สอบถามเกี่ยวกับอายุวีซ่าอินเดียครับ

อยากทราบว่าหากขอวีซ่าแบบท่องเที่ยวสามารถอยู่ได้นานสุดกี่เดือนครับ และหากต้องการที่จะอยู่นานกว่านั้นสามารถทำเรื่องขออย่างไรได้บ้าง ขอบคุณครับ

ความคิดเห็นที่ 1
เปิดพาสปอร์ตของตัวเองมาตอบให้เลยนะคะ และ ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมมาตอบให้ด้วย
อินเดียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เราไปค่อนข้างบ่อย และชอบไปมาก และครั้งท้ายสุดที่ไปมาคือเมื่อเกือบๆ กลางปีนี้เอง
ส่วนต้นปีหน้าเรามีแพลนจะกลับไปอีกเพราะเราชอบหน้าหนาวที่ประเทศอินเดีย บรรยากาศดีสุดๆ

1. วีซ่าท่องเที่ยวของอินเดีย สำหรับคนไทยโดยทั่วๆ ไป จะได้ที่มีอายุการใช้งาน 6 เดือน ซึ่งวันเริ่มต้น
และวันหมดอายุ จะระบุอยู่บนวีซ่า วีซ่าจะเป็นแบบมัลติเพิ่ล เข้าออกได้หลายครั้ง แต่จะมีหมายเหตุว่า
การเข้าออกแต่ละครั้งต้องเว้นระยะห่างกัน 2 เดือน

2. ข้อมูลเพิ่มเติมที่เราได้รับมาจากการสอบถาม VFS ตัวแทนรับยื่นเรื่องวีซ่าของสถานทูตอินเดียเมื่อราวๆ กลางปี
คือ ถ้าจะไปอินเดียอีกในระยะห่างกันไม่เกิน 2 เดือน คือต้องติดต่อสถานทูตอินเดียในประเทศที่คุณอาศัยอยู่เอง
และต้องยื่นใบคำร้อง และต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกครั้ง ติดต่อกับสถานทูตโดยตรง โดยไม่ผ่าน VFS

3. บนสแตมป์ขาเข้าที่เราได้รับจาก ต.ม. อินเดีย เมื่อเดินทางเข้าอินเดียที่สนามบินนานาชาติอินทิราคานธี ที่เดลลี
เมื่อราวๆ กลางปีนี้ ไม่ได้ระบุว่าอนุญาตให้อยู่ได้ถึงวันที่เท่าไหร่

4. ถ้าดูตามที่เห็น ก็ถือว่าสามารถอยู่ได้ภายในระยะเวลาของอายุวีซ่า คือ 6 เดือนอย่างเต็มที่

5. แต่เมื่อเราเข้าไปค้นในเว็บ Wiki เกี่ยวกับ Visa Requirement ของพาสปอร์ตไทย ในการเข้าอินเดีย
พบว่าใน Wiki เขียนว่า อยู่ได้ครั้งละ 30 วัน แต่ปีละไม่เกิน 2 ครั้ง แต่ทั้งนี้ในวิกิฯ เป็นข้อมูลที่ต้องตรวจสอบอีกครั้ง
เพราะบางครั้งใครจะเข้าไปเขียนอะไรก็ได้

6. เมื่อเข้าไปในเว็บของสถานทูตอินเดีย เพจสำหรับเมืองไทย ไม่พบข้อมูลในส่วนที่คุณ จขกท.ถามมา แต่พบการอัพเดท
ข้อมูลล่าสุด เกี่ยสกับการขอวีซ่า ซึ่งขอลากมาให้คุณ จขกท. เข้าไปศึกษาเองนะคะ การอัพเดทล่าสุด มีเมื่อกลางเดือนนี้เอง
เมื่อราวๆ สัปดาห์ที่แล้วค่ะ

