ชาวอเมริกันในรัฐวอชิงตัน และโคโลราโด โหวตให้กัญชาถูกฏหมาย

เมื่อวานนี้ (6 พ.ย.) นอกจากการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯแล้ว ยังมีการโหวตการแก้กฏหมายเกี่ยวกับกัญชาอีกด้วย โดยมี 3 รัฐ ที่มีกางคะแนนเสียงแก้กฏหมายกัญชา คือ วอชิงตัน โคโลราโด และโอเรกอน
รัฐวอชิงตันและโคโลราโด ได้มีผู้สนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ ทำให้ต่อจากนี้ไป การใช้ ปลูก หรือซื้อขายกัญชา จะไม่ถือว่าผิดกฏหมายอีกต่อไปแต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมเช่นเดียวกับเหล้าและบุหรี่
นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 70 ปีที่กัญชาถูกทำให้ผิดกฏหมาย
การโหวตลักษณเดียวกันนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อเดือน พ.ย. ปี 2010 แต่ไม่ผ่านการโหวตจากประชาชน และกำลังจะมีการลงคะแนนเสียงอีกครั้งในปี 2013
ปัจจุบัน กว่า 18 รัฐในอเมริกา ออกกฏหมายอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ได้ โดยเริ่มจากรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1996
คนที่สนับสนุนให้กัญชาถูกกฏหมายมีมากขึ้นตามลำดับ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนนั้นเป็นผู้ใช้ โดยส่วนมากเป็นผู้ที่เห็นว่า การประกาศสงครามกับยาเสพติดตั้งแต่ปี 1970s นั้นไม่ได้ผล และใช้งบประมาณไปกับการปราบปรามและค่าใช้จ่ายในเรือนจำมากเกินไป และเห็นว่า กัญชามีโทษน้อยกว่าเหล้าและบุหรี่เสียอีก แถมยังมีประโยชน์ทางการแพทย์อีกด้วย

อ้างอิงแหล่งข่าว
http://www.huffingtonpost.com/2012/11/06/amendment-64-passes-in-co_n_2079899.html
http://www.reuters.com/article/2012/11/07/us-usa-marijuana-legalization-idUSBRE8A602D20121107

ความคิดเห็นที่ 1
ต่อไป ไทยก็แก้ กม.บ้าง

จะได้ส่งเป็นสินค้าออก แทน ข้าว


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
ที่ซิดนีย์ก็ถูกกฎหมาย เพราะมีโทษน้อยที่สุด ยาเสพย์ติดเลยน้อย ความต้องการยาเสพย์ติดก็ลดลง


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
เอ๊า กัญชายังไม่มีอะไรพิสูจน์แน่ชัดนะว่ามีผลโดยตรงมีผลชัดๆกับระบบสมองและระบบร่างกาย
ไม่เหมือนเฮโรอิีน ฝิ่น มอฟีน พวกนี้มีผลแน่ ก็คืิอใช้ไปแล้วติด และมีการใช้ช้ำและเยอะเยอะ ก้าวร้าว ร่างกายเสื่อม
บุหรี่ ก็เป็นมะเร็ง
เหล้า ก็ตับแข็ง
แต่กัญชายังคลุมเคลือ บางคนใช้แล้วมันจะง่วง เหงา หาวนอน บางคนไม่ อาจจะติดหรือไม่ติด มันถึงยังเป็นปัญหาคาราคาซังว่าจะขายได้หรือไม่ได้ อ่านมาจากตำราเรียน


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
มันเป็นยานะคะ


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
เมื่อก่อนกินก๋วยเตี๋ยวใสกัญชาให้กินอร่อยดี

ทำส่งออก ขายเพ็กคู่ข้าวไปเลย


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
ผู้ว่าการ บอกว่าจะทำให้ได้ แต่ยังไม่รู้ว่า จะทำอย่างไร
เพราะ องค์การอาหารและยา ของรัฐบาลกลาง บอกว่า ต้องให้หมอสั่งนะ


