‘ญี่ปุ่น’ทันตะวันตก แต่ไม่ทิ้งตะวันออก

ไทย ญี่ปุ่น และตุรกี เริ่มต้นความเป็นประเทศสมัยใหม่พร้อมกัน
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เราปฏิเสธไม่ได้ว่าญี่ปุ่นพัฒนาไปไกลกว่า
มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีมากกว่าชาติอื่น
ทั้งๆที่มีทรัพยากรน้อยกว่า ได้รับภัยพิบัติธรรมชาติและ
หายนภัยจากสงครามมากกว่า
เพื่อนของผมคนหนึ่งซึ่งไปมีครอบครัวที่นั่นเล่าให้ฟังว่า แม้ญี่ปุ่นมี
ทรัพยากรธรรมชาติไม่มากมายในประเทศ
แต่ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นคือคนญี่ปุ่น
ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงเน้นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วย
การให้การศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล
หลายคนคิดว่าโรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นเป็นโรงเรียนหรูหรา
มีอุปกรณ์เทคโนโลยีทันสมัยเป็นการเอาใจผู้ปกครอง
เพื่อดูดเงินเข้าโรงเรียน แต่ไม่ใช่เช่นนั้นเลย
โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่น ไม่ว่าของรัฐหรือของเอกชนมีห้องเรียน
แบบเรียบง่าย มีเปียโน 1 หลัง โทรทัศน์ 1 เครื่อง
และเครื่องบันทึกแบบกระเป๋าหิ้ว 1 เครื่อง
ซึ่งดูไฮเทคหน่อยเท่านั้น
ส่วนของเล่นเด็กมีเพียงกระดาษแข็ง กล่องบรรจุขนาดต่างๆ
หนังสือพิมพ์ เชือกไนล่อน ตะเกียบไม้และสมุดจำนวนมาก
ให้เด็กขีดเขียนหรือตัดแปะตามใจชอบ
ความจริงแล้วนี่คือความฉลาดของนักการศึกษาญี่ปุ่นซึ่งให้ความสำคัญ
กับการพัฒนาศักยภาพของเด็ก ไม่ปล่อยให้เด็กเป็นทาสของ
“ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป” และการสร้างสิ่งแวดล้อมให้เกิดพลัง
การแข่งขันโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่รอบข้าง
ซึ่งจะทำให้เด็กรับประโยชน์ตลอดชีวิต
วันแรกที่คุณแม่พาคุณลูกไปรายงานตัว ทางโรงเรียนอนุบาลก็มอบหมาย
ให้คุณแม่เตรียมกระเป๋ามากมายหลายขนาด มีทั้งกระเป๋าหนังสือ
กระเป๋าใส่ไหมพรม กระเป๋าเครื่องครัว กระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าเสื้อผ้าสำรอง
กระเป๋าเสื้อผ้าใช้แล้วและกระเป๋ารองเท้า โดยกำหนดด้วยว่ากระเป๋า
เหล่านี้ต้องสามารถใส่ซ้อนกันได้
สองปีผ่านไป เด็กญี่ปุ่นก็รู้จักแยกแยะการใช้กระเป๋าตามประเภท
ด้วยเหตุนี้พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ชาวญี่ปุ่นจึงขยันแยกขยะตามประเภทโดย
ไม่รู้สึกรำคาญ พฤติกรรมของคนญี่ปุ่นจึงน่าจะเกี่ยวกับการอบรมตั้งแต่เด็ก