http://www.ivac-th.com/news.html

7. อยากทราบอะไรนอกเหนือจากนี้ แนะนำให้ถามจากสถานทูตอินเดีย และ VFS นะคะ แต่จากประสบการณ์ในการขอ
วีซ่าด้วยตนเองของหลายสถานทูตหลายประเทศ ผ่านทางตัวแทน VFS พบว่าเจ้าหน้าที่จะเป็นเด็กๆ ที่ไม่ค่อยมีความรู้
ในเรื่องของการต่างประเทศเลย เขามีหน้าที่รับเรื่อง มีหน้าที่ตรวจเอกสาร และ ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับผู้ไปขอวีซ่าเท่าไหร่
นักค่ะ (ประสบการณ์ส่วนตัว และความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ และ ถ้าทาง VFS มาอ่านเจอ ขอความกรุณาให้นำไป
ปรับปรุงการบริการด้วยค่ะ เพราะพวกเราที่ไปขอวีซ่าจ่ายค่าบริการซึ่งเป็นเงินเดือนของพวกท่านนะคะ ขอบคุณค่ะ)


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ส่วนต้นปีหน้าเรามีแพลนจะกลับไปอีกเพราะเราชอบหน้าหนาวที่ประเทศอินเดีย บรรยากาศดีสุดๆ


เรียนถามคุณ Been there ค่ะ

เราเพิ่งกลับจากศรีลังกา สนุกดี อากาศไม่ร้อนเกินไป
ชิมชาจุใจ อาหารศรีลังกาไม่อร่อยมาก แต่ก็ทานได้ค่ะ ชอบแกงถั่ว (ไร้เนื้อสัตว์)
ต้นปีหน้า เราจะไปอินเดีย แบกเป้ลุยเดี่ยว
อยากทราบว่า

1) เดือนใดเหมาะแก่การเดินทางคะ วันเวลาเรายืดหยุ่น
เราชอบอากาศ 15 องศา ไม่ชอบหนาวค่ะ
บางคนบอกว่าหน้าหนาวอินเดียหนาวมากๆ

2) ตั๋วไปกลับ กทม-เดลฮี
คาเธ่ย์แปซิฟิค ราคา 13000 บาท โอเคไหมคะ
ไม่อยากบินโลวคอสต์สำหรับทริปนี้ (เพราะจะเคลมสิทธิ์กับ:-)ที่ยกเลิกรูทเดลฮีเราไป)

ขอบคุณค่่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
ถ้าชอบชาแล้วก็ต้องไปอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ค่ะ ไปดื่มชา 5 ประเทศนี้ มีชาเลิศๆ มากมาย


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
ขอบคุณค่ะสำหรับคำตอบเรื่องชา

ไปเที่ยวไร่ชามาทั้งที ซื้อใบชาติดมาไม่มากหรอกค่ะ
หนูคุ้นกับชาจีน แถบฟูเจี้ยน (ชาสามม้าสมัยโบราณที่หอมมาก ผิดกับสมัยนี้)
ชาอูหลงซืึ่งแพงกว่ากลับไม่ชอบเท่าไร

ชาเกาหลีที่ใส่ข้าวคั่วด้วยหอมมาก ดื่มแล้วชุ่มคอ

ชาศรีลังกาที่ซื้อมาเป็นกลิ่นแอปเปิ้ล และสตรอเบอรี่ อ้อ ได้ Earl Grey ที่เบลนด์แล้วโดยบริษัทฝรั่ง เป็นชาถุงข้างในเป็นผง

ส่วนชาใบราคาจะเเพงกว่าหน่อย โลละ 300-350 บาท ยังชิมไม่ครบทุกรสที่ซื้อมาเลยค่ะ
เวลาดื่ม ดื่มเป็นชาดำค่ะ ไม่ใส่น้ำตาล ทั้งเย็นและร้อน


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
สนามบินอินธิราที่ว่าเริ่ดมากนั้น ได้ยินก็ทึ่งค่ะ แต่ไม่ประหลาดใจมากเพราะทราบมาว่าที่นี่เก็บค่าภาษีสนามบินโหดมาก ถึงขนาดแอร์เอเซียทนค่าใช้จ่ายไม่ไหว ยุติเส้นทางไปแล้ว และเป็นที่ไปที่มาของการต้องซื้อตั๋วใหม่และต้องฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยค่าตั๋วนี่แหละค่ะ