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ผมเคยดูดกัญชาสมัยเด็กๆ ดูดแล้วก็มันมากไม่มีสติที่จะรับผิดชอบชั่วดี และทำทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยฤิทธ์กัญชา หากว่าได้ออกไปขับรถ ผมอาจจะชนคนตายได้ หากว่าทะเลาะกับใครๆในเวลานั้น ผมอาจจะโดนเขาตีหัวตายได้อีกเช่นกัน คิดว่ากัญชาก็เหมือนกับเหล้า ดื่มเข้าไปแล้วก็ทำให้อารมณ์อออกเหลิง กระจายไปทั่ว


พวกกัญชา พวกหมอนั้นแหละตัวดี อยากจะให้คนติดใจ อยู่ในอารมณ์ฝันไปตลอด ไม่ต้องรับผิดชอบขั่วดีกับตนเองและผู้อี่น.....ไม่ขอวนับสนุนครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
ไม่เข้าใจว่ามันมีความจำเป็นที่จะต้องใช้กัญชามากถึงขนาดต้องแก้กฎหมายกันเลยเหรอ
ถ้าใช้ในการบำบัดรักษาก็ให้อยู่ในความดูแลของแพทย์ก็เหมาะสมแล้ว ถ้าซื้อขายเสรีกลัวว่าจะใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นนอกเหนือจากบำบัดรักษา

เคยอยู่ฮอลแลนด์หลายปี กัญชาถูกกฎหมาย เค้าซื้อขายและสูบกันในคอฟฟี่ช็อปที่กระจายอยู่ทุกเมือง ไม่เคยคิดจะเดินเข้าไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพื่อนฝูงคนดัทช์ก็ไม่เคยเห็นมีใครสูบ คือถ้าคนที่ไม่ใช้ ไม่สูบต่อให้มันถูกกฎหมายขายกันหน้าบ้านก็ไม่ซื้อหรอก หรือเพราะมันถูกกฎหมายก็เลยเฉยๆ+ชิน...


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
ถ้าจะพิจารณากัญชาว่าเป็นยาซึ่งต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์เหมือนฝิ่น หรือ มอร์ฟีนล่ะก็ คงจะใช้เป็นยาได้จริง แต่กัญชาก็เป็นสิ่งเสพติด อาจไม่ร้ายแรงเท่า ฝิ่น หรือ มอร์ฟีน แต่ก็คือสิ่งเสพติดเหมือน เหล้า บุหรี่ และเป็นโทษต่อทั้งสมองและร่างกายอย่างมิต้องกังขา

ถ้าใครคิดว่ากัญาชาไม่มีโทษตามที่เรียนมาเหมือนที่คุณม่องเท่ง คห 3 ว่าไว้ ก็อาจต้องเผาตำราเก่าทิ้งไปได้แล้วเพราะมีผลการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของ Madeline Meier at Duke University in Durham, North Carolina โดยทำวิจัยคนที่สูบกัญชาจำนวน 1037 คนในนิวซีแลนด์มาติดต่อยาวนานถึง 40 ปี ได้ออกผลมาชัดเจนแน่นอนแล้วว่า การสูบกัญามีโทษกับร่างกายและทำให้ IQ ลดต่ำลงและขาดสมาธิ หรือ ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ คือ ทำให้คนโง่นั่นเอง ผลวิจัยนี้เพิ่งพิมพ์ปรากฏออกสู่สาธารณะใหม่ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ ใน Proceedings of the National Academy of Sciences เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง เสนอเป็นข่าวไปทั่วโลกแต่อาจไปไม่ถึงเมืองไทย

ฉะนั้นประสบการณ์จริงของคุณ hollywop น่าจะไปด้วยกันได้กับผลงานวิจัยที่ระบุถึงเป็นอย่างดี

http://www.nature.com/news/drop-in-iq-linked-to-heavy-teenage-cannabis-use-1.11278

อย่างที่คุณธนิตาบอก ยังไม่แน่ว่าจะปฏิบัติได้จริงหรือไม่เพราะยังขัดแย้งกับ Federal Law งานนี้น่าสนใจรอดูผลงานใหม่ของโอบามา หวังว่าอเมริกาคงยังไม่ถังแตกถึงขั้นคิดหาเงินภาษีจากการให้อเมริกันชนพี้กัญชาได้

ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
#8

หลาย ๆ อย่าง ก็ไม่ได้มีประโยชน์เหมือนกันครับ
เช่น บุหรี่ เหล้า หรือ แม้กระทั่ง โคคาโคล่า (มันมีประโยชน์ยังไง)

คำถามที่น่าสนใจคือ กัญชามีโทษน้อยกว่าเหล้า (ในด้านการทำร้ายผู้อื่น และ การเสพจนตาย) ทำไมเหล้าถึงถูกกฏหมาย?