วันเปิดเรียน ผู้ปกครองไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่มาส่งเด็กต่าง
ปล่อยให้เด็กถือกระเป๋าด้วยตนเอง แม้จะมีสัมภาระหนักอึ้ง
เด็กอนุบาลเหล่านี้ก็ยังวิ่งฉิวเพราะพลังเต็มร้อย
โรงเรียนอนุบาลมีเครื่องแบบตามฤดูกาลและกิจกรรมคลอดทั้งปี
เด็กอนุบาลญี่ปุ่นต้องใส่เสื้อสวมหัว สวมหมวก เมื่อไปถึงโรงเรียน
เด็กจะเปลี่ยนเสื้อและรองเท้าตามกิจกรรม ที่ใส่มาจากบ้านมาใส่เสื้อเล่น
หลังจากนอนพักกลางวัน ตื่นขึ้นมาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
แต่ละวันเด็กอนุบาลญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายครั้ง ทั้งคุณแม่และคุณครู
จะยืนดูห่างๆโดยไม่ช่วยเหลือ ทั้งนี้เพื่อเป็นการฝึกให้เด็กรู้จักดำเนินชีวิต
ด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบ ให้ฝึกทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บคู่มือ
ติดสติกเกอร์ แขวนผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น เป็นการบ่มนิสัยการทำงานเป็นระเบียบ

เด็กๆในโรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นได้รับการฝึกร่างกายให้ทนกับความหนาว
ในฤดูหนาวด้วยการถอดเสื้อวิ่งเล่น พ่อแม่ไม่ให้เด็กใส่เสื้ออบอุ่น
เพื่อให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง จิตใจทรหด

โรงเรียนอนุบาลดูเหมือนไม่เน้นการสอนความรู้ เด็กๆไม่มีตำรา
มีแต่สมุดวาดเขียนเดือนละเล่ม ตารางเรียนไม่มีวิชาคณิตศาสตร์
ภาษาอังกฤษหรือวิชาดนตรี ถ้าถามว่าสอนอะไร คำตอบที่ได้คือ
“สอนเด็กให้รู้จักยิ้มหยีๆ” ในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
“ยิ้ม” ถือว่าสำคัญยิ่ง เด็กผู้หญิงที่ยิ้มเป็นถือว่าสวยที่สุด
นอกจากนี้โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นยังสอนให้รู้จัก “ขอบคุณ”

อย่างไรก็ตาม 3 ปีในโรงเรียนอนุบาล พบว่าเด็กญี่ปุ่นมีความก้าวหน้า
ในด้านดนตรี วิจิตรศิลป์และการอ่านเป็นอย่างมาก
ซึ่งเป็นผลมาจากรูปแบบการศึกษาองค์รวม

โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นมีกิจกรรมให้เด็กมากมายจนคุณแม่ต้องกาเครื่องหมายบน
ปฏิทินเพื่อเตือนให้ทำปิ่นโตสำหรับลูกของตัวเอง เพราะตลอดปีมีรายการ
ปิกนิก ไต่เขา เที่ยวทะเลสาบ ชมสวนสัตว์และสวนพฤกษชาตินับครั้งไม่ถ้วน
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง เช่น ทำขนมโก๋ในเทศกาล
แข่งกีฬา งานแสดงเพื่อชุมชน ออกค่ายพักแรม จัดนิทรรศการ
นมัสการที่วัดวาอารามต่างๆ

ก่อนถึงวันเกิดเด็ก ครูจะติดต่อกับพ่อแม่เด็ก ถามที่มาของชื่อเด็กและ
ขอยืมรูปถ่ายของเด็กตั้งแต่แรกเกิดเพื่อจัดแสดงในชั้นเรียน และขอให้คุณแม่
เขียนข้อความเล่าเรื่องตอนเด็กเกิดใหม่ เพื่อนำไปอ่านหน้าห้อง ทั้งนี้เพื่อให้เด็ก
เรียนรู้ความเป็นมาของชีวิต ตระหนักถึงความยากลำบากตั้งแต่เกิดจนเติบโต
รู้จักยินดีและขอบคุณในชีวิต ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเมื่อรู้จักให้เกียรติแก่ชีวิต
ตั้งแต่เด็ก โตขึ้นจะไม่ค่อยมีพฤติกรรมนอกลู่นอกทาง
นอกจากนี้แล้วโรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่นยังฝึกซ้อมการป้องกันภัยแผ่นดินไหว
และอัคคีภัยซึ่งเป็นหายนภัยสำคัญให้เด็กด้วย ในการฝึก เด็กจะสวมหมวกกัน
สะเทือนซึ่งทนไฟและหนักมาก ฝึกให้รู้จักวิ่งหนีอย่างชาญฉลาดโดยหลบหลีก
ท่อแก๊สและมุ่งไปหาที่โล่งแจ้ง

จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นจึงเป็นคนที่มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ
สูง และถึงแม้จะเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับตะวันตก แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงรักษาความ
เป็นตะวันออกไว้ได้

บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
http://www.oknation.net/blog/knowislam/2012/02/08/entry-2
ความคิดเห็นที่ 1
เห็นหัวกระทู้รีบเขามาอ่านทุกตัว แล้วไม่รู้จะคอมเม็นต์ว่าอย่างไร
ตอนสุนามิก็ทีหนึ่งแล้วทึ่งกับคนญี่ปุ่นมาก
ลูกผมไปทำงานที่ญี่ปุ่นก็เล่าแต่ในสิ่งที่ดีๆ
เกาหลีอีกประเทศหนึ่งที่เริ่มพัฒนาพร้อมๆกับเรา เริ่มในช่วงชีวิตผมนี่แหละครับ
เมื่อเทียบมาเลเซียตอนที่ผมเป็นเด็กกับตอนนี้ก้แปลกใจไม่น้อยครับ
ที่บ้านผมปักษ์ใต้โทรศัพท์ยังขอไม่ได้เลย ไม่มีคู่สาย ทั้งๆที่ห่างจากตัวอำเภอไม่ถึงหกกม
นับประสาอะไรกับแทบเล็ตที่เขาจะแจก


ตอบกลับความเห็นที่ 1
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 2
เข้ามาอ่าน


ตอบกลับความเห็นที่ 2
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 3
โรงเรียนอนุบาลที่ลูกผม (4 ขวบ) เรียนอยู่มีกฎห้ามผู้ปกครอง ขับรถไปส่ง มอเตอร์ไซด็ก็ไม่ได้ จักรยานก็ไม่ได้ ต้องเดินไปอย่างเดียวและห้ามแบกกระเป๋าให้เด็กด้วย (เรียนโรงเรียนข้ามโซนที่อยู่ไม่ได้) ต้องให้เด็กเรียนรู้การรับผิดชอบและจำทางด้วยตัวเอง หลังจากนั้นหลังๆ โรงเรียนก็จะจัดกลุ่มเด็กที่อยู่บริเวณใกล้กันให้เดินไปโรงเรียนกันเป็นกลุ่มโดยมีเวรผู้ปกครองหนึ่งคนเดินตาม เน้นว่าต้องเดินตามห้ามนำเด็ดขาด ดังนั้นถ้าอยู่ที่ญี่ปุ่นจะเห็นเด็กห้า หกขวบขึ้นรถไฟไปไหนมาไหนเอง ทำอะไรด้วยตัวเองจนชินตา แค่ก็ต้องพกสัญญาณเตือนภัย และโทรศัพท์เด็ก อยู่ตลอดเวลา หน้าตาโทรศัพท์เด็กก็ประมาณภาพ


ตอบกลับความเห็นที่ 3
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 4
เป็นกระทู้ที่น่าสนใจมาก


ตอบกลับความเห็นที่ 4
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 5
ลงชื่อว่ามาอ่านเก็บความรู้ค่ะ

เราเคยรู้มาว่า สีเหลืองที่เด็กๆใส่ในเครื่องแบบ เขาทดสอบมาแล้วว่าเป็นสีที่คนขับบนถนน หรือคนที่เดินจะมองเห็นได้ชัดที่สุด จึงได้เลือกสีให้เด็กใส่เพื่อความปลอดภัย เรื่องนี้เราตกใจตอนที่รู้เพราะคิดว่าที่ใส่แค่สดใสเท่านั้นเอง