เดิมทีวางแผนไปฤดูใบไม้ร่วง ขาไปลงเดลฮี ขากลับจะเเวะไปทางดาร์จีลิ่งและกลับทางกัลกัตตา แต่พอต้องเปลี่ยนไปหน้าหนาว ก็ว่าจะไม่ไปดาร์จีลิงซะเเล้ว จะซื้อเดลฮีสองขา

เส้นทางในใจคือ ราชาสถาน วิหารทองคำ และพาราณสี ทั้งหมดนี่ภายใน 2 วีค พอไหมคะ
ตัดแคชเมียร์ และดาร์จีลิงออก


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ถ้าไปครั้งแรกแนะนำให้เที่ยวสามเหลี่ยมทองคำ เดอะ โกลเด้น ไทร แองเกิ้ล ของอินเดียก่อนค่ะ
อันได้แก่ เดลี (นิว กับ โอลด์), อักรา และ ราชสถาน (และแถวๆ นั้น) มีเวลา 2 สัปดาห์ ละเลียด อ้อยอิ่งไปเรื่อยๆ ค่ะ
อย่าเพิ่งไปเยอะ ประเทศอินเดียกว้างใหญ่ไพศาล ค่อยๆ เก็บไปเรื่อยๆ กลับไปอีกค่ะ เวลาบินจากเมืองไทยแค่
ราวๆ 3.30 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ ใกล้ๆ แค่นี้เอง เวลาเที่ยวอย่ารีบร้อนค่ะ

เอาแผนที่อินเดียมาดูค่ะ แล้วแพลนทริปจากเมืองไทย โดยให้ดูว่ามีสายการบินไหน บินไปลงเมืองไหนบ้าง
แล้วดูเมืองที่สัมพันธ์กันค่ะ

ไปชมทัชมาฮาล (ที่อักรา) นะคะ แล้วสัมผัสด้วยสายตา และด้วยใจของคุณเองค่ะ ว่าแว่บแรกที่ได้เห็นทัชมาฮาล
มาปรากฏอยู่ข้างหน้าผ่านทางประตูทางเข้าหน่ะ มันมีเวทมนตร์ มีมนตร์ขลังอย่างไร และ บรรยากาศรอบๆ นอกรั้ว
ของทัชมาฮาลที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปเขาอยู่อาศัยกันแบบไม่ต้องปรุงแต่งค่ะ เขาอยู่กันแบบนั้นจริงๆ เท่ห์นะคะ
อยู่บ้านหลังคามุงจาก นอนกับวัว และมีรั้วบ้านติดอยู่กับรั้วทัชมาฮาลค่ะ เช้าตื่นขึ้นมาต้มชาอินเดียดื่มใต้ต้นไม้
ดื่มจากถ้วยดินเผา ดื่มเสร็จปาถ้วยทิ้งไป


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ถ้วยดินเผามีเยอะเหรอคะ ดื่มเสร็จทำไมต้องทิ้งถ้วยด้วยล่ะคะ

ทริปนี้ตอนต้นว่าจะเก็บแคชเมียร์ แต่นึกบรรยากาศหิมาลายาก็พอจะนึกออกแล้ว เลยยุติไว้ก่อนค่ะ เคยไปซึมซับบรรยากาศแถบหิมาลายาแถวแชงกรีล่าในจีน ครั้งนี้วินเทอร์เสียด้วยเลยเบรคไว้ก่อน เบื่ออากาศหนาว หิมะกองโตๆ จริงๆ ค่ะ เที่ยวไม่สนุกเลย


ไฮไลท์ทริปนี้อยูู่ที่เมืองอมริตสะค่ะ สมัยก่อนเคยทำรายงานเกี่ยวกับอินเดียสองเรื่อง คือ อสัญกรรมของนางอินธิราที่เขตของชาวสิกข์ และแก๊สรั่วที่เมืองโบปาล มัธยประเทศ เลยอยากไปชมวิหารทองคำ