ส่วนคำถามว่า ทำไมกัญชาถูก/ผิดกฏหมาย ถึงส่งผล มีหลายข้อครับ:

ยกตัวอย่างเช่น รัฐเสีย cost มหาศาลในการไล่จับคนค้ากัญชา ยิงกันตาย ทั้งที่กัญชามีโทษน้อยกว่าเหล้าอีก (อารมณ์แบบ ถ้ามันไม่ได้ส่งผลเสียขนาดนั้น จะเอาตำรวจไปไล่จับเพื่อ?)


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ปัญหาอยู่ที่ว่า Federal Law นั้นระบุว่า กัญชาเป็นยาเสพติดต้องห้ามและจัดอยู่ใน schedule I หรือ II นี่แหละ(จำไม่ได้ค่ะ) ตามปกติแล้ว State law จะต้องไม่ขัดต่อ Federal Law ดังนั้นการผ่านกม.นี้ในระดับ state จึงไปขัดต่อ Federal Law เต็มๆ

เมื่อครั้งที่แคลิฟอร์เนียโหวตกม.นี้เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งทาง Federal Agencies ก็ออกมาบอกว่า ถ้าแคลิฟอร์เนียผ่านกม.นี้เขาก็จะมาจับคนที่ครอบครองกัญชาอยู่ดีเพราะผิดกม. ซึ่งนั่นเป็นเหตุให้กม.นี้ไม่ผ่านในรัฐแคลิฟอร์เนีย

อย่างไรก็ตาม การใช้กัญชาเพื่อการรักษานั้น ในแคลิฟอร์เนีย(หรืออาจจะรวมทั้งรัฐอื่นๆ)เขาก็อนุโลมให้ใช้ได้ถ้าจำเป็นจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าอนุญาตให้คนอายุ 21 ปีขึ้นไปสามารถซื้อกัญชาได้เสรีเหมือนบุหรี่และเหล้าเหมือน 2 รัฐที่เพิ่งผ่านกม.นี้ไป คนไข้ที่จำเป็นต้องใช้กัญชาในการรักษาและบำบัดนั้นต้องมีบัตรประจำตัว ซึ่งตรงนี้โดยส่วนตัวแล้วไม่แน่ใจว่าบริษัทประกันสุขภาพทั้งหลายจะจ่ายค่ากัญชาให้เหมือนกับ prescription อื่นๆ หรือเปล่า? ต้องมีจ่าย co-pay หรือเปล่าหรืออย่างไร? รายละเอียดปลีกย่อยเยอะกว่าที่คิดกันนะคะ...นอกเหนือไปจากการทำลายสุขภาพแล้ว

เท่าที่ทราบ คลีนิคกัญชาหลายๆแห่งใน Oakland ก็ปิดตัวไปแล้ว...เพราะปัญหาเยอะมากๆ รวมทั้งคนในพื้นที่ใกล้เคียงต่างก็ไม่เห็นด้วย


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ถ้าจะเอาเปเปอร์งานวิจัย ฝั่งที่สนับสนุนกัญชาก็มีไม่น้อยครับ

คนมีชื่อเสียงหลายคนก็ยอมรับว่าเคยใช้กัญชา หรือกำลังใช้อยู่

ขอเคสตัวอย่างที่ว่าคนป่วยตายเพราะกัญชาหน่อยได้มั๊ยครับ ขออันที่เป็นกัญชาจริงๆ ของไทยที่มาเป็นก้อนๆ ไม่นับครับ เพราะไม่รู้ว่าผสมอะไรเข้าไปบ้าง
ส่วนที่ Oakland คุณแน่ใจเหรอครับว่าเค้าปิดตัวเองลง หรือโดน DEA เอาปืนจ่อหัวให้ปิด?