หรือเรื่องที่เด็กชั้นประถม (รัฐบาล) มักให้เด็กๆใส่เสื้อผ้าไปรเวท เพื่อที่ทางรร.จะได้ดูลักษณะและความคิดเด็กๆได้จากการแต่งตัว อันนี้เราก็ประทับใจตอนที่ทราบค่ะ

การเรียนการสอนเขาน่าสนใจมากจริงๆค่ะ


ตอบกลับความเห็นที่ 5
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 6
เคยไปอยู่ญี่ปุ่น 1 ปีครับ

ตอนนั้นขึ้นเขาไปนั่งกินข้าวกลางวัน มองไปยอดเขาเห็นอะไรดุ๊กดิ๊ก
สักครู่ที่ดุ๊กดิ๊กลงมาคือเด็กอายุ 5 ขวบ
เรายังหนุ่มสาวแต่ปีนเขาสู้เด็กญี่ปุ่นไม่ได้เลย

ที่ประทับใจมากๆคือ มีเวรทำความสะอาดห้องแลปคนละวัน
วันอังคารกลางคืนเห็นเด็กญี่ปุ่นทำงานอยู่เลยกะมาเช้าๆวันพุธ
เพื่อทำเวรทำความสะอาด ปรากฏเด็กญี่ปุ่นทำไปแล้ว
สัปดาห์ต่อมาเลยทำคืนวันอังคารเลย
ไม่สนว่าใครกำลังทำงานอยู่-กลัวโดนแย่งทำเวรทำความสะอาดอีก
ทุกคนช่วยเหลือกันไม่เห็นแก่ตัวกันสักคนครับ


ตอบกลับความเห็นที่ 6
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 7
ไม่เคลียร์ประโยคสุดท้าย

ูู--และถึงแม้จะเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับตะวันตก แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงรักษาความเป็นตะวันออกไว้ได้--

ในบทความไม่ได้กล่าวไว้ใช่ไหมครับว่า อะไรคือความเป็นตะวันออก ที่ญี่ปุ่นรักษาไว้่ เหมือนกับจะรีบจบ


ตอบกลับความเห็นที่ 7
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 8
แล้วทำไม ญี่ปุ่นถึงฆ่าตัวตายติดอันดับต้นต้น ในเมื่อญี่ปุ่นพัฒนาศักยภาพของคนได้ดีกว่าประเทศในแถบเอเซีย

ปลูกฝังให้เข้มแข็งเพียงแค่ร่างกาย แต่จิตใจยังขาดที่พึงพิง


ตอบกลับความเห็นที่ 8
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 9
คุณ : น้ำคุ
ทั้งหัวและท้าย (ถ้าผมเข้าใจถูก)ผมว่าเขาสรุปไว้ดีแล้ว ความเป็นตะวันออกก็คือความเป็นญี่ปุ่นไงละครับ อะไรบ้างก็ไม่รู้


ตอบกลับความเห็นที่ 9
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 10
คุณ อิสวาสุครับ

สรุปหนะดีแล้วครับ ที่ผมอยากให้ขยายคือความเป็นญี่ปุ่นที่เขาพูดถึงนั่นหละครับ มันควรจะมีในบทความบ้าง ไม่ใช่รีบสรุปเหมือนอย่างนี้ มันเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมา
ความเป็นจริงแล้ว ญี่ปุ่นรักษาความเป็นตัวเองไว้ได้อย่างดี เช่นการปลูกบ้านเรือน อาชีพเกษตรกร อาชีพช่างผีมืองานต่างๆที่อนุรักษ์ไว้ และทำให้ทันสมัยด้วยการนำเอาของตะวันตกบางอย่างมาประยุกต์ ทั้งเรื่องอาหารการกิน ความเป็นอยู่ที่บางครั้งก็มีอาหารของหลายชาติเข้ามาผสม เป็นต้นว่า จุด จุด จุด

ถ้าเขาสามารถขยายได้ถึงจุดนี้ และทำให้มันชัดเจน ข้อสรุปข้างบนผมคงไม่เถียง

-----------------------------------------------------

คุณ cat0509 ครับ

ชี้ได้ถูกจุด มากครับ นอกจากปัญหานี้แล้วยังมีปัญหาใหญ่(ที่ส่งผลกระทบโดยรวมนะครับ) ขอเพิ่มเติมนะครับ