ส่วนเมืองพาราณสีเป็นอะไรที่ได้ยินมานาน และดูสารคดีมาหลายครั้ง อยากเห็นวิถีชีวิตริมแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์

ส่วนดาร์จีลิงนั้น นายเก่าเป็นนักเรียนที่นั่นในยุคที่เเม่ชียังควบคุมการศึกษาเคร่งครัด สำเนียงภาษาอังกฤษและความคล่องแคล่วทางภาษาท่านจึงเหมือนเนทีฟ สปีคเกอร์
ครั้งหนึ่งเราทานน้ำชากันที่ราฟเฟลสิงคโปร์ ของว่างเป็นแป้งกรอบเหมือนข้าวเกรียบ ป้ายเเยมมะม่วง ท่านบอกว่าอาหารพวกนี้รำลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ

เมษาที่ผ่านมา เข้าไปทานอาหาร Indian Northern Cuisine ที่สิงคโปร์ได้แป้งกรอบเป็นตระกล้า ป้ายแยมสารพัด น้ำจิ้มอันหนึ่งเปรี้ยวๆ เขียวๆ เหมือนผักชีบดกับสระเเหน่ หอมมาก อร่อยดีค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
ขอบคุณ คุณ Been there, done that! ที่เข้ามาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
และขอบคุณ คุณ ปอน ที่เข้ามาคุยเรื่องชา และแบ่งปันประสบการณ์ในการเดินทางครับ


ถ้าหากผมเดินเรื่องแล้วได้ข้อสรุปอย่างไรจะนำกลับมาลงไว้เพื่อเป็นข้อมูลศึกษาของท่านอื่นต่อๆไปครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ยินดี และ ขอบคุณคุณแมงดาน่ารัก จขกท. มากค่ะ ที่เข้ามาเอาคำแนะนำไปแล้ว และ เข้ามาแสดงตัวว่าได้มาอ่านแล้วนะคะ

คุณปอน คุณได้ไปรับประทานปั๊ปป้า (ปาปาดอม-Papadom) กับ แมงโก้ ชัทนี่ย์ (Mango Chutney) มาค่ะ

ที่จริงที่สิงคโปร์ไม่ค่อยมีร้านอาหารอินเดียอร่อยๆ หรือ แทบจะไม่มีเลยนะคะ

อาหารอินเดียอร่อยๆ ต้องกินที่อินเดีย, อังกฤษ, ไทย ค่ะ

ที่เมืองไทยมีร้านอาหารอินเดียดีๆ หลายร้านนะคะ อร่อยๆ ทั้งนั้นค่ะ

ที่ราฟเฟิ่ลส์ สิงคโปร์ พี่ชอบไปทานสโคนค่ะ และไปทานลักซา ทานข้าวมันไก่ และ บั๊กกุ๊ดเต๋ค่ะ ชาก๋วยเตี๋ยวก็อร่อย
แต่ถึงแม้ว่าจะไปทานที่รัฟเฟิ่ลส์/ร๊าฟเฟิ่ลส์แล้ว อาหารก็ยังอร่อยสู้ที่เมืองไทยไม่ได้ค่ะ และ ที่รัฟเฟิ่ลส์แพงกว่าเมืองไทย
หลายเท่าตัวแต่การบริการยังสู้ร้านในเมืองไทยไม่ได้ค่ะ

จะรออ่านกระทู้ต่อๆ ไปของคุณแมงดาน่ารัก และ กระทู้ประสบการณ์เที่ยวอินเดียของคุณปอนค่ะ

อ้อลืมบอกเรื่องถ้วยไปว่า ก็ถ้วยส่วนตัวไงคะ ดื่มเสร็จแล้วทิ้งไปค่ะ ไม่ต้องเสียดายเพราะมาจากธรรมชาติค่ะ
และรสชาดใส่ในถ้วยดินเผาดีกว่าถ้วยเซอรามิคหรือพอร์ซเลนมากมายค่ะ