ดื่มเหล้าเยอะๆก็ขาดสติได้ แถมควบคุมตัวเองไม่อยู่ทำเรื่องเดือดร้อนให้คนอื่น
สูบกัญชาเยอะๆ ไม่มีไปหาเรื่องใคร ถ้าสูบมากไปก็หลับ แถมตื่นมาก็ไม่มีอาการเมาค้าง

พูดถึงเรื่องตำรา ทุกท่านแน่ใจหรือว่ามันเป็นเรื่องจริง เหมือนสมัยก่อนที่ว่าห้ามกินไข่เกินวันละ 1 ฟอง

สังคมไทยยังไม่เข้าใจเรื่องกัญชาอีกมากครับ คนเฒ่าคนแก่ตามต่างจังหวัดสมัยก่อน ดูดกัญชามาตั้งแต่วัยรุ่น อายุยืน 70-80 ปีก็ยังดูดอยู่แถมดูแข็งแรง

ฝากถึงทุกๆท่านนะครับ ใครข้องใจลองไปศึกษาสังคมของผู้ใช้กัญชาของต่างประเทศดูครับ สมัยนี้หาไม่ยาก ถามกูเกิ้ลแปปเดียวก็เจอเพียบแล้ว ผมรู้จักหลายคนที่ใช้กัญชาประจำ ก็ทำงานทำการเป็นระดับ professional เยอะอยู่ จบสถาบันชื่อดัง ต่อปริญญาโทระดับ top 5 ในต่างประเทศ
สำหรับผม กัญชามันคือทางเลือกนึงในการเข้าถึงสถานะ intoxicate เพื่อการผ่อนคลาย เช่นเดียวกับเหล้าหรือบุหรี่ แค่นั้นเอง

ตอบกลับความเห็นที่ 12
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 13
คห. 7 hollywop ท่าทางจะมั่วนะ ผมว่าไม่ใช่กัญชาอย่างเดียวแล้วหละ โดนผสมอย่างอื่นไปด้วยหรือเปล่า
ไม่เคยเห็นใครสูบกัญชาแล้วบอกว่ามันเลยนะ


ตอบกลับความเห็นที่ 13
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 14
ยกมาซักข้อความนะครับ
However, persistent users who only started when adult (older than 18 years) did not seem to experience the same IQ decline.
ถามว่าคนขายยาแบบผิดกฏหมาย จะถามอายุเด็กมั๊ยครับ?
ถ้ามีการควบคุม จะทำให้เด็กๆเข้าถึงยากขึ้นด้วยซ้ำนะผมว่า

แต่สุดท้ายก็จะมีคนบอกว่า นิสัยคนไทยคุมไม่ได้ ไม่เหมาะสม


ตอบกลับความเห็นที่ 14
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 15
แฟนดิฉันอยากย้ายไปอยุ่ เมกาแล้วค่ะ 555 ตอนนี้เค้ารอแค่ แคนาดา ออกกฏถูกกฏหมายบ้างจะย้ายกลับบ้านทันที อารมณ์ฮิปปี้เชียวมัน


ตอบกลับความเห็นที่ 15
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 16
555 ว่าแล้วต้องโดนด่า เอาเป็นเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลเน๊อะ ตำราใครตำรามันละกัน ส่วนตำราของเรายอมรับเราอยากจะยิ่งกว่าเผาสะอีก แต่ทำไม่ได้เสียดายเงินเพราะมันขายได้ สรุปว่าเป็น opinion ไม่ใช่ตำราละกัน อีกอย่างเราพวกเป็นกล่าวอะไรลอยๆ อยู่ล่ะ ไม่หาอะไรเป็นหลักฐานที่จับต้องได้ ที่อ้างตำราก็จำชื่อไม่ได้ว่าเอาจากเล่มไหน ก็เลยอ้างรวมไปเลยว่าตำรา หลักฐานอ่อน 555...

