน" ไม่ว่าคุณจะเก่ง หรือมีแนวคิดที่แตกต่าง ดีเลิศเลอมาจากไหน จบมาจากมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของโลกแค่ไหน แต่ถ้าคุณกลับไทย คุณก็ต้องกลับไปอยู่ในระบบ(เดิม ๆ)ที่คุณเลี่ยงไม่ได้ แถมมีเรื่อง "ทุน" ค้ำคออยู่ ยังไงก็ต้องทนและปล่อยให้ระบบมันค่อย ๆ กลืนไป ส่วนเรื่องความรู้ที่เรียนมามากมายด้วยเงินภาษีของประเทศชาติก็ช่างมัน ไม่ต้องเอามาใช้หรอก เอาแค่ดีกรีมาไว้ประดับหน่วยงานและเพิ่มเครดิตให้กับ "เจ้านาย" ให้ได้พอใจว่ามีลูกน้องเป็น "ด็อกเตอร์จากนอก หรือ จบตรี จบโทจากมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของโลก" ก็พอแล้ว อย่าได้มาสะเออะแหวกแนว คิดแตกแถว เสนอแนวคิดใหม่ ๆ นะ ต้องอยู่ในแถวที่เค้าเตรียมไว้ให้

ปล. อันนี้ดิฉันตีความจากที่อ่านในเนื้อกระทู้เท่านั้นนะคะ คิดว่าคุณ จขกท. คงจะมาแบบประชดกลาย ๆ น่ะ (ถ้าตีความผิดก็ต้องขออภัยด้วย)


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
เคยมีอาจารย์หนุ่มคนหนึ่ง ได้ทุนพัฒนาอาจารย์ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ
พอกลับมาใช้ทุนเวลาคืนมหาวิทยาลัยที่ได้ทุน
เกินอาการร้อนวูบวาบอยากไปสอนที่อื่น ด้วยหลายๆสาเหตุด้วยกัน(ตามที่ท่านอ้าง)

มหาวิทยาลัยที่ตัวเองได้รับทุนพัฒนาอาจารย์เป็นเอกชนไม่มีชื่อเสียงมากมายนักในขณะนั้น
แถมคุณภาพของนักศึกษาค่อนข้างเรียนอ่อนไม่ได้เรียนพื้นฐานมา
เพราะโดยส่วนมากจะเป็นนักเรียนเรียนจบพาณิชย์หรืออาชีวะ ไม่ได้จบสายสามัญมา
ไม่ก็มาจากต่างจังหวัดซ่ะโดยส่วนมาก เลยปีนกระไดฟังอาจารย์สอนไม่ถึงแก่นวิชาเอาซ่ะเลย
ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ ไม่มีส่วนร่วมไม่ทำงานส่ง ลอกรายงาน ฯลฯ

อาจารย์หนุ่มสะสมความร้อนรนหงุดหงิดร้อนใจร้อนที่ ร่ำๆอยากจะลาออกเอาทุกวัน
แต่ความที่ถ้าออกต้องใช้ทุนคืนเป็นเงินคูณที่ใช้ไปเป็นสี่เท่าของค่าใช้จ่าย
ซึ่งอาจารย์ไม่มีเงินมาจ่ายคืนแน่นอน
ผ่านมาไม่นานได้ข่าวอาจารย์ออกจากมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องชดใช้เงินทุนใดๆคืนมหาวิทยาลัย
อันเนื่องจากถูกให้ออกเนื่องจากปัญหาชู้สาวกับนักศึกษาสาวที่สอนอยู่

อาจารย์ท่านนั้นตอนนี้ยังทำงานอยู่ในวงการวิชาการ สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย
และเป็นที่ปรึกษาให้กับอีกหลายๆหน่วยงานเอกชน
โดยเปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่ ผู้คนลืมเลือนเรื่องที่เคยเกิดขึ้น

เรายังสงสัยว่าจะเป็นแค่แผนของอาจารย์หรือเรื่องจริง ที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้
ส่วนนักศึกษาสาวคนนั้นก็เรียนจบรับปริญญาไปเรียบร้อย แค่ถูกทัณฑ์บนแค่นั้นค่ะ

ไม่แนะนำให้เลียบแบบ แค่อยากเล่าสู่กันฟังค่ะ

ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้กรุณาแสดงความเห็นและ/หรือแวะเข้ามาอ่าน

ต้องขอประทานโทษอย่างยิ่ง หากภาษาที่ใช้ขาดๆเกินๆเข้าใจยาก โดยที่มีเจตนาจะเล่าเรื่องโดยมิให้มีผลกระทบต่อเจ้าตัว เพราะไม่ได้ขออนุญาตว่าจะนำเรื่องในวงข้าวมาเปิดเผยต่อสาธารณะ

ขอคารวะอย่างจริงใจต่อคุณ Been there, done that ในการแสดงความเห็นของผู้มีประสบการณ์อย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง จริงใจและเปิดเผย แถมมีอารมณ์ขันต่างหาก
ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นทุกครั้งที่ได้อ่านพบความเห็นของท่านผู้นี้