คนเราพออยู่ในสังคมที่มีระเบียบวินัย ซึ่งบางครั้งจะทำให้การทำอะไรต้องอยู่ในกรอบความคิดและเงื่อนไขอยู่ตลอดเวลา พอคนที่มีความคิดต่าง แหวกแนว จะทำให้กลายเป็นแกะดำ ซึ่งจะถูกมองว่าไม่ปกติ จนกลายเป็นความเครียด
อีกทั้งการทำให้อยู่ในระเบียบวินัย เหมือนกับการฝึกให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ แต่พอมีสิ่งที่มันไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือไม่สมบูรณ์แบบ (ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว) คนก็จะเกิดความเครียดอีก

ด้วยเหตุผลข้างต้น คนญี่ปุ่นจึง (โดยรวมนะครับ และเป็นความเห็นจากกลุ่มคนญี่ปุ่นเอง)

1. ไม่กล้าออกความเห็น ที่คนไทยสมัยนี้เรียกว่าออกตัวนั่นแหละครับ ยิ่งออกตัวแรงเท่าไหร่สังคมที่นี่ปฏิเ้สธทันทีครับ เหมือนขว้างบอลใส่กำแพง แรงเท่าไหร่ก็เด้งออกมาเท่านั้น

2. เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง พอเข้าสังคมปุ้บ คนเราอยู่ด้วยกันมันต้องเกิดเรื่องขัดแย้ังเป็นธรรมดา แต่ด้วยความที่คนญี่ปุ่นถูกสอนให้เป็นเพอร์เฟ็คชั่นนิส เลยทำให้ไม่อยากถกเถียงกับคนอื่นเพื่อแสดงความคิดเห็นของตน ไม่กล้าเรียกร้อง ไม่อยากให้คนอื่นปฏิเสธตัวเอง ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงการปะทะกัน ทำให้มีโอกาสที่อยู่คนเดียวบ่อย และ มีโลกส่วนตัวที่นานกว่าปกติ และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้คนที่มาอยู่ที่นี่หาเพื่อนญี่ปุ่นได้ยาก

3. เป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีแบบแผน ไม่ค่อยประยุกต์ ไม่นอกเทรนด์ จริงๆแล้ว คนญี่ปุ่นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการทำอะไรต่างๆมากมาย เพราะมีทั้งเงิน และ ทรัพยากรบุคคล ในโรงเรียนญี่ปุ่นจึิงสอนให้นักเรียน "ฝัน" ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ยกตัวอย่างเช่น นักฟุตบอล นักเบสบอล หรือนักบินอวกาศ และทุกคนจะทำทุกอย่างเพื่อให้ใกล้ฝันนั้นมากที่สุด แต่พอเลยจุดที่ฝันมาแล้ว หรือว่าถ้าฝันไม่เป็นจริง ทำไม่ได้ สอบตก โรงเรียนลืมสอน กระบวนการคิดให้ดำรงชีวิตต่อในสังคม ทำให้เกิดอัตราผู้ที่ไม่ทำงานสูง โดยอาศัยพ่อแม่อยู่ หรือ อาศัยแค่พาร์ทไทม์เลี้ยงชีวิตไปวันๆ ซึ่งเหล่านี้เป็นปัญหาสังคมเพราะรัฐไม่ได้ภาษีอย่างเต็มเข้าไปเลี้ยงประเทศและคนแก่ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน เลยทำให้มีหนี้ตัวแดงๆ ติดอันดับต้นๆของโลกไงครับ