ฝากถึง คห 12 แอบดีใจ แอบคิดว่าเขาอยู่ข้างเรา อิอิ ...จะบอกว่าไปเอามาจากกูเกิ้ล หลักฐานแบบนั้นมันก็นับว่าอ่อนนะคุณ เอามาอ้างทางวิชาการไม่ได้ ต้องเอาเว็บ .org .edu .gov พวกนี้นะเออ คนเค้าถึงยอมรับหน่ะ มั่วนิ่มไปกับเราเถอะว่าเป็น opinon not fact 55555


ตอบกลับความเห็นที่ 16
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 17
เราว่าที่ไทยคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก
พวกโลกสวยเยอะ :)


ตอบกลับความเห็นที่ 17
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 18
สมัยเป็นเด็ก เคยอยู่บ้านพัก ขรก เพื่อนบ้านติดกันพี้กัญชาเมานั่งหัวเราะ พอลุกขึ้นเดินก็เห็นเขาเหมือนจะเดินข้ามสิ่งกีดขวาง แต่มันไม่มีอะไร เดินไปเดินมาก็หัวเราะกันอยู่นั่นไม่รู้จักหยุด ถามว่าขำอะไรเขาก็ตอบไม่ได้

หนึ่งในสองชายนี่มีวีรกรรมห้าวอีก คือไปมุดมุ้งสาวใช้ รุ่งขึ้นอีหนูมันมาบอก เราถามว่าแล้วเธอทำไง หล่อนบอกว่าหนูก็ถีบพี่เขากระเด็นไปน่ะซี ถามต่อว่าแล้วจะทำไงต่อไปอีก สาวใช้เจ้านี้(ที่หุ่นบึกเหมือนน้องหมี)ก็ว่าหนูไม่ทำไมหรอก พี่เขาเมาไม่รู้เรื่อง เวลาดีๆหน้าหนูเขายังไม่มองเลย

มานึกถึงเรื่องคนเหล่านี้ก็พอจะนึกเห็นได้ว่ากัญชาทำให้เสียสติได้จริงๆ แต่คนที่ชอบพี้จะบอกเรื่องของตัวว่าอย่างไรนี่ก็สุดจะรู้ เพราะไม่มีโอกาสที่จะได้ถาม


ตอบกลับความเห็นที่ 18
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 19
ในอเมริกา "กัญชา" เป็น controlled substances Schedule I ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับเฮโรอีน, LSD, และ ecstasy ตาม Fed Law แล้วเขาจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและคุมเข้ม แต่หากจำเป็นต้องใช้ในการรักษาก็ต้องอยู่ในความดูแลและควบคุมอย่างใกล้ชิดจากแพทย์

การออกกม.ให้ซื้อกัญชาได้โดยเสรีนั้นไม่ได้เป็นการสนองความต้องการของคนไข้โดยแท้จริง แต่เอาเรื่องการรักษาพยาบาลมาอ้าง เพราะคนไข้เขาก็มีแพทย์ดูแลอยู่แล้ว แต่คนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายนั้นต่างหากที่ต้องการให้กม.นี้ผ่านเพื่อให้สามารถหาซื้อได้ง่ายๆ เหมือนไปหาซื้อกาแฟที่ Starbucks หรือไปหาซื้อผักที่ grocery เท่านั้น

ถ้าคุณติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดและอยู่ในอเมริกา คุณจะรู้ว่าหลังจากที่กม.นี้ผ่านในรัฐโคโลราโดและวอชิงตันแล้ว ตอนนี้ผู้ว่าการรัฐกำลังหารือกับทาง General Attorney อยู่ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปเพราะกม.นี้ขัดต่อ Fed law

ส่วนที่ Oakland นั้นคลีนิคกัญชาปิดตัวลงเพราะหลายสาเหตุ -
1. โดนจับกุมโดย FBI, USDOJ, DEA และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพราะขัดต่อ Federal Law ที่ห้ามขายหรือครอบครอง
2. คนในพื้นที่ใกล้เคียงกับคลีนิคร้องเรียน เนื่องจากว่าบางแห่งตั้งใกล้โรงเรียนเกินไป หรือเป็นแหล่งมั่วสุมของคนสูบกัญชา
3. เป็นสาเหตุที่นำอาชญากรรมเข้าสู่ community มากขึ้น เป็นต้น
4. คนที่อ้างตัวว่าเป็นคนไข้จำเป็นต้องใช้กัญชา เข้าไปซื้อกัญชาแล้วเอาไปขายต่อ (ผิดวัตถุประสงค์ล่ะ)

ถ้าคุณเคยได้ไปทีคลีนิคกัญชาใน Oakland แล้วคุณจะเห็นสภาพที่แท้จริงว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร? คนไข้ที่เขาจำเป็นต้องใช้ในการรักษานั้นเขาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่คนที่เขาต้องการสูบกัญชานั้นก็จะแตกต่างไปเลย...