เยี่ยมที่สุด เห็นจะได้แก่คุณ JC 2002 ที่เข้าใจกระทู้นี้

ผมไม่อยากจะเกินเลยท่านอธิการว่าท่านคงติดใจการรับน้องใหม่สมัย 40-50ปีนี่แล้ว จึงนำมารับน้อง "อาจารย์น้องใหม่"

ผมไม่อยากจะเกินเลยกับผู้บังคับบัญชาที่ต้องการผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแรงและไม่ต้องเอาสมองมาทำงาน

ผมไม่อยากจะเกินเลยกับหัวหน้างานที่ไม่รู้จักกำพืดของลูกน้องดีพอ

ขอคารวะต่อคุณpano ที่ชี้ทางสวรรค์ แต่หวาดเสียวคาบเส้นมาก

และผมไม่แปลกใจที่ประเทศไทยไม่ได้ไปไกลอย่างที่ควรจะเป็น เด็กระดับมันสมองที่องค์กรต่างชาติอยากจ้างเหล่านี้ อีกไม่นานนัก หากไม่สามารถทนทานทู่ซี้กับระบบที่
กลืนกินหล่อหลอมจะลลายเป็นพวกเดียวกัน บุคคลากรที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ก็คงต้องลาออกก่อนที่ไฟจะมอด น่าเสียดายนัก


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
ขออนุญาตออกความเห็นนะคะ เอาจริงๆ เราว่าประเทศไทยเรายังไม่มีอะไร ที่ต้องใช้ความสามารถขนาดจบ มหาลัยดังๆ หรอกคะ หรือถึงมี ด้วยระบบที่ยังเป็นการเกื้อหนุนกันอยู่ ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวประเทศเราเอง ก็ยังไม่สามารถทําได้หรอกคะ

ความเป็นจริงคือ ตราบใดที่เป็นลูกจ้าง เราก็ต้องทําคะ ไม่พอใจก็หาทางลาออกคะ อย่างไรก็ตามการได้เรียนในมหาลัยดัง ทําให้ผู้ที่ไปเรียนนั้น มีสมองที่พัฒนา และฉลาดมากนะคะ ซึ่งสามารถนํามาต่อยอดอะไรได้อีกมาก

อยากให้คิดบวกไว้คะ อย่างน้อยชีวิตก็เกิดมาชีวิตเดียวคะ ได้ไปเรียน หรือได้ไปเจอกับประสบการณ์ในต่างประเทศก็นับว่าคุ้มแล้วคะ เอาเวลาที่นั่งคิดมาก และมีอัตตา หันกลับไปมองดูความเป็นจริง และก็ใช้ชีวิตให้สนุกก็พอแล้วคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ผมว่ามันผิดที่ระบบ ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการให้ทุนนานๆ จนถึงปริญญาเอก เพื่อให้นักเรียนต้องกลับมาใช้ทุนในเวลานานมากๆ ภายในระบบที่คนส่วนมากไม่มีแรงจูงใจในการทำงานและพร้อมที่จะออกตลอดเวลาถ้ามีโอกาส อย่างที่คห 13 บอก หลายๆ ตำแหน่งไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องใช้ PhD เลยแต่ทุนก็ส่งไปเรียนถึง PhD

สิ่งที่มันค่อนข้างขัดแย้งกันมากๆ คือระดับของคนที่เรียน PhD โดยเฉพาะในกลุ่มนี้ สิ่งที่ต้องการจริงๆ คือ motivation มีทฤษฎีที่บอกว่างานที่ใช้ความคิดหรือ cognitive skills มากๆ สิ่งหนึ่งที่คนต้องการจริงๆ คือ autonomy หรืออิสระในการคิดและการทำงาน ไม่ใช่เงินหรืออำนาจ การมีระบบที่ใช้การจัดการคนแบบนี้สิ่งที่ได้ก็จะมีแต่ compliance หรือการยอมจำนนทำตามและทำลาย motivation ไปซะหมด

ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนตอนที่เซ็นต์สัญญาก็เซ็นต์ด้วยความรู้สึกตั้งใจเต็มที่ที่จะกลับมาทำอะไรเพื่อพัฒนาประเทศ บางคนตอนเรียน PhD เป็นระดับ Golden boy ที่โดดเด่นมากๆ ในระดับโลกและสามารถทำอะไรให้ประเทศได้อีกมากแน่นอน การจำกัดความคิดและอิสระมากเกินไปมีแต่จะทำให้คนหนีไปรับงานนอกแล้วทำงานให้จบไปวันๆ แบบนี้ไม่มีใครได้อะไรเลยทั้งคนให้ทุนและคนรับทุน

ผมไม่ได้บอกว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นคนที่หัวหน้าหรือผู้ร่วมงานแตะต้องไม่ได้ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าประเทศเสียเงินภาษีมากมายเป็นสิบๆ ล้านต่อคนเพื่อสร้าง PhD แล้วไม่สามารถใช้คนเหล่านี้ได้อย่างคุ้มค่าในตอนท้าย


ตอบกลับความเห็นที่ 14