4. ตัดสินใจอะไรล่าช้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่ทำงานหรืออู้งานนะครับ เพียงแต่การสรุปความเห็นนั้นเป็นไปได้ลำบาก ดูอย่างนิวเคลียร์ฟุคุชิมะเป็นตัวอย่างได้ครับ ไม่ขอลงรายละเอียดก็แล้วกัน แต่ปัญหานี้ถกกันระดับประเทศเลยครับ ระบบผู้นำของที่นี่ ผู้นำจะเป็นฝ่ายประสานงาน ทำหน้าที่ประนีประนอมมากกว่าจะเป็นผู้ตัดสินใจเสียเอง และด้วยความที่ญี่ปุ่นต้องมีแบบแผน เป็นคนสมบูรณ์แบบ ดังนั้นความเห็นต่างๆที่ออกมา จะโดนแย้ังด้วยข้อกฎหมายและกติกา ศิลธรรม ความเท่าเทียมกัน ทำให้การสรุปความเห็นนั้นล่าช้า อีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์ กว่าจะรู้อีกที รังสีก็กระจาย เอาไม่อยู่แล้วทั้งๆที่อเมริกาเขาส่งข้อมูลทั้งหมดให้ตอนที่ยังเกิดเรื่องใหม่ๆ ยื่นความช่วยเหลือให้แต่ญี่ปุ่นก็ไม่รับ

ฯลฯ

ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้จะมาว่าญี่ปุ่นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้นะครับ เพราะถ้าเขาไม่ขยันจริงบ้านเมืองคงไม่พัฒนาขนาดนี้ เพียงอยากจะชี้ให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของญี่ปุ่นที่มี และอธิบายด้วยว่าทำไมถึงมีเหตุการณ์ ฆ่าตัวตายโดยการโดดรางรถไฟที่เห็นได้แทบจะทุกสัปดาห์ หรือเหตุความรุนแรงภายในครอบครัว ขังเด็กจนตาย หรือแม้กระทั้งข่าวสดๆร้อน ที่นักเรียนฆ่าตัวตายเพราะถูกกลั่นแกล้ง นักเรียนหญิงแทงกันบ้าง ซึ่งการได้รับข่าวสารและเห็นตามที่เป็นจริงอย่างนี้ทุกวัน ทำให้ผมอยากบอกเพื่อนๆพี่น้องคนไทยว่าคนญี่ปุ่นเเขาก็ลำบากไม่ได้ด้อยไปกว่าเรา ชีวิตเขาก็ไม่ได้สุขสบาย ดีพร้อมอย่างที่เราอิมเมจกันไว้หรอกครับ ลำบากกันถ้วนหน้า

แต่ที่แน่ๆ ผมจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นทุกปีครับ โดยไม่รู้ว่าจะได้อยู่กินบำนาญคืนหรือเปล่า 55


ตอบกลับความเห็นที่ 10
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 11
ขอบคุณครับที่มาเล่าด้านลบของญี่ปุ่นให้ฟัง


ตอบกลับความเห็นที่ 11
   
  
 
 
   
ความคิดเห็นที่ 12
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ดี มีศักยภาพ ทุกคนรับรู้

แต่ก็ไม่ใช่อวยจนเป็นเมืองสวรรค์บัลดาลไปหมด ก็ไม่ถูก เขาก็เป็นมนุษย์ มีข้อดี มีข้อเสียเหมือนมนุษย์ทั่วไป


เพื่อนเคยไปอยู่ญี่ปุ่น อ่างล้างหน้าที่บ้านท่อรั่ว น้ำหยด โฮสต์ญี่ปุ่นทำอะไรไม่ถูก จะโทรเรียกช่างประปา

เพื่อนคนไทย ไปก้มๆเงยๆ ซ่อมเองได้ง่ายนิดเดียว คนญี่ปุ่นชื่ชมใหญ่ ว่าเป็นช่างประปาหรือไง ทำไมซ่อมเป็น?

คือคนญี่ปุ่นนี่ ถ้าเป็นเรื่องที่ตัวเองชำนาญนี่ก็เชี่ยวชาญสุดๆ แต่พอเรื่องทั่วๆไป เรื่องคิดแบบดัดแปลง ซิกแซก นี่ไปไม่เป็น


ตอบกลับความเห็นที่ 12