นอกจากนั้นที่คิดว่าการซื้อกัญชาได้อย่างถูกกม.นั้นจะช่วยลดปัญหาการค้ายาเสพติดลงได้ ก็ไม่จริง ณ เวลานี้ใน Oakland ที่เขามาทลายแหล่งขายกัญชาเพราะว่าส่วนหนึ่งก็คือเป็นแหล่งค้ายาเสพติดดีๆ นั่นเอง (แบบคนขายเป็น drug dealer นั่นเอง)

เช่นเดียวกับ same sex marriage ต่อให้รัฐออกกม.ให้จดทะเบียนได้ แต่ในระดับ Fed Law เขาก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี ถ้าเป็นคนอเมริกันแต่งงานแบบ same sex ก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ เพราะเขาก็พอใจแค่ให้มีกม.รับรองแม้จะเป็นระดับรัฐก็พอ แต่ที่มีปัญหากันอยู่ตอนนี้คือ same sex marriage ในอเมริกาส่วนใหญ่เป็นการแต่งงานระหว่างคนอเมริกันและคนต่างชาติ ซึ่งถ้าเป็นชายกับหญิงก็ไม่มีปัญหาในการปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็น permanent resident แต่ถ้าเป็น same sex จะไปยื่นขอกรีนการ์ดให้ก็ไม่ได้เพราะ fed law ไม่ยอมรับ

ส่วนงานวิจัยต่างๆ ที่ยกมาว่ามีประโยชน์มากมายนั้น สำหรับอเมริกา...ถ้ามีประโยชน์จริงและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและสามารถลบล้างได้ว่ามีคุณประโยชน์มากกว่าโทษหรือไม่มีโทษเลย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องนำไปพิจารณาแก้ไข Controlled Substance Schedule ต่อไป ด้วยการถอดกัญชาออกจาก schedule I ให้ไปอยู่ schedule V หรือไม่ต้องไปใส่ใน schedule ไหนๆ เลยคือไม่ต้องจัดว่าเป็น drugs...ต้องไปทำให้ระดับนั้นมาก่อนนะคะ แต่ถ้าตราบใดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาไม่ยอมรับงานวิจัยนั้นๆ ก็คงแก้ไขกฎหมายใหญ่ไม่ได้นะ

ทำอะไรให้ถูกกฏหมายเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องดูด้วยว่าจะไปขัดต่อกฎหมายอื่นหรือไม่ด้วยนะคะ ไม่ใช่อยากจะสูบกัญชาอย่างเดียว แล้วก็ต้องไปแก้กม.ให้ฉันได้สูบกัญชาอย่างเสรี โดยไม่สนใจผลกระทบอื่นๆ ที่จะตามมา


ตอบกลับความเห็นที่ 19
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 20
คนอเมริกันคิดว่าการใช้กัญชามีผลกระทบเท่าับหรือไม่ก็น้อยกว่าการดื่มเหล้าอีก เราทะเลาะกับเพื่อนของแฟนเพราะเรื่องนี้เลยเมื่อวาน คนสนับสนุนให้เหตุผลว่าหากประชาชนในรัฐออกเสียงให้กัญชาถูกกฎหมาย รัฐบาลกลางก็ต้องฟังเสียงประชาชนในรัฐนั้น นั่นคือประเด็นเขา พอเราบอกว่ากัญชาเป็นสิ่งเสพติดให้โทษเขากลับแบคความเห็นด้วยการโชว์เวบไซตืแสดงว่ากัญชามีข้อดีอย่างนั้นอย่างนี้และหาว่าเราพูดประเด็นนี้แบบ subjective เราคิดว่าแม้แต่common sense เรื่อง drugs ก็เปลี่ยนไปแล้ว โลกนี้เปลี่ยนเร็วมาก เราคงไม่ไป Colorado กะ Washington ถ้ากัญชา เป็น Legal drugs