การไปดื่มลาซซี่ตามร้านดังๆ รสชาดเทพๆ คุณภาพเทพๆ ในอินเดีย ก็ดื่มจากถ้วยดินเผาเช่นกันค่ะ ดื่มแล้วทิ้งถ้วยไป
ถ้าไปราชสถานต้องไปดื่มลาซซี่ที่ร้านลาซี่วาลลานะคะ อร่อยที่สัดในสามโลกค่ะ

ถ้าคุณได้ไปอังกฤษอย่าลืมไปกิน Chicken Tikka Masala อาหารประจำชาติอังกฤษ ที่สำคัญเทียบเท่า
Fish and Chips นะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
ที่สุดค่ะ ไม่ใช่ที่สัด กดแป้นพลาดค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
http://www.hungrygowhere.com/singapore/tandoor_north_indian_restaurant/review-photos/#c13c0000

รูปแรก น้ำจิ้มเขียวๆ ค่ะ ที่พูดถึง
ร้านนี้ตั้งอยู่ใน ร ร holiday inn เป้นอาหาร India เหนือ
ไปมาเมื่อเดือนเม ย ใช้คูปองของ Groupon
จ่ายคูปอง 5 ดอล รับทานได้ 20 ดอล

อาหารว่าง คือตระกล้าเเรกกรอบๆ ตามรูปที่เห็นค่ะ จิ้มกับน้ำจิ้มเขียวๆ
เมนคอร์สเป็นมังสวิรัต แค่เล็งไว้ไม่ให้เกินราคาคูปอง แค่อยากทดลองค่ะ

ส่วนที่ราฟเฟิล เป็นการประชุมที่อื่น แล้วเขาลากไปคุยกลุ่มย่อยที่ราฟเฟิลต่อ มี nan กรุ่นจากเตาอบร้อนๆ มาให้ฉีกกินกับน้ำชา มีเเยมอินเดียสารพัดรส ก็อร่อยดี เเต่สู้ Rembrandt สุขุมวิท 19 ไม่ได้


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
คุณปอนคะ พี่ยังไม่ได้เข้าไปดูในลิ้งค์นะคะ แต่จะมาแชร์ให้ฟังว่าน้ำจิ้มเขียวที่คุณพูดถึงคือ Mint Sauce ค่ะ
เครื่องปรุงหลักๆ ของซ้อสนี้คือใบสะระแหน่, พริกขี้หนูเขียว, โยเกิร์ต และ ผงมาซาล่าผงสมุนไพรอินเดียค่ะ
เอามาปั่นรวมกัน เอาไว้จิ้มพวกของปิ้งๆ ย่างๆ พวกจานทันดูรีของอินเดียค่ะ หรือ จิ้มปั๊ปป้ารับประทานเล่น

หรือ มิ๊นท์ ซ้อสของอินเดียเอาไว้ราดหน้าสลัดมันฝรั่งต้ม ที่ใส่แป้งทอด ถั่วลูกไก่ต้ม หอมแดง ราดโยเกิร์ตด้วยค่ะ
สลัดจานนี้มีชื่อเรียกว่า "ปาปริจ๊าต"

ส่วนร้านอาหารอินเดีย ภัตตาคารรางมาฮาล โรงแรมเร็มบร๊านด์ท อยู่สุขุมวิท ซอย 18 ค่ะ ไกลจากซอย 19 พอสมควรค่ะ
เพราะซอยไม่ได้อยู่เยื้องกัน ส่วนโรงแรมตรงซอย 19 คือ โรงแรมเวสตินค่ะ

ที่รางมาฮาลมีซันเดย์ บรั๊นช์อาหารอินเดียค่ะ เมื่อก่อนนี้คุ้มมาก เพราะราคาไม่แพง แต่หลายปีหลังๆ มานี้ขึ้นราคา
เยอะมากค่ะ แต่ก็ยังคุ้มอยู่ เพราะอาหารอร่อย ขนมอร่อย ตัวเลือกหลากหลาย แต่อา ลา คาร์ท มื้อธรรมดาแพงมากค่ะ