ตอบกลับความเห็นที่ 20
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 21
โหวต ด้วยครับ
มันอยู่ที่ปริมาณของคนที่ใช้นะ ใช้มาก ใช้นาน ก็ควบคุมมันไม่ค่อยได้
แต่ถ้าใช้พอดีๆ ดึงประโยชน์จากมันมาใช้ จินตนาการ บรรเจิดจริงๆ..(พริ้วๆ เลยอะ อิอิ)
เพราะทุกสิ่งอย่างต้องเริ่มจากจินตนาการ ถึงจะประสบความสำเร็จ
.../จากคนเคยใช้กัญชา


ตอบกลับความเห็นที่ 21
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 22
มนุษย์ใช้กัญชาเป็นยาเมื่อเกือบ 3000 ปีที่แล้ว แต่เพิ่งมาผิดกฏหมายเมื่อ70-80ปีที่ผ่านมา
ที่ท่านข้างบนบอกว่า Oakland มีปัญหาอาชญากรรมเพิ่มขึ้น แน่ใจเหรอครับ เพราะผมลองเช็คย้อนหลัง อัตราการเกิดอาชญากรรมในแคลิฟอเนียลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2000 เป็นต้นมา(กัญชาทางการแพทย์เริ่มใช้ที่แคลิเมื่อปี 95-96)
ส่วนที่ว่ามีคนมาซื้อเพื่อเอาไปขายต่อนั้น เพราะที่อื่นๆเค้าหาซื้อไม่ได้เพราะผิดกฏหมายไงครับ แถมความต้องการในตลาดก็สูง มันก็เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ลองสมมติดูว่า ทุกที่ทั่วโลกให้กัญชาถูกกฏหมาย ปัญหาการลักลอบก็จะไม่มี
ลองที่เนเธอร์แลนด์ก็ได้ครับ ที่นั้นอนุโลมให้พกกัญชาได้ไม่เกิน 5 กรัม และปลูกได้ไม่เกิน 5 ต้น ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย บ้านเมืองเค้าก็สงบสุขดี
แต่น่าขำที่ fed law จัดกัญชาอยู่ใน schedule I ระดับเดียวกับเฮโรอีน ในขณะที่มอร์ฟีนกับยาไอซ์อยู่ schedule II ดูแล้วมันไม่ค่อย make sense เท่าไหร่ ถ้าคุณโดนจับได้ เข้าคุกสถานเดียว ต่อให้คุณไม่เคยไปทำความเดือดร้อนให้ใครก็ตาม
นี่เหรอครับ กฏหมายเพื่อประชาชน?
ลองมาดูประเทศในแถบยุโรปบ้างครับ ส่วนใหญ่จะอนุโลมให้กับการครอบครองในจำนวนไม่มาก เช่นที่เบอร์ลินให้พกได้ 5 กรัม อังกฤษ แค่ยึดและปล่อยตัว ที่เชคเริ่มมีร้านกาแฟแบบอัมสเตอร์ดัมแล้ว ส่วนประเทศไทย แค่ใช้หรือพกติดตัว ปรับ ณ ที่จ่ายอย่างต่ำ5 พัน แลกกับไม่ต้องไปโรงพักและเสียประวัติ เข้าใจว่าถ้ากัญชาถูกกฏหมาย คงมีคนเสียประโยชน์ไปไม่ใช่น้อยเลย

ลองคิดดูดีๆครับ กัญชาผิดกฏหมายมาตั้งกี่ปี ปราบเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด เราเสียเงินไปให้พ่อค้ายาเท่าไหร่แล้ว แถมควบคุมไม่ได้ ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าโทษน้อยกว่าเหล้าและบุหรี่ด้วยซ้ำ ถ้าเราจับมันมาควบคุมเก็บภาษี เอาเข้าระบบ มันจะไม่ดีกว่าหรือ?


ตอบกลับความเห็นที่ 22