ส่วนที่ร๊าฟเฟิ่ลส์ สิงคโปร์หน่ะ เห็นไหมคะ ขนาดโรงแรมสวยขนาดนั้น ดังขนาดนั้น ห้าดาวขนาดนั้น
แต่ก็ยังสู้รับประทานที่เมืองไทยไม่ได้นะคะ

มีเคล็ดลับในการรับประทานอาหารอินเดีย มาแชร์ให้คุณปอน และ คุณแมงดาน่ารัก จขกท. ฟังด้วยค่ะว่า
ถ้าอยากกินอาหารอินเดียแล้ว ไม่แน่นท้อง ไม่อึดอัด ให้สั่งไรต้า (Raita) โฮมเม๊ดโยเกิร์ตของอินเดียมารับประทาน
คลุกลงไปพร้อมกับข้าว กับข้าว หรือ นานเบร๊ด เลยค่ะ และให้สั่งล๊าซซี่น้ำโยเกิร์ตมาดื่มด้วย จะช่วยย่อย ไม่ทำให้เสียดท้อง
ไม่ทำให้แน่นท้องค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
พวกนักลงทุนอินเดียเวลจะคุยเรื่องงาน ก็ถือโอกาสนัดคนไทยไปรับทานอาหารเย็น พวกพี่ๆ ก็ดึงน้องไปร่วมโต๊ะด้วย เด็กๆ ค้อนตาคว่ำว่าจะเลี้ยงทั้งทีทำไมต้องเป็นอาหารแขกด้วย อีนี่ฉานนนม่ายถนัดอาหารแขกง่ะ

หนูเคยพักไม่ไกล AIT ค่ะ ที่นั่นมีนักศึกษาจากเอเซียใต้มาเรียนมาก เมนูเย็นมีซ้ำเดิม เช่น กระหรี่ไก่บ้าง แพะบ้าง แกงถั่วสารพัด (เวเจตาเรีายน) ไก่ย่างหรือไก่อบทาด้วยเครื่องเทศสีส้มๆ และมีนาน 3 ชนิด (บางชนิดคือโรตี) และที่ขาดไม่ได้ เห็นทุกวันคือกระเพราไก่ไช่ดาว ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของทุกชาติ

การกินอาหารเเขก กินเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หลีกความจำเจค่ะ แต่ไม่ใช่ขาประจำเด็ดขาด อิอิๆๆ อาหารแขกและอาหารไทย กระนั้นก็ตามเป็นรองอาหารปาดัง ที่สุมาตราหลายช่วงตัว


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ผมไปดำเนินการเรื่องขอวีซ่าเข้าประเทศอินเดียมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

ประเภทวีซ่าที่ผมขอคือท่องเที่ยวนะครับ สรุปสั้นๆคือ วีซ่ามีอายุ 6 เดือน

หากผู้เดินทางตั้งใจจะอยู่ยาวแบบครั้งเดียวหกเดือนเลยก็ได้ แต่ถ้าหากผู้เดินทาง

มีการเดินทางออกนอกประเทศ จะต้องเว้นระยะห่างเป็นเวลา 2 เดือนถึงจะสามารถเข้าไป

ใหม่ได้อีกครั้งนึงครับ ตรงตามที่คุณ Been there, done that! ได้ให้ข้อมูลเอาไว้นะครับ



ps.เพื่อนๆท่านใดที่กำลังจะขอวีซ่า แนะนำให้เข้าไปดูข้อมูลอัพเดทที่ http://www.ivac-th.com/

ก่อนนะครับเพราะที่นี่เปลี่ยนแปลงกฏระเบียบค่อนข้างบ่อยๆ


ขอขอบคุณ คุณ Been there, done that! เป็นอย่างสูงเลยครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 14